top of page
501397.jpg

ยอดขายรถตก 3 ปีซ้อน หวั่นซ้ำรอยต้มยำกุ้ง


ree

ยอดขายรถยนต์ติดลบต่อเนื่อง 3 ปีซ้อน หวังรัฐบาลอนุทินกระตุ้นเศรษฐกิจได้ถูกจุด ช่วยให้หนี้ครัวเรือนลดลง ประชาชนมีรายได้เพิ่มขึ้น ยอดผลิต-รายได้ของภาคธุรกิจอุตฯ ดีขึ้น เร่งให้แบงก์-ลีสซิ่งปล่อยกู้เพื่อซื้อรถ จะทำให้ยอดขายรถทั้งรถยนต์นั่งและรถกระบะเพิ่มตามไปด้วย เป็นผลดีต่อเนื่องถึงผู้ผลิตอะไหล่-ชิ้นส่วน ยางรถ ล้อรถ หม้อน้ำ ท่อไอเสีย กระจก ฯลฯ อีกทั้งรัฐบาลควรช่วยค้ำประกันสินเชื่อรถและช่วยจ่ายชดเชยบางส่วนให้ผู้ปล่อยสินเชื่อกรณีได้รับความเสียหายจากหนี้เสียเพื่อสร้างความมั่นใจให้ผู้ปล่อยสินเชื่ออีกทางหนึ่ง


Interview : คุณสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ ที่ปรึกษาประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ ส.อ.ท. 


ตอนนี้เข้าไตรมาส 4 โดย 9 เดือนที่ผ่านมาว่าอุตสาหกรรมยานยนต์ยังไม่ค่อยจะดีสักเท่าไหร่


ยังถือว่าแย่อยู่ ปีนี้สิ้นปีถือว่าลดลงมา 3 ปีแล้ว ยอดติดลบมาทุกเดือน 3 ปีติดต่อกัน ถือว่าค่อนข้างจะสาหัสพอๆ กับช่วงต้มยำกุ้ง แต่ต้มยำกุ้งปีที่ 2 ก็เงยขึ้นแล้ว แต่นี่เป็นปีที่สามที่ยังตกอยู่เรื่อยๆ แล้วยังดูว่าปีหน้าจะตกอีกหรือเปล่า ก็รอดูว่าถ้ามีการเลือกตั้ง มีรัฐบาลใหม่อะไรจะดีขึ้นไหม ตอนนี้ก็รอดูว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในเวลา 4 เดือนรัฐบาลชุดนี้จะเป็นอย่างไร


ถ้าการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยภาพรวมออกมาได้ดี อย่างน้อยก็ช่วยกระตุ้นภาคยานยนต์ไปด้วย ซึ่งแต่ละกระทรวงมีมาตรการต่างๆ ออกมา รัฐบาลเองก็มีมาตรการ Quick Big Win ในเชิงของอุตสาหกรรมยานยนต์อยากได้อะไรจากรัฐบาลใหม่บ้างไหมในช่วง 3 เดือนนี้ที่จะช่วยกระตุ้นให้อุตสาหกรรมยานยนต์ดีขึ้นได้


เรายังมองว่าถ้าจะทำให้หนี้ครัวเรือนลดลง รวมทั้งทำให้ GDP ของเราเติบโตดีขึ้น ก็จะช่วยภาคอุตสาหกรรมให้มีการผลิตมากขึ้น เพราะที่ผ่านมาจะเห็นว่าดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม เดือนเมษายน พฤษภาคม มิถุนายน บวกขึ้นมา อันนั้นเพราะการผลิตรถยนต์ของเราเติบโต ที่เติบโตนี้ไม่ใช่เพราะการผลิตรถยนต์ที่ใช้น้ำมัน แต่เป็นการเติบโตเพราะเราต้องผลิตรถยนต์ไฟฟ้าชดเชยจากการนำเข้าในปี 2565-2566 ที่จะต้องผลิตชดเชยในปี 2567-2568 ซึ่งในปี 2567 ผลิตชดเชยไปได้แค่ 10,000 กว่าคันแต่ยอดขายน่าจะประมาณ 80,000-90,000 คัน ก็ยังขาดอีกประมาณ 70,000-80,000 คันที่จะต้องผลิตปีนี้ คือจะต้องผลิตให้ได้ 1.5 เท่าตามหมวดข้อตกลงกับทางภาครัฐ ปีนี้คิดว่าถ้าจะผลิตได้ 1.5 เท่า เท่ากับต้องผลิตให้ได้ 80,000 หรือ 90,000 คัน แต่คิดว่าไม่ได้ น่าจะได้ 40,000-50,000 คัน ผมคิดว่าอย่างนั้น เพราะฉะนั้นการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าก็จะมาช่วยทำให้ยอดผลิตรถยนต์ของเราดีขึ้นและรวมทั้งยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าดีขึ้น แต่พวกนี้ยังใช้ชิ้นส่วนภายในประเทศน้อย ถ้าจะกระตุ้นเศรษฐกิจต้องเพิ่มการผลิตรถยนต์กระบะที่เราใช้ชิ้นส่วนในประเทศถึงกว่า 90%

 

ดังนั้น สิ่งสำคัญคือจะต้องผลักดันให้มียอดขายรถยนต์กระบะเพิ่มขึ้น ซึ่งยอดขายรถยนต์กระบะลดลงมาร่วมเกือบ 3 ปีแล้ว เพราะทางพวกสถาบันการเงินไม่ปล่อยสินเชื่อให้กู้ซื้อรถกระบะโดยมองว่าเศรษฐกิจเราโตต่ำ ผู้ประกอบการที่จะกู้เพื่อจะซื้อรถไปทำมาหากิน จะต้องมีหลักฐานการเงินที่แข็งแรงในการขอกู้กับทางพวกสถาบัน พอไฟแนนซ์ดูแล้วหลักฐานก็ยังอ่อนแอ เศรษฐกิจภายในประเทศของเราก็ยังโตต่ำ ฉะนั้นเขาเลยไม่กล้าที่จะปล่อยกู้ ทำให้ยอดผลิตรถกระบะลดลงมาเรื่อยๆ จากที่เคยขายได้เดือนหนึ่งประมาณ 30,000 กว่าคันเดี๋ยวนี้เหลือเดือนละ 10,000 คัน คิดดูว่าหายไป 2 ใน 3 หรือหายไป 66% ตอนนี้เหลือแค่ 33% เราจึงเห็นด้วยกับที่ทาง กกร.เคยยื่นข้อเสนอกับทางภาครัฐเมื่อปีที่แล้วขอให้ภาครัฐตั้งกองทุน 5,000 ล้านบาท หรือจะมีเท่าไหร่ก็ตั้งไป เพื่อที่จะไปค้ำประกันให้พวกสถาบันการเงินปล่อยกู้ให้มากขึ้นโดยรัฐจะเข้ามาช่วยในเรื่องของผลขาดทุนจากรถยึด เช่น สมมุติว่ารถยึด ยึดมาแล้วขาดทุน 20,000 บาท รัฐก็จะชดใช้ให้ 20,000 บาท ขอให้คุณปล่อยกู้ให้เพิ่มมากขึ้นจากปีที่ผ่านมา แต่รวมแล้วต้องไม่เกิน 50,000 บาทต่อคัน คือถ้าขาดทุน 70,000 บาทจากรถยึด รัฐก็จะชดดใช้ให้ 50,000 บาท หรือจะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่รัฐ


ทางรัฐบาลใหม่บอกว่าจะต้องมีเงินก้อนใหญ่ที่จะมาช่วยกระตุ้นให้ Win-Win โดยเร็ว เพราะฉะนั้นตรงนี้คิดว่าคงจะต้องไปเจรจากับทางพวกสถาบันการเงินปล่อยกู้ให้ผู้ซื้อรถกระบะไปทำมาหากิน ซึ่งจะทําให้ผู้ผลิตรถกระบะ พวกผู้ผลิตชิ้นส่วนจะได้ผลิตมากขึ้น พวกผลิตล้อยางผลิตมากขึ้น หม้อน้ำ ท่อไอเสีย ยาง กระจก ยาง ทุกอย่างเลย พวกนี้ก็จะได้ขายเพิ่มมากขึ้น รัฐก็จะเก็บภาษีได้มากขึ้น เช่นสมมุติว่าเมื่อปีที่แล้วขายได้ประมาณ 120,000 คัน ปีนี้กระตุ้นให้เพิ่มอย่างน้อย 30% หรือจะเท่าไหร่ก็แล้วแต่ไปตกลงกัน ก็จะต้องขายให้ได้ประมาณเพิ่มขึ้น 36,000 ปีที่แล้วขาย 120,000 คัน ปีนี้ต้องขายได้อย่างน้อยที่สุด 150,000 กว่าคัน โดยที่เพิ่มขึ้นมา 30,000 กว่าคันรัฐจะเข้าไปค้ำประกันว่าถ้าคุณยึดรถมาแล้วขาดทุนรัฐจะชดใช้ให้ตามผลขาดทุนที่แท้จริงแต่ไม่เกินคันละ 50,000 บาท สมมุติว่าขาดทุน 20,000-30,000 รัฐก็ชดใช้ให้ แต่คุณต้องปล่อยกู้ให้มาก ให้ยอดขายรถกระบะมีมากกว่าปีที่ผ่านมาอย่างน้อย 30% ซึ่งจะช่วยกระตุ้นหลายๆ อุตสาหกรรมที่อยู่ในซัพพลายเชนของอุตสาหกรรมยานยนต์ให้มียอดขายเพิ่มขึ้น 


สมมุติว่าคุณค้ำประกันตรงนี้คุณก็จะเก็บภาษีได้มากขึ้น เพราะรถกระบะต้องเสียภาษีสรรพสามิต 3% ซึ่งท่านรัฐมนตรีคลังท่านรู้ดีเพราะท่านผ่านงานกรมสรรพสามิตมาแล้ว แล้วยังเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มได้อีก 7% ของราคารถกระบะ ซึ่งท่านก็เป็นอธิบดีกรมสรรพากรมาแล้วเช่นกัน เพราะฉะนั้นในปีที่มียอดขายเพิ่มขึ้นก็จะมีภาษีที่เก็บได้มากกว่ากองทุนที่รัฐตั้งขึ้นมาเพื่อให้ทางพวกสถาบันการเงินปล่อยกู้เพิ่มมากขึ้นด้วยซ้ำ แล้วยังจะได้ภาษีเงินได้นิติบุคคลจากพวกซัพพลายเชนพวกผลิตยาง พวกผลิตหม้อน้ำ ผลิตเหล็ก ผลิตอะไหล่ต่างๆ พอพวกนี้ขายได้มากขึ้นก็จะมีกำไรมากขึ้น การเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลก็มากขึ้น แล้วยังจะได้ภาษีบุคคลธรรมดาจากพวกเซลส์ที่ขายรถกระบะได้เพิ่มมากขึ้น พวกปล่อยกู้ก็จะได้ค่าคอมมิชชัน พวกปล่อยประกันภัยก็จะได้มีรายได้เพิ่มมากขึ้น เมื่อคนมีรายได้มากขึ้นก็จะไปจับจ่ายใช้สอย ซื้อสินค้า ท่องเที่ยวมากขึ้น เงินก็จะเข้าสู่ในระบบ โรงงานต่างๆ ก็ขายของได้มากขึ้น พวกแรงงานที่อยู่ในสายอุตสาหกรรมยานยนต์ประมาณ 850,000 คน ก็จะมีรายได้เพิ่มมากขึ้น จ้างงานก็เพิ่มมากขึ้น เราก็จะได้เป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจขาขึ้น แล้วรัฐบาลต่อไปสามารถที่จะมาเสริมเศรษฐกิจของเราให้เติบโตขึ้น 


กองทุนนี้ใช้เงินไม่ได้มากด้วย แค่ 5,000 ล้าน


ใช่ น้อยกว่าที่ท่านบอกว่ามีอยู่แล้ว 36,000 กว่าล้าน ตรงนี้จิ๊บๆ เรียกว่าน้อยมาก


จะต้องออกแรงเพราะต้องไปคุยกับรัฐบาลมากขึ้นไหม

ใช่ ทางภาครัฐมีท่านที่เก่งทั้งด้านเศรษฐศาสตร์ ด้านการเงิน ด้านการค้า คิดว่าท่านคงจะรีบที่จะดำเนินการเพื่อกระตุ้นยอดผลิตยานยนต์ เพราะการผลิตในด้านอุตสาหกรรมนี้ถือว่าเป็นกระดูกสันหลังของเศรษฐกิจโดยตรงเลย เพราะคนงานอยู่ในสายของอุตสาหกรรมนี้ค่อนข้างเยอะ


จากการที่อุตสาหกรรมยานยนต์เป็นขาลงต่อเนื่องมา 3 ปีแล้ว 3 เดือนสุดท้ายก็ไม่น่าจะดีขึ้นสักเท่าไหร่ จะทำให้ไทยเสียความเป็น Detroit of Asia ไปแล้วไหม


ถ้าพูดจริงๆ เรายังไม่เสียความเป็น Detroit of Asia เพราะยอดผลิตของเราแค่ส่งออกก็มากกว่าประเทศอินโดนีเซีย ประเทศมาเลเซียอยู่แล้ว ปีนี้ตอนแรกเราตั้งเป้าไว้อยู่ที่ 1 ล้านคัน ดูแล้วจากเรื่องเศรษฐกิจที่ไม่มีความแน่นอนจากภาษีของทรัมป์เลยลดลงมาเหลือ 950,000 คัน เพราะฉะนั้น 950,000 คันก็ยังถือว่ามากอยู่ อินโดนีเซียเขาผลิตไม่ถึงเพราะตอนนี้เขาก็เจอปัญหาเศรษฐกิจภายในประเทศของเขาที่ลดลงมา แต่ทางประเทศมาเลเซียเศรษฐกิจเขาเมื่อปีที่แล้วดี เพราะฉะนั้นยอดขายในประเทศของเขาก็เลยแซงหน้าเรา เราเลยตกจากอันดับ 2 มาเป็นอันดับ 3 อันนี้พูดถึงยอดขายในประเทศ แต่ถ้าดูยอดผลิตเรายังเป็นอันดับ 1 ที่ประมาณ 45-46%

 
 
 
bottom of page