top of page
312345.jpg

เคาะบิตคอยน์ต้องทำใจ...โลกของ Cryptocurrency ขึ้นเร็วลงแรง


ปรมินทร์ อินโสม ประธานกรรมการบริหาร บริษัท สตางค์ คอร์ปอเรชั่น แจงธรรมชาติของบิตคอยน์ขึ้นแรงลงเร็ว ผู้เล่นรายใหม่ต้องระวังและยอมรับความเสี่ยงให้ได้ แนวรับจาก 35,000 ถัดไปคือ 20,000-25,000 ดอลลาร์แต่ไม่น่าลงลึกขนาดนั้น ย้ำโอกาสทดสอบ 70,000 ดอลลาร์ไม่ใช่ไม่มี จับตาขาใหญ่ อย่างเช่น อีลอน มัสก์ ชี้นำตลาด


เหรียญบิตคอยน์ไหลลงแรงและเร็วจากเกือบ 6 หมื่นดอลลาร์ ลงมาหลุด 35,000 ดอลลาร์ อย่างรวดเร็ว เรียกว่าเขื่อนแตกหรือตกเหว คือเป็นการยืนยันขาลงแล้ว

จริงๆ ก่อนหน้านี้ราคาบิตคอยน์มันพยายามขึ้นไปทะลุ 7 หมื่นดอลลาร์มาหลายรอบ แต่ว่าไม่สามารถขึ้นทะลุไปได้ก็วิ่งๆ แถว 5-6 หมื่นนี้มาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ จนมาเดือนเมษา พฤษภา ก็เลยกลายเป็นว่าวิ่งอยู่ในกรอบนี้มานานมาก

ทีนี้การจะขึ้นไปต่อมันต้องมีการปรับฐานก่อน เพื่อจะปรับให้สามารถขึ้นไปทดสอบที่ระดับดับ 7 หมื่นได้ในอนาคต มันก็เลยกลายเป็นว่าเราได้เห็นมันถูกเทลงมา จริงๆ แล้วทุกคนมองก่อนหน้านี้ว่าต้องมีการลงมาแน่นอน เพียงแต่ว่าการลงมาในรอบนี้มันลงมาหลุดหลายแนวรับ แนวแรกประมาณ 4.2 หมื่น ซึ่งมันก็ลงมาแล้วทะลุมา แล้วมาทะลุแนวรับที่สองประมาณ 3.8 หมื่น แล้วทะลุมา 3.5 หมื่นลงมาเหลือประมาณ 3 หมื่นกว่า คือแนวรับเกือบสุดท้าย ตรงนี้ก็เลยกลายเป็นว่าการลงมาครั้งนี้ เป็นการลงที่ทะลุ 3 แนวรับใหญ่ๆ อย่างที่ได้มีการคาดการณ์ไว้

ทั้งนี้ทั้งนั้นจะเห็นว่า หลังลงลึกแล้วได้มีการรีบาวด์กลับขึ้นมา 3.7 หมื่น ซึ่งจริงๆ เป็นเรื่องธรรมชาติของ บิตคอยน์ อยู่แล้วที่จะมีการลงค่อนข้างที่จะโหดร้ายสำหรับมือใหม่ คือถ้าเราย้อนไปดูกันในลักษณะที่ราคาของบิตคอยน์ คือมีการขึ้นแรงและร่วงแรง เป็นธรรมชาติของบิตคอยน์อยู่แล้ว ถ้าเราย้อนกลับไปดูกัน ตอนขึ้นประมาณเดือนมกราคม 2564 ที่มันพุ่งจากประมาณ 3 หมื่นกว่าขึ้นไปถึง 6 หมื่น ภายใน 3-4 อาทิตย์เท่านั้น เมื่อลงก็ลงแรงเช่นกัน


การที่มันลงมาผ่าน 3 แนวรับใหญ่ มองว่าถ้ามีรีบาวด์ก็เพื่อลงไปหาแนวรับที่ 4 หรือไม่ ยังมีจุดต่ำสุดกว่านี้อีกหรือไม่

คือถ้าต่ำกว่านี้ ก็จะลงมาที่ 2-2.5 หมื่นดอลลาร์เลย แต่ก็มองว่าไม่ควรลงไปลึกขนาดนั้น คงจะอยู่ราวๆ ประมาณนี้ ที่เป็นแนวรับประมาณ 3 หมื่น


นิสัยของบิตคอยน์ เท่าที่คุณปรมินทร์ติดตามมาตั้งแต่แรก จะมีนิสัยแบบขึ้นกี่เปอร์เซ็นต์ ลงกี่เปอร์เซ็นต์ มันจะมีรอบของมันอย่างไร

ที่ผ่านมาส่วนมากเวลาขึ้นจะไม่บอกว่าขึ้นไปเท่าไหร่ แต่เวลาลงค่อนข้างเป็นค่าเฉลี่ย อย่างเรามอง 30-40% ของราคาที่ขึ้นไปเป็นเรื่องปกติ เพื่อที่จะขึ้นต่อไป จะเป็นลักษณะประมาณนี้


ก่อนหน้านี้ไม่เคยลงมากกว่า 40%


โดยเฉลี่ยบิตคอยน์ตั้งแต่ปีที่แล้วมันจะขึ้นมาเรื่อยๆ แต่ว่าการขึ้นของมัน มันจะขึ้นในลักษณะที่ว่าเดือนมกราคมต้นเดือนขึ้นไปที่ 4 หมื่นกว่าแล้วพอมันลงมาจะลงมาที่ 3 หมื่นเลย เพราะฉะนั้นถ้าเราคำนวณเป็นเปอร์เซ็นต์แล้วอยู่ราวๆ ประมาณ 30-40% ของตัวราคาบิตคอยน์ ทุกคนก็เลยมองว่าการที่มันจะขึ้นไป 6 หมื่น แล้วก็ลงสักประมาณ 4 หมื่น มันก็เป็นเรื่องที่อยู่ในกรอบตามเปอร์เซ็นต์ที่จะลงมาได้


คนที่เพิ่งเข้ามาเมื่อต้นเดือนพฤษภา และถือไว้แถว 4-5 หมื่นในรอบนี้ จะต้องทำอย่างไรดี

มองว่าขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการทางการเงินของแต่ละคนเลยครับ เพราะว่าส่วนตัวเข้าใจว่าคนที่มาจากตลาดหุ้น คุ้นกับการเทรดหุ้นเป็นหลักจะมองเห็นว่าการลงเป็นเรื่องปกติ และถ้าเห็นว่าติดลบเกิน 5% ส่วนมากก็จะขายออกไปแล้วตรงนั้น หรือถ้าคนมีเงินลงทุนพวกตลาดอนุพันธ์มาก่อนก็อาจจะว่า 2% ก็ตัดขายไปเรียบร้อยแล้ว

ในโลกของคริปโตเคอร์เรนซีมันแกว่งเยอะอยู่แล้ว คือ เปอร์เซ็นต์ของบิตคอยน์เมื่อเทียบประมาณ 4 ปีที่แล้วที่ขึ้นลงมองว่าเป็นเรื่องปกติมากๆ แต่พอมาระยะหลังๆ นี้ มันกลายเป็นว่านักลงทุนสถาบัน ก็เข้ามาให้ความสนใจลงทุนบิตคอยน์มากขึ้น ก็เลยทำให้การติดลบ 10-20% ภายใน 1 วัน มันเลยกลายเป็นเรื่องใหม่ของคนที่ไม่คุ้นเคยและเพิ่งมาให้ความสนใจลงทุนบิตคอยน์ในปีนี้

ณ ปัจจุบันที่มีแนวทาง คือถ้ามันลงมาขนาดนี้ และรับความเสี่ยงได้และมองไปว่ามีโอกาสที่จะขึ้นไปทะลุ 7-8 หมื่นได้ ถ้าเขายอมรับในสัดส่วนตรงนี้ได้ดังนั้นจะถือไว้ก่อนก็ได้ แต่ถ้ามองคำนวณแล้วมัน

ยอมรับความเสี่ยงที่มีอยู่ในขณะนี้ไม่ได้ ก็ต้องตัดขาดทุนไว้ก่อนก็ไม่เสียหาย


คนที่เข้ามาใหม่ คงจะเจ็บตัวกันเยอะเลย

ส่วนตัวมองว่า แล้วแต่การบริหารจัดการทางการเงินของแต่ละคน แล้วก็การรับความเสี่ยงของแต่ละคนที่จะรับความเสี่ยงได้มากหรือน้อย เพราะด้วยตัวสินทรัพย์เองมันมีอัตราเสี่ยงองมันอยู่แล้ว ถ้าใครมองว่าคือความเสี่ยง


นอกจากบิตคอยน์ เหรียญอื่นๆ ก็กอดคอกันลงไป

ต้องบอกว่าเหรียญอื่นลงมากกว่าบิตคอยน์ด้วยซ้ำไป คือด้วยธรรมชาติของคนที่เทรดตัวบิตคอยน์ คือ จะเทรดบิตคอยน์สักระยะหนึ่งแล้วก็จะเอาเงินที่ได้ไปซื้อเหรียญอื่น เช่น อีเธอเรียม หรือ ด็อกคอยน์

ที่มองก็คือมันเป็นการกระจายให้ปลอดภัยมากกว่า และพอราคาบิตคอยน์ลงเขาก็จะขายเหรียญอื่นที่ไปลงไว้ที่ไม่ใช่บิตคอยน์ แล้วก็ค่อยแลกกลับมาเป็นบิตคอยน์เหมือนเดิม

เราจะเห็นได้ว่าราคาบิตคอยน์ที่ผ่านมา 2 สัปดาห์ตกลงไปจาก 6 หมื่นเหลือ 3 หมื่นเศษ คือลดลง

ประมาณ 40-50% แต่ว่าเหรียญอื่นๆ ลดลงไปกว่า 50-60% แล้ว คือมูลค่าลงไปเยอะกว่ามากๆ เพราะฉะนั้นแล้ว เรามองว่าบิตคอยน์ลดลงไปเยอะแล้วแต่ก็มีเหรียญอื่นลดลงไปมากกว่า


คนที่จะซื้อบิตคอยน์ ควรจะซื้อพวกเหรียญอีเธอเรียมหรือด็อกเอาไว้ด้วย

ส่วนตัวมองว่าถ้าเหรียญอื่นๆ มันเป็นลักษณะขึ้นเยอะและลงเยอะเหมือนกัน และตอนนี้มันลงมาเยอะเหมือนกัน ฉะนั้นแล้วถ้าทุกคนมองว่าราคาบิตคอยน์จะกลับขึ้นไปอีกได้ นั่นหมายความว่าการซื้อเหรียญอื่นที่ไม่ใช่บิตคอยน์โอกาสที่เหมือนกับว่าได้รีเทิร์นมันจะสูงกว่า แต่มันก็ต้องขึ้นกับบิตคอยน์ด้วย คือตัวบิตคอยน์เองถ้ามันลงไปอีกนั่นหมายความว่า เหรียญอื่นๆ มันจะลงไปเยอะกว่าด้วยเหมือนกัน


สรุปว่าคนที่ถืออยู่ ให้ใจเย็นๆ ได้

มองว่าเรื่องตรงนี้ ทุกคนที่เวลาที่เข้ามาเทรดจะได้ยินคำหนึ่งก็คือ ก.ล.ต.ออกมาเตือนว่าคริปโตเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง ก.ล.ต. เตือนมาระยะหนึ่งแล้ว ตั้งแต่ออก พ.ร.ก.สินทรัพย์ดิจิทัล คำถามก็คือ ราคามันจะเป็นอย่างไร ต้องบอกว่าจริงๆ แล้วถ้าทิศทางขาลงมันสามารถจะลงได้อีกอยู่แล้ว ตรงนี้คือความเป็นจริง ด้วยราคาของบิตคอยน์มันเคยขึ้น ยกตัวอย่างในปี 2013 คือมันเคยขึ้นไปแล้วมันตกลงมามากกว่า 90% ของมูลค่าของมัน

ตรงนี้ก็เลยมองว่า นักลงทุนต้องเข้าใจว่าเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง เนื่องจากราคาบิตคอยน์มันวิ่งขึ้นมาตลอดตั้งแต่กลางปีที่แล้วมาจนถึงปัจจุบัน ในมุมมองส่วนตัวของผมคือ ทุกอย่างมันมีรอบ มี Cycle ของมัน


คือที่คนสนใจกันมากเพราะบิตคอยน์ขึ้นมาเยอะ แถมคนดังอย่าง อีลอน มัสก์ ก็ออกมาเชียร์ ถึงขนาดให้ใช้บิตคอยน์ซื้อรถเขาได้ แต่ผ่านมาไม่เท่าไหร่กลับลำเกิดรักโลกขึ้นมาบอกว่า บิตคอยน์ไม่ดี ทำให้โลกเกิดปัญหา ไม่รับบิตคอยน์มาซื้อรถแล้ว และรอบที่ตกมาแรงนี้ยังสำทับด้วยทางการสหรัฐอเมริกาเองกีดกันจะเก็บภาษีเพิ่ม จีนเองก็ออกมาห้ามสถาบันการเงินทำธุรกรรมด้วย แบบนี้ถือว่า บิตคอยน์ คริปโตหมดอนาคตหรือยัง

คริปโตเคอร์เรนซี เพิ่งเกิดมา 17 ปีเท่านั้น ยังถือว่าใหม่มากๆ เมื่อเทียบกับเวลาที่เราพูดถึงพวกเอไอ ซึ่งเกิดมาประมาณ 50-60 ปี เหมือนกับว่าเราเพิ่งมาพูดถึงเอไอในชีวิตประจำวัน แต่ว่าพวกบิตคอยน์และคริปโตเคอร์เรนซีเกิดมา 17 ปี เราเพิ่งพูดถึง ส่วนการที่ อีลอน มัสก์ ออกมาพูดมีผลกระทบกับราคาของคริปโตเคอร์เรนซีซึ่งรวมถึงบิตคอยน์ด้วย เป็นเพราะมันมีความใหม่ของมันอยู่ และตลาดนี้ยังเล็กอยู่ มันก็เลยทำให้เหมือนกับว่าคนที่เข้ามายังไม่มีอะไรยึดเหนี่ยวหรืออ้างอิง ทีนี้พอมีคนที่เป็นผู้ที่ทรงอิทธิพลประสบความสำเร็จมาเป็นผู้นำคนก็เลยตามเขาไป

ต้องบอกว่า อีลอน มัสก์ ก็มีประวัติที่ทำในเรื่องของการทำราคาเรื่องของหุ้นของเขาอยู่แล้ว แล้วตอนหลังก็โดนทาง ก.ล.ต.ของรัฐ เตือน มันก็ทำให้เขาไม่สามารถปั่นหุ้นตัวเองได้อยู่แล้ว พอปั่นหุ้นตัวเองไม่ได้ก็มาปั่นคริปโตเคอร์เรนซีแทน ซึ่ง ก.ล.ต.ทำอะไรไม่ได้ ก็เลยกลายเป็นอย่างที่เราเห็น ก็คือ พอเขาซื้อคริปโตเคอร์เรนซีไว้ในช่วงต้นปี แล้วก็มีคนไปเห็นราคามันขึ้น แล้วพอสักพักหนึ่งเขาก็กลับมาประกาศเหมือนว่าคือไม่สนับสนุนบิตคอยน์แล้วนะ สิ่งที่เกิดขึ้นโดยเหตุผลที่เขาบอกว่าเหมือนมันใช้พลังงานเยอะตรงนี้ คิดว่าจริงๆ แล้วการที่เขาเข้าไปตั้งแต่ต้นปีหรือปลายปีที่แล้ว เขารู้ข้อมูลตรงนี้อยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเขาเลือกที่จะพูดตอนนี้เหมือนกับว่าเพื่อให้ราคามันลงไป ซึ่งจริงๆ แล้วเขาอยากจะซื้อเพิ่มอีกหรือเปล่า ตรงนี้เราตอบไม่ได้

115 views
bottom of page