top of page
501397.jpg

ทิศทางดอกเบี้ยขาลง หนุนตลาดคริปโต


ree

ทิศทางดอกเบี้ยขาลงเป็นผลบวกต่อสินทรัพย์เสี่ยงแทบทุกประเภททั้งทองคำ หุ้น คริปโท บิตคอยน์ และ Altcoin ประกอบกับการที่อเมริกาจะตั้งกองทุนสำรองเชิงยุทธศาสตร์ด้วยการซื้อบิตคอยน์ให้ได้ 1 ล้านBTC ใน 5 ปีข้างหน้า รวมถึงการอนุมัติกองทุน ETF ของ Altcoin จะทำให้บิตคอยน์และ Altcoin เป็นที่สนใจของนักลงทุนทั่วโลกมากขึ้น ด้วยภาพเช่นนี้ทางการไทยจะต้องเร่งศึกษา วางแผนและแนวทางในการรองรับนวัตกรรมทางการเงินของโลกยุคใหม่เพื่อไม่ให้เสียโอกาสในทางการค้า การท่องเที่ยว ที่จะหันมาใช้ Digital Money มากขึ้น ส่วนนักลงทุนในไทยควรศึกษาการลงทุนในบิตคอยน์และ Altcoin โดยเริ่มทยอยลงทุนใน Altcoin ที่ราคายังไม่แพงมาก หรือลงทุนใน G-Token หรือตราสารทางการเงินในรูปแบบดิจิทัลของรัฐบาลที่คาดว่าน่าจะขายในโอกาสต่อไป พร้อมแนะนำมือใหม่ที่สนใจลงทุนในบิตคอยน์ หรือ Altcoin ควรลงทุนในแพลตฟอร์มของคนไทยก่อน เมื่อมีความรู้ความเข้าใจมากขึ้นค่อยขยับไปลงทุนในแพลตฟอร์มต่างประเทศ และควรลงทุนทีละเล็กละน้อยเพื่อป้องกันความเสี่ยง


Interview : คุณนเรศ เหล่าพรรณราย นายกสมาคมสินทรัพย์ดิจิทัล


ค่อนข้างจะแน่แล้วว่าดอกเบี้ยโลก ดอกเบี้ยอเมริกาเป็นขาลง มองว่าจะมีผลอย่างไร มีทิศทางอย่างไรต่อเงินดิจิทัล

เป็นผลบวกแน่นอน เพราะเวลาที่ลดดอกเบี้ย ค่าเงินดอลลาร์ก็จะลดลงไปด้วย ก็จะทำให้พวกสินทรัพย์เสี่ยงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นทองคำ หุ้น แล้วก็ Bitcoin, Crypto ก็จะได้รับประโยชน์ไปด้วย อีกทางหนึ่งคือพอมีสภาพคล่อง การลงทุนก็จะเข้ามาในพวกเหรียญ Crypto ด้วย โดยเฉพาะพวกเหรียญที่เป็น Altcoin ต่างๆ คือช่วงที่ผ่านมา Bitcoin กับ Ethereum ส่วนใหญ่แล้วตอนนี้ผู้ลงทุนหลักๆ กลายเป็นนักลงทุนสถาบันไปแล้ว เขาก็ซื้อผ่านกองทุน ETF แต่ถ้าเราจะพูดถึงเหรียญ Altcoin อื่นๆ ที่ไม่ใช่ 2 ตัวหลักนี้ส่วนใหญ่จะเป็นนักลงทุนรายย่อย เพราะยังไม่มี ETF กำลังรออนุมัติอยู่กันหลายเจ้า ตอนนี้ถ้าจะมีสภาพคล่องมากขึ้นในตลาด เหรียญพวกนี้ก็จะได้รับประโยชน์ไปด้วย เพราะรายย่อยบางส่วนก็อาจจะกลับเข้ามาซื้อเหรียญพวกนี้


นอกจากเรื่องดอกเบี้ยลงแล้ว ยังมีปัจจัยบวกอะไรที่จะหนุนทำให้เงินดิจิทัล Crypto ทั้งหลายกลับมาคึกคัก

ถ้าพูดถึงปัจจัยใหม่ที่กำลังรออยู่สำหรับ Bitcoin ก็จะเป็นในเรื่องของสหรัฐ เขาจะตั้งกองทุนสำรองเชิงยุทธศาสตร์ของ Bitcoin ตอนนี้ตลาดกำลังรออยู่ว่ารัฐบาลกลางสหรัฐ จะเข้าซื้อ Bitcoin ใหม่เมื่อไหร่ เพราะตอนนี้เขามีอยู่ประมาณ 200,000 BTC แต่เขามีเป้าหมายว่าภายใน 5 ปี เขาก็ต้องมีให้ได้ 1 ล้าน BTC แต่ว่ายังถกเถียงกันอยู่ว่าแล้วจะเอาเงินอะไรมาซื้อ Bitcoin คือตอนนี้กำลังคิดอยู่ว่าจะทำยังไงที่ไม่ให้กระทบเงินภาษีประชาชน ตอนนี้ในวุฒิสภาเขากำลังคุยเรื่องนี้กันอยู่ ถ้าเสร็จทันในปีนี้ก็น่าจะดันราคา Bitcoin ได้อีกพอสมควร 

ในส่วนของ Altcoin ตอนนี้รอว่าทาง ก.ล.ต.สหรัฐจะอนุมัติกองทุน ETF ของ Altcoin เมื่อไหร่ ตอนนี้ก็เริ่มมีแล้ว ตอนนี้มี ETF ของ Dogecoin แล้วก็ของ Reaper ออกมาแล้ว ยังมีที่รออนุมัติอีกประมาณ 100 ราย ถ้าออกมาก็น่าจะทำให้ตลาดมีความคึกคัก ซึ่งก็เป็นปัจจัยใหม่ที่ตลาดกำลังรออยู่


จากความเคลื่อนไหวต่างๆ คิดว่าทางการไทยก็ดี หรือนักลงทุนไทย นักเก็งกำไรไทยทั้งหลาย ควรจะจับตาหรือเตรียมอย่างไร

ถ้าเป็นเรื่องของนักลงทุน ผมว่าตอนนี้น่าจะเป็นจังหวะที่ดีในการที่จะสะสมพวกที่เป็นเหรียญ Altcoin ต่างๆ เพราะ Ethereum กับ Bitcoin อาจจะขึ้นมาเยอะแล้ว แต่ว่าพวกเหรียญที่เป็นเหรียญ Altcoin อื่นๆ อาจจะยังขึ้นมาไม่เยอะมาก มองว่าน่าจะมีโอกาสที่จะมีมูลค่าเติบโตได้ ลองดูเหรียญที่จะได้รับประโยชน์จากกฎหมายสหรัฐ เช่นพวกทำ Stable Coin พวกที่ทำ Token Asset หรือ RWA พวกนี้จะเป็นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์มากที่สุด สามารถเข้าไปสะสมได้ 

ในส่วนของรัฐบาลอยากให้จับตาดูว่าตอนนี้ระบบการเงินโลกกำลังเปลี่ยนแปลง โดยที่สหรัฐก็พยายามผลักดันตัว Stable Coin ออกมา จุดประสงค์หลักที่เขาทำออกมาเขาต้องการที่จะสร้างดีมานด์ในเงินดอลลาร์ ถ้าเกิดว่าเขามีการสร้างระบบการเงินใหม่แล้วคนส่วนใหญ่อาจจะต้องใช้ดอลลาร์อยู่ในตรงนี้ก็ยังรักษาพื้นที่ของเงินดอลลาร์ในตลาดโลกได้  ถ้าเกิดทั่วโลกต่างทำ Stable Coin ออกมา แล้วประเทศไทยยังไม่มีออกมา ก็อาจจะเป็นการเสียโอกาสได้เพราะต่างชาติก็อยากจะเอามาใช้ในเมืองไทย แต่กฎหมายเราไม่รองรับ ก็อาจจะเป็นการพลาดโอกาสไปอยู่บ้าง


ตอนนี้เท่าที่จับตาดูมี 2 เรื่องที่อาจจะเกี่ยวข้องกับเรื่องที่กําลังคุยอยู่ อันดับแรกคือ เรื่อง G-Token ที่กระทรวงการคลังเตรียมจะออกมา เป็นการออกพันธบัตรรัฐบาลเป็นรูปแบบดิจิทัล เรื่องที่ 2 คือ Tourist DigiPay แต่ตอนนี้รัฐบาลคุณแพทองธารจบไปซะก่อน มองอนาคตทั้งสองเรื่องนี้อย่างไร

ในส่วน G-Token อาจจะไม่ได้มีผลในเชิงของการลงทุนอะไรเท่าไหร่ ผมมองว่าเป็นจุดเริ่มต้นของนวัตกรรมมากกว่า เพราะตอนนี้ทั่วโลกเขาก็มาทางนี้หมดแล้วในการออกตราสารทั้งการเงิน พันธบัตรในรูปแบบของดิจิทัล ตรงนี้ก็จะมีประโยชน์ เอาแบบชัดๆ ทั้ง 2 เรื่องคือเปิดโอกาสให้คนที่มีเงินน้อยสามารถลงทุนได้ และสามารถเปลี่ยนมือได้โดยผ่านแพลตฟอร์มสินทรัพย์ดิจิทัลในไทย ที่จริงก็คาดหวังว่าอยากให้มีการผลักดันนโยบายนี้ต่อเพื่อจะทำให้คนไทยมีความคุ้นเคยกับเรื่องของระบบการเงินใหม่

 

ส่วน TouristDigiPay ตรงนี้ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่จะสามารถรองรับ Crypto Payment ได้ในธุรกิจท่องเที่ยวของเมืองไทย เพราะ DigiPay ยังไม่ได้เป็นการชำระเงินด้วย Crypto แบบ 100% แต่เป็นการที่จะต้องผ่านผู้ประกอบการสินทรัพย์ดิจิทัลไทยในการแปลง Crypto เป็นเงินบาทก่อนแล้วค่อยส่งต่อไปยัง Platform e-money 

แต่ด้วยกฎหมายที่เรามีถือว่าโครงการนี้ยังจำกัดในการที่จะทำได้ แต่ถ้าเกิดเราไม่ทำอะไรเลย อนาคตที่ผมบอกว่าระบบการการเงินกำลังเปลี่ยน คนถือครอง Stable Coin กัน แล้วประเทศไทยไม่มีกฎหมายหรือแพลตฟอร์มที่จะมารองรับการชำระเงินพวกนี้ ไทยก็อาจจะขาดโอกาสจากกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงกลุ่มนี้ก็ได้


ตอนนี้ถือว่าคนไทยหรือนักลงทุนไทยมีความรู้ในเรื่องเงิน Crypto หรือว่าเข้ามาเกี่ยวข้องในเรื่องเงิน Crypto มากน้อยแค่ไหน

ถ้ามีการจัดอันดับ ประเทศไทยติดอยู่ที่ประมาณอันดับที่ 17 ของประเทศที่มีการรับรู้การใช้งานในส่วนของ Crypto มากที่สุดในโลก แต่ถือว่าลดลงเพราะเราเคยติดอันดับสูงสุดคืออันดับ 7 แต่ปีที่เราติดอันดับที่ 7 เป็นปีที่ส่วนใหญ่น่าจะเป็นการเก็งกำไรกัน เพราะเกิดในช่วงโควิดที่ตอนนั้นมีการลงทุนใน Crypto คึกคักกว่านี้ แต่พอการเก็งกำไรหายไป การใช้งาน Crypto เมืองไทยก็ลดลง แต่ยังถือว่าอยู่ท็อป 20 ของโลก ซึ่งก็ไม่น้อย


เป็นไปได้ไหมที่ราคาทองคําขึ้นสูง ส่วนหนึ่งอาจจะไปเข้าตลาดทองคําดีกว่า หรือตลาดหุ้นกําลังฟื้น เป็นไปได้ไหมที่แย่งมาร์เก็ตแชร์ในส่วนของ Crypto ไป

ผมมองว่าถ้าสภาพคล่องเยอะขึ้นและมีการลดดอกเบี้ยทำให้เจ้าของเงินมีทางเลือกในการลงทุนค่อนข้างเยอะ ตอนนี้จริงๆ ก็เป็นเรื่องเดียวกัน เพราะในตลาดหุ้นอเมริกากำลังจะมีหุ้นที่เกี่ยวกับ Crypto เข้าตลาดเยอะมาก ทาง Wall Street เขามองว่าตอนนี้ตัว Crypto เป็นสินทรัพย์การลงทุนที่น่าสนใจไม่แพ้กับหุ้นเทคโนโลยี ... ไม่น่าจะแย่งกัน น่าจะไปด้วยกัน


ข่าวเชิงลบเกี่ยวกับ Crypto ในเมืองไทยก็มีอยู่พอสมควร อย่างเช่น บอกว่ามี Crypto เข้ามาเป็นหมื่นล้านเหรียญหรือแสนล้านเหรียญ แล้วพอเปลี่ยนเป็นเงินไทยแล้วหายไปเลย แบบเป็นการฟอกเงิน อันนี้ก็เป็นความน่ากลัวไหม

ไม่น่ากลัว คือเราอาจจะต้องยอมรับว่าเงินปริศนาทั้งหลาย ถามว่าจะเข้ามาผ่าน Crypto บ้างไหม ผมคิดว่ามีอยู่แล้ว 

ความจริงก็ต้องยอมรับว่า Crypto เป็นทางเลือกที่เหมาะสมกับยุคสมัย เป็นเรื่องของ Digital ไม่ต้องพกพาเงินสดไปมา แต่ถ้าเกิดเขามีการทำธุรกรรมผ่านผู้ประกอบการขายที่มีใบอนุญาต อันนี้เราจับได้อยู่แล้วเพราะต้องมีการ KYC ต้องมีการตรวจสอบธุรกรรมได้อยู่แล้ว แต่ในส่วนที่มาแบบทางมืดก็ทำได้ ทำแบบลับๆ 

 

แต่จะไปโทษ Crypto อย่างเดียวก็ไม่ได้ เพราะถ้ามีการไปส่งมอบกันตามมุมตึกก็ใช้อย่างอื่นได้ จะเงินสด จะทองคำ จะใช้รถหรูไปแลกกัน เป็นไปได้หมด เพราะฉะนั้นจะไปโทษ Crypto อย่างเดียวไม่ได้ ถึงแม้ Crypto จะเหมาะสมกับยุคดิจิทัล แต่ตามสถิติของเส้นทางการสีเทาอย่างอื่นยังเยอะกว่าเงิน Crypto มาก ก็นับว่าเป็นทางเลือกหนึ่งของเงินเทาได้แต่คิดว่าไม่ทั้งหมดของเงินเทาที่จะมาผ่าน Crypto


อย่างกรณีที่บอกว่ามีการมาปล้นกัน คนต่างชาติกับคนต่างชาติมาปล้นกันในเมืองไทย หรือไม่ก็โกงเงินเกี่ยวกับสแกมเมอร์ที่ไปหลอกลวงทางโทรศัพท์ แล้วมาเปลี่ยนเป็นเงิน Crypto แล้วมาฟอกอีกทีหนึ่งออกมาให้เป็นเงินสะอาด พวกนี้กระทบต่อตลาด Crypto ของเราไหม

ต้องยอมรับว่ามีผลกระทบบ้าง แต่ถ้าเกิดมีการใช้งานผ่านแพลตฟอร์มที่มีใบอนุญาตอันนี้ไม่มีปัญหาแน่นอน เพราะมีการตรวจสอบได้อยู่แล้ว มีเรื่องของการทำ KYC ...แต่ถ้าจะไปอยู่นอกระบบที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอันนี้ถือว่าเป็นไปตามแนวโน้มของโลกที่จะเกิดขึ้น ในฝรั่งเศสเขาก็ลักพาตัวกันเลย คนที่เก่ง Crypto โชว์เลย ผมว่าเป็นทั้งโลก เราคงไปห้ามไม่ได้


เมื่อต้นเดือนกันยายนมีข่าวว่าศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลถูกโจมตี ถูกแฮก แล้วก.ล.ต.ไปตรวจสอบพบว่าเป็นบริษัทหนึ่งของคนไทย แล้วศูนย์ซื้อขาย Digital Exchange ก็ออกมายืนยันว่ากระเป๋าของลูกค้ายังปลอดภัยดี

จริงๆ ข่าวมีอยู่แล้วนะก็ไปติดตามได้ แต่ผมบอกได้เลยว่าในช่วงระยะสั้นนี้จนถึงอนาคตเราสามารถมั่นใจในการใช้งานแพลตฟอร์มสินทรัพย์ดิจิทัลในเมืองไทยได้ค่อนข้างมาก ต้องบอกว่าคนที่ทำงานแพลตฟอร์มออนไลน์เขาจะรู้อยู่แล้วว่าเราไม่สามารถจะไปห้ามการแฮกได้ 


สิ่งสำคัญกว่านั้นคือการดูแลยังไงให้แฮกแล้วแบบเอาไปได้แบบเป็นร้อยล้านพันล้าน ซึ่งตอนนี้ในส่วนของ ก.ล.ต.มีการบังคับว่าผู้ประกอบการไทยต้องแยกเงินลูกค้าออกจากเงินบริษัท เพราะฉะนั้นแม้อาจจะมีเงินหายไปบางส่วนแต่จะไม่กระทบการดำเนินงาน ต้องมีเงินสำรอง เงินกองทุนสำรองอันนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับโบรกเกอร์หุ้น ที่ต้องมีเอาไว้รองรับการทำธุรกิจ ต้องมีการฝากตัว Crypto เอาไว้ในบุคคลที่ 3 ด้วย แล้วต้องรายงานตัวสถานะการเงินสถานะของการถือครองของผู้ถือสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างต่อเนื่องด้วย 

 

ค่อนข้างมั่นใจได้แล้วกันว่าตอนนี้แพลตฟอร์มไทยมีความปลอดภัยสูงมาก ไม่ต้องกังวลมาก


ก่อนหน้านี้ที่เป็นข่าวใหญ่โต และมีการฟ้องร้องอยู่ในตอนนี้ว่าบริษัทของลูกคนใหญ่คนโตมีการทุจริตเรื่องบริหารการลงทุนใน Crypto ถือเป็นข่าวไม่ดีของการทำธุรกรรมดิจิทัลใช่ไหม

ต้องยอมรับเป็นข่าวไม่ดี แต่ก็เป็น Lesson Learned จริงๆ ในต่างประเทศมี Lesson Learned เหมือนเรา อย่างในอเมริกาก็มีกรณีของ FTX อันนั้นเขาโกงค่อนข้างชัดเจนมาก ต้องเข้าใจว่าในช่วงที่เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงเร็วมันไวกับกฎหมายอยู่แล้ว ซึ่งทาง ก.ล.ต.เขาก็เอาเคสอันนั้นมาเป็น Lesson Learned แล้วก็กลายเป็นมาตรการในปัจจุบัน อดีตก็ว่ากันไป ทางเขาก็ทำงานกันอยู่ อาจจะบอกได้ว่าทำงานค่อนข้างยากเพราะเกี่ยวข้องกับต่างประเทศ การประสานงานมันไม่ได้ง่าย แต่ยังมีการดำเนินอยู่ 

ส่วนปัจจุบันและอนาคตค่อนข้างมั่นใจว่าจาก Lesson Learned อันนั้นก็ทำให้มีการวางกฎเกณฑ์มาป้องกันซึ่งทำให้คนไทยมีความมั่นใจมากขึ้น


ถึงตรงนี้เราคงปฏิเสธเรื่องการลงทุนหรือการเก็งกำไรในเงิน Crypto เงินดิจิทัล ไม่ได้แล้วใช่ไหม

ใช่แล้ว เพราะจะเข้ามาหาเราโดยที่เราไม่รู้ตัว


คนไทยที่ยังไม่สนใจหรือไม่รู้เรื่อง ต้องมีคำแนะนำให้เขาอย่างไรบ้าง

ก่อนอื่นเลยหากจะลงทุนต้องใช้แพลตฟอร์มของคนไทยก่อน เพราะถ้าใช้แพลตฟอร์มของคนไทย ถ้ามีปัญหาสงสัยไม่เข้าใจ หรือมีการทำเงินหาย ยังคุยกับคนไทยด้วยกันได้ แต่ถ้าไปใช้แพลตฟอร์มเมืองนอกเราไม่มีใครช่วย ต้องพูดภาษาอังกฤษ ให้เริ่มต้นใช้งานแพลตฟอร์มไทยไปก่อน พอมีความรู้แล้วค่อยขยายเพิ่มเติมไปอย่างอื่นแล้วกัน


มีการแนะนำวิธีหรือหลักการการลงทุนไหม

คืออาจจะไม่มีการออกมาสอนเป็นเรื่องเป็นราว เพียงแต่ถ้าทดลองลงทุนด้วยตัวเองด้วยเงินน้อยๆ ก่อนแล้วกัน หลักร้อยหลักพันประมาณ แล้วมีปัญหาอะไรก็ค่อย Contact Call Center เข้าไป โอนเงินผิด ทำรายการไม่ถูก เขาก็ช่วยได้ เพราะในโลกของ Crypto ต้องดูแลเงินตัวเอง ถ้าเรายังไม่เชี่ยวชาญก็ให้ผู้ประกอบการตัวกลางช่วยดูแลก่อนได้ ค่อยๆ เรียนรู้ไปทีละเล็ก ทีละน้อย


ดอกเบี้ยขาลงเที่ยวนี้คงจะเกิดขึ้นจริงแล้วอาจจะนาน คิดว่าเป็นโอกาสทองของเงิน Crypto เงินดิจิทัลใช่ไหม

ใช่เลย เพราะจริงๆ แล้วคือ นักลงทุนสถาบันรายใหญ่ของโลกที่เข้ามาซื้อ Bitcoin มาลงทุนใน Cryptoคือเขาอยากจะหนีความเสี่ยงจากเงินดอลลาร์ เพราะต้องบอกว่าตอนนี้เงินดอลลาร์เสื่อมความนิยมลงไป แต่ไม่ถึงขั้นจะล่มสลายนะ เพียงแต่ตอนนี้มีคู่แข่งมาเยอะเช่นทางกลุ่ม BRICS บ้าง กลายเป็นว่าดอลลาร์ได้รับความนิยมน้อยลง แต่สินทรัพย์ส่วนใหญ่ถือเป็นดอลลาร์ เพราะฉะนั้นเขาต้องมีการลงทุนในสินทรัพย์ที่สามารถต้านความเสี่ยงจากเงินดอลลาร์ได้ซึ่งทางเลือกหนึ่งก็คือ Crypto


ปกติแล้ว Crypto กับ ทองคํา เป็นคู่แข่งกัน อันหนึ่งโต อันหนึ่งจะลด

ผมว่าไม่เชิง Crypto นะ ถ้าเทียบกับทองคําต้องเปรียบเทียบกับ Bitcoin แต่ถ้าเป็น Ethereum หรือเหรียญ Altcoin อื่นๆ ผมอยากจะเปรียบเทียบกับหุ้นเทคโนโลยีมากกว่า ถ้าจะเป็นทองคำต้องเปรียบเทียบกับ Bitcoin เพียงแต่ตัว Bitcoin มีความเป็นได้ว่าครึ่งๆ ครึ่งหนึ่งมีความเป็นทองคำ แต่อีกครึ่งหนึ่งมีความคล้ายๆ กับ Growth Asset หรือสินทรัพย์เติบโต เพราะฉะนั้นไม่เหมือนทองคำสักทีเดียว เพราะคนบางกลุ่มอย่าง กลุ่ม Gen X เขาอาจจะไม่ได้เก็ตเรื่อง Bitcoin แต่คนรุ่นใหม่เขาก็เข้าใจ วันนี้มีกลุ่มที่แยกกันชัดเจน ไม่น่าจะเป็นคู่แข่งกัน

 
 
 

Comments


bottom of page