top of page
312345.jpg

ฟองสบู่ในตลาด CRYPTO มีจริง...คิดจะลงทุนต้องพร้อมทำใจรับขาดทุน/กำไร


พีรพัฒน์ หาญคงแก้ว กรรมการสมาคมสินทรัพย์ดิจิทัลไทย CEO Blockchain Review ชี้มีฟองสบู่ในตลาดซื้อขายคริปโทเคอร์เรนซีจริง แต่ก็เป็นเรื่องปกติตามไซเคิลทุกๆ 2-3 ปี แนะใครคิดกระโดดเข้าตลาดนี้ต้องพร้อมทำใจรับขาดทุน/กำไร ถ้าจะให้ดีควรศึกษาเรียนรู้ไปพร้อมๆ กับการลงสนามจริง


กรณีเหรียญบิตคอยน์ ที่ราคาปรับลดลงแรง แล้วยังมามีกรณีเหรียญไททัน ถูกเทขายจนกลายเป็นศูนย์ ทำให้มีการพูดว่ากำลังเกิดภาวะฟองสบู่ในตลาดคริปโทฯ คุณพีรพัฒน์ช่วยอธิบายเรื่องเหล่านี้หน่อย

บิตคอยน์ ที่มีจังหวะหนึ่งตกต่ำกว่า 3 หมื่นดอลลาร์ มีคนถามว่าเป็นฟองสบู่หรือเปล่า คือเราต้องเข้าใจก่อนว่าตลาดดิจิทัลจะมีภาวะฟองสบู่อยู่เรื่อยๆ อยู่แล้ว เพียงแต่ฟองสบู่ที่ว่าจะมีรอบไซเคิลค่อนข้างเร็วกว่าตลาดหุ้น เช่น 10 ปีในตลาดหุ้น แต่เป็น 1 ปีในตลาดคริปโทเคอร์เรนซี

คือการเกิดบับเบิล หรือฟองสบู่ใหญ่ๆ ของ บิตคอยน์ จะเกิดขึ้นทุก 2-3 ปีอยู่แล้ว เป็นเรื่องค่อนข้างปกติ และในระหว่างนั้นจะมีไซเคิลของฟองสบู่ที่เกิดขึ้นและแตก คือเหมือนกับวันนี้เราเห็นบิตคอยน์ขึ้นไป 30% แล้ววันรุ่งขึ้นอาจจะตกลงมา 40% และอีก 1 เดือนจากนั้นก็กลับขึ้นไปอีกก็ได้

ทีนี้ ถามว่ารอบนี้ของบิตคอยน์ มันเป็นฟองสบู่หรือไม่ คำตอบคือมันเป็นฟองสบู่

ส่วนในกรณีที่บิตคอยน์ในภาวะตลาดลดลงนี้มีความชัดเจนมากที่สุดว่าเป็นผลจากประเทศจีนประกาศให้เรื่องการใช้กฎหมายของจีนที่เหมือนกับว่าให้ปิดธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับเงินดิจิทัลอย่างบิตคอยน์และเหมืองขุดทั้งหมด ซึ่งถ้าเราไปดู “กำลังขุด” ที่เกิดขึ้นในช่วงระยะเวลา 1 เดือนที่ผ่านมา กำลังขุดของทั้งโลกหายไปราวๆ 30% ซึ่งเกิดจากการปิดตัวของจีน เพราะฉะนั้นตลาดช่วงนี้จะเกิดความไม่แน่นอนไปเรื่อยๆ จนกว่าธุรกิจในจีนบางส่วนจะเริ่มย้ายออกจากประเทศแล้วไปตั้งรกรากที่ประเทศอื่น และเริ่มทำธุรกิจใหม่ได้อีกรอบ...และกว่าจะถึงตอนนั้นเราก็ยังไม่รู้ว่าตลาดจะเป็นอย่างไรต่อ ตลาดจะมีความไม่แน่ไม่นอนอย่างนี้ไปเรื่อยๆ


คุณพีรพัฒน์มองว่า การเข้ามาซื้อขายคริปโทฯ นี้เป็นสิ่งที่ไม่ได้อันตรายถ้าศึกษาข้อมูล เพราะมันจะมีรอบของมัน ซึ่งความจริงคือในหลายประเทศสนับสนุนให้มีการซื้อขายและใช้เหรียญ แต่หลายประเทศก็ปิดกั้น

ต้องเข้าใจก่อนว่า คริปโทเคอร์เรนซีไม่ใช่หุ้น หลักการของมันคือไม่ใช่หุ้น และเป็นสินทรัพย์ที่คล้ายๆ กับว่าอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐเสียส่วนใหญ่ เพราะฉะนั้นสินทรัพย์พวกนี้จะเป็นสินทรัพย์ที่บางส่วนก็คือรัฐอาจจะไม่ได้ประโยชน์และไม่ได้มีเหตุผลที่จะต้องให้การสนับสนุนเหมือนหุ้น นี่คือสิ่งที่ต้องเข้าใจ...แต่เนื่องจากว่ามันเป็นลักษณะสินทรัพย์ที่ว่าใครจะสร้างก็ได้ แล้วสามารถสร้างอะไรก็ได้ คือเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลที่ไม่ใช่หุ้น และด้วยความที่มันไม่ใช่หุ้นคือสามารถรังสรรค์อะไรต่างๆ ได้ มันเป็นโหมดดิจิทัล ที่จะใส่อะไรเข้าไปก็ได้ เพราะฉะนั้นมันก็ทำให้เกิดแนวคิดใหม่

แน่นอนมันก็จะมีการทดลอง ซึ่งการทดลองแบบนี้มันจะมีล้มตายลงไปได้ หรือแม้แต่คนที่สร้างมาเพื่อการหลอกลวงก็มีเหมือนกัน

ถามว่าพวกนี้เราควรไปลงทุนหรือไม่ คำตอบคือมันเป็น ASSET ที่มีความน่าสนใจ แต่ก็มีความเสี่ยงสูงกว่า เพราะว่าก่อนอื่นคือสมมติมีคนสร้างคริปโทเคอร์เรนซีขึ้นมาแล้วเขาบอกว่าคริปโทเคอร์เรนซีของเขาจะมีแนวคิดอย่างนี้ๆๆ นะ คำตอบคือแนวคิดนั้นเป็นแนวคิดใหม่ที่ไม่ได้ถูกพิสูจน์โดยใครเลย ฉะนั้นมันอาจจะเป็นแนวคิดที่ดีหรือไม่ดีก็ได้ แต่แน่นอนคือความเสี่ยงมันสูง มันเป็นแนวคิดใหม่ที่น่าสนใจ แต่ความเสี่ยงมันสูง เพราะว่าไม่ได้ถูกทดลองมาก่อน

ดังนั้นถ้าใครจะเข้าไปลงทุนกับมัน ถามว่าลงทุนได้มั้ย คือได้ แล้วแต่คุณ การลงทุนเป็นเรื่องส่วนตัว แต่ต้องเข้าใจว่าการที่คุณเข้าไปลงทุนพวกนี้มันมีความเสี่ยงมากกว่าการลงทุนแบบปกติ แล้วก็คุณจะต้องใช้การศึกษาหาความรู้มากกว่าปกติ เพราะโดยปกติเวลาเราลงทุนในหุ้นถ้าสมมติมันมีความผิดพลาดมันจะมีหน่วยงานกำกับดูแล แต่โลกดิจิทัล คริปโทฯ นี้มันไม่มีคนมากำกับดูแล มันเป็นสิ่งที่เราต้องแลกกันกับการได้รับอิสระในการลงทุน


สรุปคือต้องศึกษากันก่อนตัดสินใจลงทุน...แต่ที่นี้ ตอนนี้มีเหรียญคริปโทฯ เยอะแยะมากมายที่จะเข้าไปลงทุนได้ นอกจากเหรียญดังๆ อย่าง บิตคอยน์ อีเธอร์เรียม แล้วจู่ก็มีด็อกคอยน์ หรือ ไทยทัน โผล่ขึ้นมา แล้วเราจะมีวิธีการอย่างไรในการเลือก ว่าควรลงทุนกับเหรียญไหนอย่างไร

ง่ายๆ เลย ถ้าคุณไม่รู้อะไรมาก ก็ไปลงทุนในเหรียญรูปที่เป็นบิ๊กแคปก่อน ที่เป็นเหรียญที่มีมูลค่าสูงอย่างพวกบิตคอยน์ อีเธอร์เรียม เพราะเหรียญพวกนี้ข้อดีคือเหมือนกับหุ้นตัวใหญ่ ซึ่งเวลาหุ้นตัวใหญ่ มันเงินเยอะ เวลาที่มันมีการเปลี่ยนแปลงของกระแสเงิน สิ่งที่เกิดขึ้นคือพวกนี้จะได้รับผลกระทบน้อย ฉะนั้นความเสี่ยงก็เลยต่ำกว่า

ส่วนหากคุณจะเล่นเหรียญที่เสี่ยงขึ้น ยิ่งสมมติถ้าคุณเล่นเหรียญที่มีมูลค่าต่ำมากเท่าไหร่ คุณก็ต้องรู้ไว้ว่า พวกนั้นก็ไม่ต่างจากโครงการสตาร์ทอัพ มันอาจจะมีแนวคิดที่ดีมากๆ แต่พอเกิดการเปลี่ยนแปลงของกระแสการเงิน มันกลายเป็นว่าโครงการเหล่านี้ มันไม่มีความสามารถในการทนต่อกระแสการเงินที่เปลี่ยนไป เพราะฉะนั้นมันอาจจะตกลงได้มาก สมมติว่าคุณไปเล่นเหรียญเล็กคุณก็ต้องรู้ดาวน์ไซด์กับอัพไซด์มันเยอะ คืออาจได้กำไร 2-3 เท่าแต่คุณก็มีโอกาสจะขาดทุนได้ถึง 90-95% ได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นก็ประเมินความเสี่ยงของตัวเองให้ดีไว้ ไม่เช่นนั้นก็เหมือนกับว่าพอคุณลงทุนไปคุณก็จะไม่รู้เหมือนกันว่าคุณเสียกับอะไรไป สมมติผมลงทุนในเหรียญของโพรเจกต์ไปด้วยเงินนิดเดียวโดยผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับโพรเจกต์นั้นมาก เพราะฉะนั้นผมก็จะลดความเสี่ยงด้วยการลงเงินน้อยก่อน แบบนี้ก็จะพอได้ เพราะในความเป็นจริงในการลงทุนถ้าเราต้องการรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับโพรเจกต์ที่ลงทุนมันเป็นไปได้ยาก ไม่อย่างนั้นก็คงไม่มีคนลงทุนในหุ้น เพราะว่ากว่าจะศึกษาหุ้นทุกตัวให้รู้ลุกจนครบถ้วนก่อนก็ไม่ได้ลงทุนกันพอดี


ตามที่พูดถึงฟองสบู่ตลาดคริปโทฯ มันจะมีไซเคิลของมัน แต่รอบที่เกิดจะเร็วหน่อย...อย่างนั้นถ้ามาถึงจุดนี้ ที่ว่ามันเป็นฟองสบู่จริงๆ ด้วย ดังนั้นอย่างกรณี บิตคอยน์ ที่มันลงมาต่ำกว่า 3 หมื่นดอลลาร์แล้วมีเด้งขึ้นนิดหน่อย จังหวะแบบนี้คือเป็นจังหวะที่เข้าไปซื้อได้หรือยัง หรือคนที่ติดดอยอยู่แถว 6 หมื่นดอลลาร์เมื่อเดือนเมษายนแล้ว มาวันนี้เขายังพอจะมีหวังที่จะเห็นมันกลับไปหรือไม่


ขอไม่พูดถึงราคา...เพราะในความเป็นจริงไม่มีใครรู้หรอกว่าราคามันจะกลับมาหรือไม่ ถ้าเกิดพูดคงเป็นเหมือนคนโกหก คือจะรู้ความคิดของคนบนโลกมันเป็นไปไม่ได้


อย่างนั้นเอาเป็นว่าวันนี้มีคนอยากเข้าตลาดนี้ ถ้าไม่รู้อะไรเลยควรจะเริ่มต้นจากอะไรก่อน

ทุกวันนี้จะมีข้อมูลจากเว็บไซต์ให้ไปดูเยอะมาก ที่ขอแนะนำคือหากจะลองเล่นจริงๆ ถ้าตัดส่วนแบ่งจากเงินที่น้อย แล้วลองเปิดพอร์ต แล้วค่อยๆ เล่นดูเลย ลงสนามจริง แล้วเล่นและเรียนรู้ไปพร้อมๆ กันก็ได้ เพราะของพวกนี้เป็นอะไรที่เพิ่งเกิดใหม่ แต่ว่าถ้าคุณจะต้องเรียนรู้มันให้ครบทุกอย่างก่อนค่อยลงทุน มันเป็นไปไม่ได้ คือที่ผมเขียนหนังสือไป 2 เล่มมีทฤษฎีเยอะ คนเอาไปอ่านเรียนรู้ทำความเข้าใจ แต่ก็คงจะสู้คนที่ลงมือปฏิบัติไม่ได้ ซึ่งในความเป็นจริงคงไม่มีใครรู้ทุกอย่าง ก็ต้องค่อยๆ ลองดูของจริง อย่างระวังเพราะจริงๆ เทรนด์มันเปลี่ยนเร็วมาก




15 views
bottom of page