top of page

ไทยมีแนวโน้ม ถูกลดอันดับเครดิตลงอีก



Moody's ปรับมุมมองเครดิตไทยจาก Stable เป็น Negative เป็นการเตือนว่าเศรษฐกิจ-การเงินไทยมีแนวโน้มแย่ลง และมีสิทธิ์โดนปรับลดอันดับเครดิตลง จาก Baa1 ในการประเมินรอบหน้า แนะ...ก่อนไทยถูกสถาบันจัดอันดับเครดิตอื่น ทั้ง S&P และ Fritz ปรับมุมมองเครดิตไทยตามอย่าง Moody’s ภาครัฐต้องเร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ได้ผลจริงที่ไม่ใช่นโยบายแจกเงินแบบเดิมๆ ต้องเร่งให้สถาบันการเงินดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้ให้ลูกหนี้อย่างจริงจัง ส่งเสริมภาคการท่องเที่ยว บริการ การค้า การส่งออก เจรจาต่อรองทางการค้าที่ได้ประโยชน์ร่วมกันทั้งไทยในฐานะผู้ขายและประเทศต่างๆ ในฐานะผู้ซื้อ ในส่วนภาคการท่องเที่ยวต้องตั้งรับกรณีนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนที่ลดลงด้วยการจูงใจให้คนไทยเที่ยวต่างประเทศให้น้อยลง เที่ยวไทยให้มากขึ้น เน้น...นักการเมือง สส. สว. หน่วยงานราชการต้องเป็นตัวอย่างที่ดีในการส่งเสริมนโยบายของไทยเที่ยวไทย งดการไปดูงานและอบรมในต่างประเทศที่ผลาญภาษีอากรของประเทศอย่างไม่สมควร


Interview : ศ.ดร.ตีรณ พงศ์มฆพัฒน์ นักเศรษฐศาสตร์มหภาค 

 

Moody's สถาบันจัดอันดับเครดิตมีความสำคัญต่อโลก ธุรกิจโลก เศรษฐกิจอย่างไร

        

ถ้าเป็นสถาบันหลักในการประเมินก็จะมีหลายสถาบัน มี S&P มี Moody's แล้วก็มี Fritz Rating ก็จะแตกต่างกันบ้าง ถ้าเป็น Fritz Rating ส่วนใหญ่เขาก็จะเป็นเน้นทางด้านพวกพันธบัตร แต่พวกนี้ส่วนใหญ่ก็จะเป็นตัวที่ส่งสัญญาณให้กับนักลงทุนได้เห็นว่าสถาบันต่างๆ ที่เป็นสถาบันที่ค่อนข้างอิสระพอสมควรในการจัดอันดับต่างๆ ว่าประเทศนั้นมีแนวโน้มเป็นอย่างไร สถานะเป็นอย่างไร ในเชิงของการเงิน ในเชิงของเศรษฐกิจ ถือว่ามีผลพอสมควรสำหรับการตัดสินใจ

 

ทีนี้ล่าสุด Moody's ปรับมุมมองเครดิตของไทย จริงๆ ก็อันดับเครดิตก็ยังอยู่ที่ Baa1 ถือว่าเป็นอย่างไรสำหรับเครดิตระดับนี้

      

ถือว่ายังพอลงทุนได้ แต่ก็ต้องระวัง

 

ถ้าดีสุดนี่ต้องสักเท่าไหร่

        

ก็เป็น A พวก A ขึ้นไป เรื่องของเรื่องคือเวลาดูนี้ก็ต้องดูแยกเป็นบริษัทด้วยเหมือนกัน เพราะนี่เป็นระดับเฉลี่ยของประเทศ

 

ตอนนี้ระดับเครดิตของประเทศไทยยังเหมือนเดิมคือ Baa1 แต่เขาบอกว่าเขาปรับมุมมองใช้คำว่า Outlook จาก Stable เป็น Negative ถือว่าดีหรือแย่

        

แนวโน้มแย่ลง หมายความว่าในอนาคตก็อาจจะปรับลงอีกได้ถ้าเศรษฐกิจแย่ลงจริงๆ เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องการปรับทิศทาง แต่เขาบอกว่ายังไม่ปรับ ณ ปัจจุบัน

 

จาก Stable เป็น Negative แสดงว่าต้องอะไรเกิดขึ้น

        

มีแนวโน้ม เพราะ Recession มันมีแนวโน้มเกิดขึ้นในหลายๆ ประเทศ ประเทศต่างๆ ที่เป็นเศรษฐกิจเปิดก็อาจจะต้องเผชิญกับปัญหาต่างไปด้วย เพราะฉะนั้นประเทศไทยก็เป็นประเทศหนึ่งที่ Outlook ดูแนวโน้มแล้วไม่สดใส พูดง่ายๆ ก็ไม่เหมือนเดิม มีแนวโน้มเป็นขาลง ประมาณนั้น ส่วนจะลงยาวหรือไม่ยาวนั้นคือเขายังไม่ได้บอก เพียงบอกว่าในช่วงอนาคตอันใกล้มันเป็นแบบนี้ เมื่อเขาประเมินรอบหน้าก็อาจจะมีแนวโน้มที่จะลงได้

 

จะส่งผลกระทบโดยตรงหรือว่าโดยอ้อมต่ออะไรบ้าง

        

โดยอ้อมก็ถือว่าเป็นข่าวหนึ่งที่ทำให้นักลงทุนใช้เป็นหลักในการตัดสินใจ ถ้าเป็นคนที่ลงทุนในหุ้นบริษัทก็จะได้ข้อมูลนี้ช่วยในการตัดสินใจ แล้วแต่ว่าบริษัทนั้นพึ่งตลาดภายในหรือภายนอก ของไทยผมเข้าใจว่าแนวโน้มก็คงจะ Negative คล้ายกับเศรษฐกิจโลก ไม่ได้มีอะไรที่แตกต่างมากมายนัก ถ้าช่วงเศรษฐกิจโลกดีแล้วเราแย่ลงอย่างนี้ก็จะเป็นอะไรที่ต้องพึ่งการตัดสินใจของนักลงทุนค่อนข้างจะมาก

 

แต่ตอนนี้แนวโน้มเศรษฐกิจโลกไม่ดี เราก็พลอยโดนหางเลขไปด้วย

        

พอโดนหางเลขไปด้วยตัวเลขก็ต้องมี Negative ตามไปด้วย เพราะฉะนั้นนักลงทุนก็อาจจะคิดว่าถ้าไม่ดีทั้งหมดก็อาจจะถือเป็นเงินสดหรือว่ายัง Hold อยู่ก็ได้แล้วแต่ อันนี้ก็จะมีผลโดยอ้อมเชิงที่ว่าเป็นข่าวสารชนิดหนึ่งที่มีผลต่อการตัดสินใจของนักลงทุน

 

จะมีผลต่อการที่เราจะไปกู้เงินเมืองนอก หรือ Fund Flow ไม่ไหลเข้ามาซื้อพันธบัตรไทย หรือมาลงทุนในเมืองไทยหรือไม่

        

ก็มีผลบ้าง แต่ตัวที่จะมีผลมากคือ Fritz Rating เพราะ Fritz Rating ส่วนใหญ่จะประเมินพันธบัตรค่อนข้างจะละเอียด แต่ส่วนใหญ่ก็จะคล้ายๆ กัน

 

เมื่อ Moody's เปิดฉากเล่นไทยในเรื่อง Outlook จาก Stable เป็น Negative แล้ว ทางสถาบันจัดอันดับค่ายอื่นจะปรับลดตามด้วยไหม

        

ก็มีสิทธิ์ ก็จะเป็นแนวโน้มที่ไปด้วยกัน ส่วนใหญ่การตัดสินใจในการประเมินจะคล้ายๆ กัน ตัวเลขที่ใช้ก็คล้ายๆ กัน

 

ที่ตามมาด้วยอีกดอกหนึ่งคือบอกว่ามี 7 สถาบันการเงินที่ถูกปรับจาก Stable เป็น Negative แล้ว 7 สถาบันการเงินเหล่านี้จะเป็นอย่างไร

        

ก็จะเป็นสถานการณ์ตามเศรษฐกิจประเทศมากขึ้น ก็ไปด้วยกัน แบงก์ไหนแข็งแรงก็อาจจะกระทบน้อยหน่อย ตัวนี้เป็นตัวเลขอย่างหนึ่งที่ใช้ในการตัดสินใจ แต่ว่าไม่ใช่ทั้งหมด เวลานักลงทุนดูก็จะต้องดูหลายตัวอยู่เหมือนกัน แต่การดูก็จะคล้ายๆ กัน เช่น ดู NPL ดูความเสี่ยงต่างๆ

 

ตอนนี้ต่างชาติก็ขายสุทธิ ขายหุ้นไทยมากกว่าซื้อ

        

ใช่ ยาวนาน ก็ขายมาต่อเนื่องพอสมควร ยิ่งเศรษฐกิจแบบนี้ แล้วอเมริกาก็มีปัญหากับจีน เราก็โดนหางเลขตามไปด้วยเพราะอยู่ในภูมิภาคที่ใกล้กัน เป็นเพื่อนบ้านกัน ถือว่าได้รับผลกระทบเชื่อมโยงไปด้วย

 

ช่วยให้คำแนะนำหน่อยว่าทำอย่างไรจะไม่ให้ 1. สถาบันจัดอันดับเครดิตอื่นๆ เดินตาม Moody's แล้วทำอย่างไรจะกลับไปสู่ Stable ได้

        

ในแง่ Stable ถ้าในเชิงประเทศต้องมีมาตรการ เช่น 1. มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่การกระตุ้นเศรษฐกิจต้องเข้าเป้าด้วย ถ้ากระตุ้นด้วยการแจกเงินก็คงไม่เข้าเป้า แต่จะไปเพิ่มหนี้สิน 2. คือการปรับโครงสร้างหนี้โดยสถาบันการเงิน เขาทำไปได้ดีมากน้อยแค่ไหน อันที่ 3 คือภาคที่ผลกระทบมากเช่นการท่องเที่ยวแล้วก็ภาคสินค้าบริการที่เราส่งไปขายต่างประเทศมีแนวโน้มที่จะเผชิญปัญหามากขึ้น เรามีมาตรการในการที่จะเจรจาต่อรองหรือว่ามีมาตรการชดเชยอะไรบางอย่างที่จะทำให้สถานการณ์มันดีขึ้นได้มากน้อยแค่ไหน ก็จะเป็นตัวช่วย

        

แต่สถานการณ์พวกนี้ส่วนใหญ่ก็จะ up and down คือบางครั้งก็เหมือนกับว่าเราอยากจะทำแต่ทำไปแล้วมันก็อาจจะได้ผลไม่มาก ก็อาจจะต้องดูสถานการณ์ไปด้วย ก็จะเป็นเรื่องของสถานการณ์ที่ยากพอสมควร เพราะเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นปัจจัยของรัฐบาลนอกประเทศ ถ้าเป็นสถานการณ์ในประเทศที่เราเป็นคนตัดสินใจเองเราก็สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงนโยบายได้ แต่ถ้าเกิดเป็นปัญหาจากต่างประเทศ อย่างมากที่เราได้ก็คือทำนโยบายต่างๆ เพื่อชดเชยผลกระทบที่มันเสียหายได้บางส่วน แต่ก็ต้องยอมรับข้อเสียเปรียบบางส่วน ก็ต้องมีผลข้างเคียงของนโยบายตามมา เพราะฉะนั้นเบ็ดเสร็จแล้วมันก็อาจจะไม่ได้ดีขึ้นมากมาย อาจจะช่วยคนที่ถูกกระทบมาก แต่คนที่ไม่ถูกกระทบก็ต้องไปรับภาระด้วย ก็จะมีปัญหาพวกนี้อยู่เพราะเป็นสิ่งที่ต่างประเทศเป็นคนตัดสินใจ

        

แต่หลายครั้งเป็นสิ่งที่เราตัดสินใจ เช่น นโยบายที่เรารู้สึกว่ามันเดินมาผิดก็ถือว่าเป็นแนวทางที่ว่าเราสามารถที่จะรื้อพื้นปรับปรุง หรือว่าวิกฤตมันช่วยให้เรามีโอกาสในการจะแก้ไขอะไรบางอย่างที่เรารู้สึกว่าอาจจะแก้ไขได้ อย่างนักท่องเที่ยวจีนไม่มาเที่ยว มันก็จะเหนื่อยเหมือนกัน อันนี้เราก็จะต้องมีมาตรการในการที่จะต้องไปพูดคุยกับทางจีนไหมว่าจะทำอย่างไร ก็ต้องอาศัยความสามารถในการพูดคุยกัน

 

ปัญหานักท่องเที่ยวจีนเคยเกิดขึ้นกับเมืองไทยมาก่อน

        

ใช่ เคยเกิดขึ้นในบางช่วงที่จีนเริ่มมีนโยบายไม่ส่งเสริมให้คนออกนอกประเทศ อย่างเช่นช่วงโควิด หรืออย่างช่วงนี้ก็เป็นเพราะจีนพยายามที่จะให้เงินหมุนเวียนในประเทศเขา แทนที่จะออกไปเที่ยวต่างประเทศ เอาเงินไหลออกนอกประเทศ ก็พยายามให้ท่องเที่ยวในประเทศ อีกเรื่องก็คือเขาก็เผื่อว่าถ้ามันเกิดความรุนแรงขึ้น เป็นสงคราม เป็นอะไรอย่างนี้คนจีนก็จะได้ไม่มีปัญหาในการเดินทางกลับ ก็เป็นอะไรที่เขาก็วางแนวทางป้องกันไว้

        

ของไทยก็เหมือนกัน ของไทยเราก็ยังไม่ค่อยชัดเจนในเรื่องนโยบายการท่องเที่ยว ส่วนใหญ่เราก็ส่งเสริมนักท่องเที่ยวภายในประเทศ ส่งเสริมนักท่องเที่ยวต่างประเทศ หลายๆ ครั้งเราก็ทำวันหยุดยาวๆ เพื่อให้คนลาหยุด ปัจจุบันไม่เที่ยวฮ่องกงก็ไปเที่ยวที่อื่นแทน ไปจีน ไปเซี่ยงไฮ้ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ทางรัฐบาลต้องเปลี่ยนแปลงนโยบายแล้วว่าวันหยุดของไทยควรจะให้อยู่ติดๆ กันหลายๆ วันไหม มีบางช่วงที่เราเคยไม่ให้ลาหยุดต่อเนื่อง ปัจจุบันเราก็ส่งเสริมให้ลาหยุดต่อเนื่อง ทั้งรัฐบาล กระทรวงที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวก็ไม่รู้ว่าเขาดูแลดีมากน้อยแค่ไหนว่าทำอย่างไรที่จะให้คนไทยท่องเที่ยวภายในเพื่อช่วยเหลือคนไทยด้วยกันดีกว่าไหม ที่ผ่านมาเราก็ส่งเสริมไปเที่ยวต่างประเทศเยอะ คนไทยก็ไปเที่ยวต่างประเทศเป็นหลัก พอได้เวลาก็ไปต่างประเทศกันแล้ว แม้แต่นักการเมืองก็แสดงความเป็นผู้นำในการไปเที่ยวต่างประเทศ สว. สส. ก็แสดงความเป็นผู้นำในการไปอบรม ไปเที่ยว ไปดูงานต่างประเทศ แล้วก็ใช้งบภาษีอากรแทนที่จะใช้งบส่วนตัว อันนี้ก็เป็นอะไรที่แสดงถึงอุปนิสัยใจคอที่ไม่ค่อยจะเหมาะสม พวกนี้ผมคิดว่ารัฐบาลสามารถเป็นผู้นำได้ว่าทำอย่างไรดี เมื่อต่างประเทศเขาเลิกที่จะท่องเที่ยวบ้านเรา ก็ให้คนไทยเที่ยวในไทยมากขึ้น เราควรจะจัดส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในด้วยไหม

 

เรื่อง Moody's ปรับ Outlook ไทย ในอดีตเราเคยเจออย่างนี้ไหม

        

เคยเจอหนักเลยในสมัยปี 2540 S&P, Moody's และ Fritz Rating ทั้ง 3 สถาบันนี้ปรับลดเครดิตต่อเนื่องเลย ไม่ใช่ปรับแค่ Outlook ปรับทั้งสถานะ ปรับทั้งอะไรต่างๆ หมดเลย

 

อันดับเครดิตที่เลวร้ายสุดที่ไทยได้รับอยู่ที่เท่าไหร่

        

น่าจะใกล้ๆ Investment ระดับ B+ อะไรประมาณนั้น มีช่วงหนึ่งที่สถานการณ์ไม่ดีเลย แล้วถูกปรับลงมากๆ เงินก็ยิ่งไหลออก ยิ่งปรับลงนักลงทุนก็ยิ่งไหลออก เพราะเขาไม่คาดคิดมาก่อนว่ามันจะแย่ขนาดนั้น พอพวกนี้มามันก็เป็นการคอนเฟิร์มคือการปรับ Rating ส่วนใหญ่มันมีลักษณะพิเศษอย่างหนึ่งคือการปรับ Rating มักจะมาช้ากว่าสถานการณ์ที่เป็นจริง คือเขาดูข้อมูลเหมือนเรา เพียงแต่กว่าจะตัดสินใจปรับ Rating สถานการณ์ก็เกิดขึ้นไปแล้ว เพราะฉะนั้นก็มักจะเป็นการซ้ำเติมมากกว่าเป็นการชี้นำอนาคต ในสมัยปี 2540 พอพวก Moody's ปรับลด Rating เมื่อไหร่เราก็เหนื่อยทุกครั้ง คล้ายๆ ว่าเราก็แย่แล้ว ยิ่งปรับลงก็ยิ่งมาซ้ำเติมอีก ทั้งๆ ที่ก็เป็นข้อมูลเก่า ไม่ใช่ข้อมูลใหม่ เป็นข้อมูลที่รับรู้แล้ว ซึ่งสถานการณ์ปัจจุบันก็คล้ายๆ กัน เวลาที่เราเป็นนักลงทุนเราก็ต้องดูว่า Moody's จะปรับลง อย่าไปคิดว่ามันเป็นการปรับลงจากข้อมูลใหม่ ความจริงเป็นการปรับลงจากข้อมูลที่เกิดขึ้นแล้วและก็เอาไปประมวลแล้วก็ตัดสินใจ อันนั้นเป็นการที่ทำให้สถานการณ์ที่แย่อยู่แล้วแย่ลงไปอีก ก็เป็นลักษณะพิเศษอันหนึ่งที่ทำให้บริษัท Rating ถูกวิพากษ์วิจารณ์เยอะว่าเวลาคุณปรับ Rating คุณมักจะปรับ Rating ช้ากว่าสถานการณ์ที่ควรจะเป็น

Комментарии


bottom of page