top of page
312345.jpg

แนะแนวบริหารพอร์ตลงทุน หลังจีนจัดระเบียบเขย่าตลาดหุ้น


ณัฏฐะ มหัทธนา ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนและลูกค้าสัมพันธ์ บลจ.กรุงไทย หรือ KTAM ชี้จีนจัดระเบียบ-ลดการผูกขาดของธุรกิจเป็นเรื่องที่รับรู้และตลาดรับข่าวแล้ว และอนาคตของตลาดหุ้นจีนยังคงน่าสนใจด้วยศักยภาพ นักลงทุนต้องพิจารณาครบถ้วนถึงปัจจัยลบและปัจจัยเสี่ยง จากนั้นเลือกลงให้ถูกตัว หากเลือกลงทุนในกองทุนต้องแยกแยะระหว่างกองที่ลงทุนในดัชนี กับกองทุน Active Fund ข้อสำคัญอย่าใส่ไข่ทั้งหมดไว้ในตะกร้าเดียว แม้หุ้นจีนมีอนาคตแต่ต้องจัดสรรพอร์ต/แบ่งเงินไปลงทุนอย่างอื่นด้วย


ตอนนี้นักลงทุนเริ่มกังวลแล้วว่าจะจัดการบริหารพอร์ตลงทุนอย่างไรดี ยิ่งเห็นตลาดหุ้นฮ่องกง เซี่ยงไฮ้ ตลาดหุ้นจีนปั่นป่วนตกลงมาเยอะ

มี 2 เรื่องที่ต้องแยกแยะออกจากกัน คู่ที่ 1 ต้องแยกแยะระหว่าง ความเสี่ยง กับ ปัจจัยลบ คู่ที่ 2 ต้องแยกระหว่างการลงทุนในดัชนี และการลงทุนในกองทุนที่บริหารเชิงรุกที่เรียกว่า Active Fund

คู่ที่ 1 ความเสี่ยงกับปัจจัยลบนั้น ความเสี่ยงคือสิ่งที่เรายังไม่รู้ ยังไม่แน่นอน แต่จะเข้ามาในอนาคตโดยที่คนในตลาด/นักลงทุนอาจจะตั้งตัวไม่ทัน นั่นคือความเสี่ยง เวลาที่เกิดขึ้นมันจะสะท้อนเข้ามาในราคา แปรเปลี่ยนจากความเสี่ยงกลายเป็นปัจจัยลบที่อยู่ในราคาหรือเรียกว่าซึมซับไปแล้ว

ก่อนหน้านี้มีความเสี่ยงในตลาดหุ้นจีนในเชิงของการออกกฎระเบียบต่างๆ ความเสี่ยงนี้กลายเป็นปัจจัยลบพอสมควร ซึ่งเราเห็นกรณีปีที่แล้วที่ แอนท์กรุ๊ป บริษัทการเงินยุคใหม่ของแจ๊กหม่าที่จะผลักดันเข้าตลาดหุ้น ปรากฏว่าโดนทางการเบรกก่อนหน้าเพียงไม่กี่วันก่อนเข้าตลาด จนทุกวันนี้ก็ยังเข้าไม่ได้ เพราะมีประเด็นเรื่องการผูกขาด/การเก็บข้อมูล หลังจากนั้นมาจะเห็นว่าเรื่องกฎระเบียบของจีนอยู่ในความสนใจและมีแอกชั่นดำเนินการหลายกรณี กรณีที่สร้างความตกอกตกใจเมื่อไม่นานมานี้คือ กรณีแอปพลิเคชันเรียกรถ Didi กรณีนี้รุนแรงกว่าของแอนท์กรุ๊ป เพราะว่าแอนท์กรุ๊ปโดนเบรกก่อนเข้าไปซื้อขายในตลาดหุ้น คือไม่ได้เข้า แต่ Didi เข้าตลาดไปแล้วจนเริ่มเทรด ไม่กี่วันหลังจากเทรดก็โดนทางการจีนสั่งให้ถอดแอปพลิเคชันออกจาก Appstore ให้หมด คนที่มีอยู่ใช้ได้แต่คนที่จะโหลดใหม่ไม่ให้โหลด เขาตั้งประเด็นว่ามีการเรียกเก็บข้อมูลผู้ใช้งานไม่ถูกต้อง-ต้องไปแก้ไข คนตกใจเพราะว่า อ้าวระดมทุนไปแล้วและระดมทุนในอเมริกาด้วย เหมือนกับว่าคุณได้เงินไปแล้วเพิ่งจะมาถอดแอป สร้างความไม่พอใจ และนักลงทุนตกใจ แต่ก็มีเหตุผลเบื้องหลังที่ค่อยๆ เผยออกมาอย่างไม่เป็นทางการว่า ทางการเตือนแล้วแต่คุณยังดึงดันที่จะไปทำ IPO กะจะมัดมือชกทางการ/แบบนี้ไม่ได้ รัฐบาลเขาเอาจริง ทางการพร้อมให้ผลลัพธ์ที่รุนแรง จะไปลองดีกับทางการจีนไม่ได้

ล่าสุดยังเข้าไปลุยธุรกิจติวเตอร์ พวกโรงเรียนสอนพิเศษหลังเลิกเรียน ที่เรียกว่า AST (After School Tutoring) เช่นหุ้น TAL Education ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากเป็นธุรกิจเติบโตสูงมาก แต่ทางการจีนก็ลงดาบกับธุรกิจนี้ทั้งในแง่ของการที่ไม่อยากให้นั่งติวนอกเวลามากเกินไป วันหยุดก็ไม่ได้หยุดกัน และการสร้างความเหลื่อมล้ำระหว่างผู้ปกครองที่มีเงินกับไม่มีเงิน เพราะค่าใช้จ่ายตรงนี้ก็สูงมากเป็นสัดส่วนเยอะ และเป็นอุปสรรคต่อการตัดสินใจในการมีลูกของคนเพราะต้องเตรียมค่าใช้จ่ายตรงนี้ไว้ด้วย คนก็ตัดสินใจที่จะไม่มีลูกจากที่ทางการจีนเปิดให้มีลูกได้ 3 คน แต่ถ้าเปิดไว้เฉยๆ แล้วไม่มีอะไรมาสนับสนุนหรือไม่เอาภาระแบบนี้ออกไปคนก็ไม่อยากมีลูกอยู่ดี อันนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนการที่รัฐบาลพยายามผลักดันและทำจริง ทะลวงท่อตรงไหนที่ติดขัดอะไรก็พยายามไปแก้

ขณะเดียวกันก็สั่งให้ธุรกิจการศึกษาเป็น Non Profit คือไม่เป็นองค์กรแสวงหากำไร อยากทำกำรี้กำไรก็ต้องไปหาทำธุรกิจอื่นๆ ในธุรกิจ AST ต้องเป็นองค์กรไม่แสวงหากำไร

ทีนี้ทำอย่างไรดีล่ะ เพราะนักลงทุนเวลาซื้อหุ้นเราก็ต้องการลงทุนในบริษัทที่สร้างกำไร พอได้กำไรก็อาจจะไปลงทุนต่อ อาจจะไปซื้อหุ้นที่จ่ายปันผลคืนให้ผู้ที่หุ้นก็ได้ นักลงทุนต้องการแบบนี้ แต่ถ้าธุรกิจที่เขาซื้อหุ้นแล้วจะกลายเป็นองค์กรไม่หากำไรแล้วจะซื้อหุ้นทำไม ถูกไหม หุ้นกลุ่มธุรกิจการศึกษาจึงลงมาแทบหมดเนื้อหมดตัวเลย ลงมา 90% เท่าที่ผมได้คุยกับนักลงทุนสถาบันต่างชาติหลายๆ เจ้า บางเจ้าถึงขนาดบอกว่าเป็น Uninvestable คือซื้อลงทุนไม่ได้ ก็ธุรกิจไม่ได้หากำไรจะลงทุนไปทำไม มันไม่สมเหตุสมผล

กรณีหุ้นจีนมีความปั่นป่วนตั้งแต่วันศุกร์ที่ 23 กรกฎาคม แบบข่าวลือกัน หุ้นก็ลงมาดอกหนึ่งแล้ว พอมาวันเสาร์ที่ 24 กรกฎาคม ก็เปิดเผยรายละเอียดออกมาว่าข่าวที่ลือเป็นเรื่องจริง พอมาวันจันทร์ตลาดหุ้นปรับลงแรงตั้งแต่ฮ่องกง ยันสหรัฐ หุ้นลงวินาศสันตะโรต่อเนื่องมาวันอังคารที่ 27 กรกฎาคม เป็นจุดที่สุดๆ เลย ลงมาเป็น Bottom ของรอบเลย แต่พอดีตลาดหุ้นของไทยเรามีวันหยุด ผมได้คุยกับนักลงทุนต่างประเทศ เขาก็ชี้แจงมาหลายๆ เจ้าชี้แจงมีความเห็นที่ตรงกันแต่มุมมองหนักเบาแล้วแต่ราย ทั้งนี้ทางการจีนได้เรียก Investment Bank วาณิชธนกิจของต่างชาติเข้าไปเพื่อชี้แจง โดยทางการจีนบอกว่าเขาก็แคร์นักลงทุนนะ แต่ที่เขาทำ (เข้าไปตีกรอบธุรกิจผูกขาดต่างๆ) นั้นไม่ได้ตั้งใจว่าจะทำไปเรื่อยไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งโดยเซนส์เขาไม่ทำอย่างนั้นอยู่แล้ว เขาจะทำไปทำไม ถ้านักลงทุนเทขายทิ้งกระจาดวันจันทร์ วันอังคารนั้นอย่างกับว่าจะไม่เอาตลาดหุ้นแล้ว ตลาดหุ้นมันแย่แน่ๆ ต้องถามตัวเองก่อนว่าความรู้พื้นฐานตลาดหุ้นมีไว้ทำอะไร มันไม่ได้มีไว้แค่เพื่อการเก็งกำไรนะ มันมีไว้เพื่อให้เป็นช่องทางการระดมทุนในส่วนของทุน ส่วนของผู้ถือหุ้น ทำให้บริษัทลดหนี้ได้ เพราะการทำธุรกิจมันมีทั้งเงินกู้ และเงินกู้ไม่ก็มาระดมทุนผ่านตลาดหุ้น

เราต้องถามตัวเองให้ได้ก่อนว่า ทางการจีนมีวัตถุประสงค์อย่างไรที่ทำตรงนี้...ทางการจีนเขาจะไม่เอาตลาดหุ้นแล้วหรือ...จะให้ภาคธุรกิจกู้เงินล้วนๆ ใช่ไหม? ไม่ต้องการเงินทุนต่างชาติเข้ามาแล้วหรือ

ความจริงทางการจีนพยายามอยู่ในเส้นทางของการพัฒนาให้มันดีขึ้น ให้นักลงทุนต่างชาติมาลงทุนได้มากขึ้นทั้งปริมาณและคุณภาพเพื่อมีเสถียรภาพในระยะยาว แล้วการเปิดรับเงินจากนักลงทุนต่างชาติ นอกจากมาช่วยลดต้นทุนเงินทุนเพราะเวลาที่มีเงินเข้ามาซื้อหุ้นในตลาดมากขึ้นก็ทำให้หุ้นมีราคาสูงขึ้น ถ้าราคาสูงขึ้นมองในแง่ของผู้ออกหุ้น แปลว่าบริษัทมีต้นทุนที่ต่ำลงในการออกหุ้น หุ้นไม่ได้ Dilute มาก คือต้นทุนต่ำลงเมื่อเปิดรับเงินจากต่างชาติแบบนี้ ก็ต้องตั้งคำถามว่ารัฐบาลจีนเขาจะปิดตัวเองทำไม

การรับเงินต่างชาติยังได้ประโยชน์อีกอย่างหนึ่ง คือคนจะมาใช้เงินหยวนมากขึ้น ที่สุดแล้วถ้าระดมทุนผ่านเงินฮ่องกงดอลลาร์ บริษัทจีนที่ลงทุนในจีน การเปิดรับผลตอบแทนและความเสี่ยงของนักลงทุนจริงๆ มองทะลุไปถึงสุดท้ายมันคือสินทรัพย์สกุลเงินหยวน เพราะเป็นบริษัทที่ทำธุรกิจในจีน จีนต้องการดันเงินหยวนให้เป็นสกุลเงินหลักของโลกจริงๆ ไม่ได้เป็นแค่เชิงสัญลักษณ์ ตอนนี้ทำมาได้ดี 6 ปีที่ผ่านมาจีนได้ถูกนับเข้าไปในเงินทุนสำรองของโลกที่ตอนนี้มีสัดส่วนอยู่ประมาณ 2.4-2.5% เท่านั้นยังอยู่ในขั้นเริ่มต้นมากเมื่อเทียบกับเงินยูโรที่มีสัดส่วนในทุนสำรองของโลกประมาณ 20% เงินดอลลาร์เกิน 50% แต่สัดส่วนทั้งยูโรและดอลลาร์ในระยะยาวจะมีแต่ค่อยๆ ลดลง ไม่ใช่เขาไม่ใช้นะ ทั่วโลกยังใช้ยูโรและดอลลาร์อยู่ แต่ว่าเงินหยวนกำลังมีบทบาทขึ้นมา และสัดส่วนในทุนสำรองของโลกก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้นมา 5 ไตรมาสติดต่อกัน

ดังนั้นจีนเปิดทั้งตลาดหุ้น ตลาดตราสารหนี้ แนวโน้มมีเงินไหลเข้าในระยะยาว ซึ่งในระยะสั้นคนอาจจะตกใจบ้าง เพราะเรื่องเงินทุนสำรองเป็นเรื่องที่มีคุณค่ามากกับจีน ลองสังเกตดูบางประเทศเวลาที่เศรษฐกิจแย่ถึงแม้เขาจะเป็นต้นเหตุเองหรือว่าเขาจะโดนหนักสุดแต่เขาก็ยังฟื้นได้เร็วมาก ด้วยการทำนโยบายที่เรียกว่า สร้างอภินิหาร เช่นสหรัฐทำ QE ทำโครงการแจกเงิน โครงสร้างพื้นฐานตอนนี้จะผ่านสภาหลายล้านล้านดอลลาร์ แล้วยังจะพิมพ์เงินขึ้นมาเพิ่ม ทำไมเขาถึงทำได้--ก็เหตุผลที่ผมพูดไงครับว่าเพราะทุนสำรองของโลก เขาเป็นสกุลเงินสำรองอันดับ 1 ของโลกใครๆ ก็ใช้กัน ไม่มีใครไม่อยากทำแบบนี้ ยุโรปก็ดันเงินยูโรขึ้นมา เขาทำ QE ได้ เขาทำโครงการกระตุ้นขนาดใหญ่ได้ จีนเองก็มองอยู่ตั้งนานแล้ว


เท่ากับจีนกำลังสังคายนาทำทุกอย่างให้ดีขึ้น ทั้งตลาดหุ้น ตราสารหนี้ ทุนสำรองก็เยอะ หมายความว่าแม้จะเกิดกรณีตีกรอบธุรกิจของจีนจนหุ้นตกระเนระนาด แต่คือวันนี้จีนยังเป็นแหล่งที่น่าลงทุนและยังให้ผลตอบแทนที่ดีได้อยู่ใช่หรือไม่

สรุปประเด็นที่ 1 คือ พวกนี้เป็นปัจจัยเสี่ยงจริงในตอนแรก แต่เราเข้าใจเหตุผลแล้วว่ามีเหตุผลเพื่อให้มีเสถียรภาพเป็นประโยชน์ระยะยาวของตัวเขาเอง และนักลงทุนก็ได้ประโยชน์ด้วย มันกลายเป็นปัจจัยลบถ้าคุณจะบอกว่าอย่างไรนักลงทุนก็ไม่ชอบ แต่ปัจจัยเสี่ยงนี้มันหายไปแล้วนะในเรื่องนี้ ปัจจัยลบคือรู้แล้วว่ามีเรื่องนี้อยู่แล้วมันอยู่ในราคา มันลงมาตั้งเท่าไหร่แล้ว นี่คือเป็นปัจจัยลบแต่สามารถลงทุนได้ มันไม่ใช่ปัจจัยเสี่ยง

คู่ที่ 2 คือ ต้องแยกระหว่างการลงทุนในดัชนีและการลงทุนในกองทุนที่บริหารเชิงรุก ที่เรียกว่า Active Fund คืออย่าไปดูดัชนีมาก

ดัชนีมันไม่ค่อยไปไหนในช่วงที่ผ่านมา แต่ถ้าลงทุนกองทุน Active Fund ที่เขาบริหารจัดการดี Fund Manager เลือกหุ้นถูกตัว เพราะการปฏิรูปการเปลี่ยนแปลงทำให้มีผู้ชนะกับผู้แพ้...การซื้อกองทุนที่เป็นดัชนีตลาด นั่งดูแต่ดัชนี อาจจะไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าไหร่แล้วในตลาดที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงแบบนี้ มีคนที่ได้ประโยชน์และเสียประโยชน์...ผู้จัดการกองทุนรู้แล้วว่าต้องเลือกซื้อหุ้นตัวไหนและจะหลีกเลี่ยงตัวไหน

ประเด็นที่อยากให้แยกแยะให้ดี คือการลงทุนมันเลือกได้ คุณไม่จำเป็นต้องไปซื้อดัชนี กองทุนที่บริหารเชิงรุก Active Fund ที่เขามีมุมคิดแบบนี้ไปหาหุ้นตามมุมคิดของเขา ถ้าเห็นด้วยก็ลงทุนได้

และในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาหุ้นมันลงทั่วกระดานเพียงแต่ว่ามันมีเรื่องมีประเด็นกันไปหมดทุกตัวเนี่ยมันไม่ใช่ คือมันมีโอกาส มีโอกาสดีๆ มากมายมหาศาลเลยที่หุ้นที่มีประโยชน์มันกลับลงมาด้วยอย่างนี้ผู้จัดการกองทุนเชิงรุก Active Fund ก็สามารถที่จะเข้าไปซื้อได้และอาศัยจังหวะนี้ในการเข้าไปสะสม เพราะเราเช็กมาแล้วว่าผู้จัดการกองทุนแต่ละรายเขาคิดอย่างไร

ประเด็นสุดท้ายคือ สัดส่วนการลงทุนที่สำคัญ นักลงทุนไทยชอบมากหุ้นจีนจำนวนกองทุนหุ้นจีนเยอะมากแต่ละกองไซส์ใหญ่ๆ ทั้งนั้นเลย ดู Fund Flow ที่เข้าไปนักลงทุนไทยซื้อหุ้นจีนเยอะมากในช่วงปีที่ผ่านมา

ผมเลยบอกว่าไปดูพอร์ตกับสัดส่วน อยากมีหุ้นจีนเท่าไหร่ อยากมีอย่างอื่นเท่าไหร่ ตอนนี้เรามีอย่างอื่นให้เลือกเยอะแยะเลย ถ้าคิดว่าพอแล้วก็คือพอให้ถือไว้ อย่าไปขายให้ถือไว้แต่อย่าไปเติม อย่าไปถัวว่าจะเอาแต่หุ้นจีนให้ได้เพราะแบบนี้พอร์ตคุณจะสุขภาพไม่ดี เพราะมันกระจุกตัวมากเกินไป คือต้องไปดูอะไรอย่างอื่นบ้าง

178 views
bottom of page