top of page
347550.jpg

ยังให้น้ำหนักปัจจัยลบมากกว่าด้านบวก



กังวลเศรษฐกิจโลก !

แม้ว่าในระยะสั้นตลาดหุ้นโลก และสหรัฐจะได้แรงหนุนจากการที่ประธานาธิบดี Donald Trump ออกมาระบุถึงแผนการเปิดประเทศ และจากการที่รายงานของ STAT News ซึ่งเป็นนิตยสารด้านสุขภาพที่ระบุว่า ผลการทดสอบยา Remdesivir ซึ่งเป็นยาต้านไวรัสที่ผลิตโดยบริษัท Gilead Sciences ของสหรัฐสามารถใช้รักษาผู้ป่วยติดเชื้อไวรัส COVID-19 จนหายดีได้ โดยมหาวิทยาลัยชิคาโกได้ทำการทดลองยา Remdesivir ในผู้ป่วย COVID-19 จำนวน 125 รายแล้วพบว่า ผู้ป่วยติดเชื้อ COVID-19 ที่ได้รับยา Remdesivir สามารถฟื้นตัวขึ้นได้อย่างรวดเร็วจากอาการไข้ และปัญหาระบบทางเดินหายใจ ขณะที่ด้านสถาบันสุขภาพแห่งชาติของสหรัฐยังได้ประกาศผลการทดลองพบว่า ยาดังกล่าวมีประสิทธิภาพในการรักษาลิงที่ติดเชื้อ COVID-19 ส่งผลให้ในสัปดาห์ที่ผ่านมาดัชนี VIX Index ของตลาดหุ้นสหรัฐ, ยุโรป และฮ่องกงปรับตัวลดลง 7.47%, 6.53% และ 7.45% ตามลำดับ แต่ต้องเรียนว่าทั้ง 2 ประเด็นยังคงมีความไม่แน่นอนสูงมาก

ดังนั้นโอกาสที่ทิศทางของตลาดหุ้นโลก และสหรัฐจะกลับมาเป็นขาขึ้นอีกครั้งอย่างเป็นเรื่องเป็นราวจนถึงขนาดดันให้ตลาดหุ้นไทยไปต่อได้ยังคงมีความเป็นไปได้ค่อนข้างน้อย เนื่องความกังวลในเชิงปัจจัยพื้นฐาน โดยเฉพาะประเด็นเกี่ยวกับทิศทางของเศรษฐกิจโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่ธนาคารโลก หรือ World Bank ได้คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจในเอเชียใต้จะทรุดหนักในปีนี้ และบางประเทศจะฟื้นตัวได้ในช่วงปีหน้า ส่วนบางประเทศจะยังต้องเผชิญกับภาวะถดถอยต่อไปอีกในปี 2564 ก่อนจะกลับมาฟื้นตัวได้ในปี 2565

ขณะที่องค์การเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF มองว่าโลกกำลังอยู่ในภาวะถดถอยที่รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ Great Depression โดยที่มุมมองในปัจจุบันของ IMF คือ เศรษฐกิจทั่วโลกจะเริ่มฟื้นตัวในปี 2564 หากการแพร่ระบาดชะลอตัวลงในช่วง 2 ไตรมาสหลังของปีนี้ และประเทศต่าง ๆ เริ่มผ่อนคลายมาตรการกักกันอย่างค่อยเป็นค่อยไป

ทั้งนี้ IMF ปรับลด GDP Growth ของโลกในปีนี้เป็น -3% แย่ที่สุดตั้งแต่ Great Depression ปี 1930 โดยคาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐปีนี้จะติดลบหนักถึง -5.9% สอดคล้องกับมุมมองของ Goldman Sachs ที่ระบุว่าผลกระทบทางเศรษฐกิจทั่วโลกจากวิกฤต COVID-19 ในระยะสั้นนี้จะเลวร้ายยิ่งกว่ากว่าวิกฤติการเงินเมื่อปี 2551

ขณะที่ GDP ของสหรัฐในไตรมาสสองมีแนวโน้มลดลงถึง 35% ในขณะที่อัตราการว่างงานอาจสูงถึง 15% ในส่วนของตลาดหุ้น Morgan Stanley หรือ MS ประเมินเป้าหมายของดัชนี S&P 500 ณ สิ้นปี 2563 ในกรณี Bear Case, Base Case และ Bull case จะอยู่ที่ระดับ 2500, 3000 และ 3500 จุดตามลำดับ

ราคาน้ำมันกดดันตลาดหุ้นโลกด้วย ! ทั้งนี้สาเหตุสนับสนุนมุมมองที่ว่าโอกาสที่ทิศทางของตลาดหุ้นโลก และสหรัฐจะกลับมาเป็นขาขึ้นอีกครั้งอย่างเป็นเรื่องเป็นราวจนถึงขนาดดันให้ตลาดหุ้นไทยไปต่อได้ยังคงมีความเป็นไปได้ค่อนข้างน้อย สะท้อนออกมาจากผลสำรวจความเชื่อมั่นของนักลงทุนสหรัฐจาก AAII ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ที่ระบุว่าสัดส่วนนักลงทุนที่เชื่อว่าตลาดหุ้นสหรัฐในระยะ 6 เดือนข้างหน้ายังคงเป็นขาขึ้น หรือ Bullish ลดลง 1.74% เมื่อเทียบจากสัปดาห์ที่ผ่านมามาอยู่ที่ 34.86% ขณะที่สัดส่วนนักลงทุนที่เชื่อว่าตลาดหุ้นสหรัฐในระยะ 6 เดือนข้างหน้ากำลังกลับเป็นขาลง หรือ Bearish ที่ลดลง 1.92% เมื่อเทียบจากสัปดาห์ที่ผ่านมา มาอยู่ที่ 42.75%

ขณะที่ประเด็นของราคาน้ำมันยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่กดดันทิศทางของหุ้นในกลุ่มพลังงาน และทิศทางของตลาดหุ้นโลกในภาพรวมด้วย เพราะถึงแม้ในเรื่องของกำลังการผลิตจะจบลงไปแล้ว แต่ในเรื่องของราคายังคงเป็นประเด็นอยู่บ้าง หลังจากซาอุยังลดราคา OSP ขายทางเอเชียลงต่อเนื่อง ทั้งนี้โดยปกตินั้นทางซาอุจะปรับราคา OSP ให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาด หากมีความต้องการน้ำมันดิบของตัวเองเยอะก็จะปรับราคาขึ้นจะได้ขายได้แพงๆและชะลอการขาย

ในทางกลับกันซาอุจะปรับค่า OSP ลง เมื่อไหร่ก็ตามที่ความต้องการน้ำมันนั้นน้อยลง เพื่อจะได้สามารถขายออกได้ ถึงแม้ทางซาอุจะได้ตกลงที่จะลดกำลังการผลิตมาอยู่ที่ 8.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน แต่ก็อยากจะลดราคาน้ำมันดิบเพื่อให้มั่นใจว่า 8.5 ล้านบาร์เรลนี้จะขายออกตลาดได้หมด ส่งผลให้นักลงทุนในตลาด กังวลว่าปริมาณน้ำมันที่ออกมาจะจะล้น และถังกักเก็บจะมีไม่เพียงพอ ซึ่งถ้าถังเต็มจนไม่สามารถกักเก็บน้ำมันได้ จะทำให้การลดกำลังการผลิตของแต่ละประเทศก็จะไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย

ในส่วนของกลยุทธ์ สำหรับการลงทุนระยะสั้น (ไม่เกิน 1 สัปดาห์) ใช้โอกาสที่ SET ยังคงยืนเหนือ 1,250 จุด (+/-) ได้ เน้น “ดีดขึ้นขาย” ในลักษณะ “Short Against” เพื่อรอกลับมาทยอยสะสมหุ้น CPALL, BJC, BEM, EGCO, BCH, GPSC, BTS, HMPRO, AOT และ ADVANC อีกครั้ง สำหรับการลงทุนระยะกลาง (1-3 เดือน) ในลักษณะ Long-Only แนะนำ “ลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นมาอยู่ที่ระดับ 25% ของพอร์ต”

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ความเห็นส่วนตัวของผมนะครับ โปรดใช้วิจารณญาณ และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนการตัดสินใจลงทุนด้วยครับ สำหรับการพูดคุยกันระหว่างสัปดาห์นอกจากทาง Facebook ที่ www.facebook.com/wealthhuntersclub และ e-mail ที่ moobin.stockmania@gmail.com แล้ว แฟนๆยังสามารถติดตามมุมมองเกี่ยวกับการลงทุนจาก “นายหมูบิน” ได้ในรายการ “เซียนเศรษฐกิจ” ทาง FM97 ทุกวันอาทิตย์ เวลา 14.00-16.00 น.เช่นเดิมครับ


ภาพประกอบ : การวิเคราะห์ทิศทางตลาดหุ้นไทยในทางเทคนิครายวัน (Daily)

Source: Wealth Hunters Club

15 views
bottom of page