โลกลดบทบาทดอลลาร์สหรัฐ เริ่มต้นประวัติศาสตร์หน้าใหม่...ทองคำทุนสำรองสำคัญ
- Dokbia Online

- May 5
- 2 min read

สงครามการค้า ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ผลักดันราคาทองคำพุ่งสูงเร็วกว่าที่คาด ทำสถิติสูงสุดครั้งแล้วครั้งเล่า ช่วงเดือน มี.ค.-เม.ย. ราคาทะยานทะลุ 3,500 เหรียญ หรือขึ้นมากถึง 500 เหรียญภายในเวลาแค่เดือนเดียว เป็นการเริ่มต้นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของทองคำ จากที่เป็นเพียง Safe Haven ในห้วงวิกฤต มาเป็นทุนสำรองสำคัญ Currency Reserves ของทุกประเทศที่ลดการสำรองดอลลาร์สหรัฐ มาเป็นการสำรองทองคำในสัดส่วนที่มากขึ้นอย่างชัดเจน พร้อมย้ำ....ทองคำยังคงเป็นขาขึ้น แม้จะย่อตัวลงบ้างในบางจังหวะ การเก็บทองคำเข้าพอร์ตในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
Interview : นพ.กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ ประธานกรรมการบริหารกลุ่มบริษัท MTS GOLD แม่ทองสุก
สถานการณ์ราคาทองคำจากนี้ จะเป็นไปในทิศทางใด
ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ราคาทองคำพุ่งแรงมากหลังจากทะลุ 3,000 เหรียญ โดยเดือนมีนาคมกับเดือนเมษายนคือช่วงเดือนกว่าๆ นี้พุ่งถึง 400 เหรียญ คือช่วงที่เขาพุ่งทะลุ 3,000 เหรียญขึ้นไป เขาก็พุ่งขึ้นไปทะลุ 3,500 เหรียญ เรียกว่า 500 เหรียญที่ขึ้นมาใช้เวลาแค่เดือนเศษๆ เอง ขึ้นเร็วมาก ซึ่งทองคำไทยหลังจากทะลุแรงระดับ 50,000 บาท โดยเป็นระดับที่วิเคราะห์ไว้ว่าอาจจะเห็นได้แต่ก็น่าจะต้นปีหน้า แต่ปรากฏว่าเขามาเร็วกว่าที่คาด
สรุปโดยองค์รวมก็คือ เมื่อประมาณวันที่ 20 เมษายนที่ผ่านมา หรือวันที่ 18-19 ทองคำก็ไปทำ All Time High ที่ 3,500 เหรียญ และทองคำไทยก็ All Time High คือสูงสุดเป็นประวัติการณ์แล้ว ไม่เคยสูงเท่านี้มาก่อน คือทองคำไทยก็ไปแตะใกล้ๆ 55,000 บาท คือขึ้นไปถึง 54,800 บาทโดยประมาณ เรียกว่าวิ่งขึ้นมาเร็วมาก ในช่วง 3 เดือนครึ่งหรือเกือบ 4 เดือนทองคำขึ้นมาแล้วประมาณ 30% ในรูปของดอลลาร์ ส่วนถ้าเป็นในรูปของเงินบาทจะขึ้นมาประมาณ 24%
เรียกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในตลาดโลก ก็มาจากความตึงเครียดของสงครามการค้าที่เราทราบกันอยู่ว่าสหรัฐอเมริกาขึ้นกำแพงภาษีกับทุกประเทศในโลกที่ค้าขายกับเขารวมทั้งไทยด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตั้งกำแพงภาษีจะโฟกัสไปที่จีน ฉะนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นโดยองค์รวม ก็คือการที่สหรัฐอเมริกาพยายามอย่างยิ่งที่จะเก็บเงินจากกำแพงภาษี ให้ได้มากที่สุดเพื่อลดการขาดดุลการค้าของเขาที่ดำเนินมาอยู่ประมาณ 30-40 ปี
ตอนนี้ต้องบอกว่า งบประมาณของสหรัฐอเมริกาเป็นนโยบายติดลบมาประมาณ 30 กว่าปีแล้ว และตอนนี้ติดลบสูงถึง 36 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ นั่นหมายความว่า ถ้าเขาไม่ทำอะไรอย่างใดอย่างหนึ่ง เขาก็ต้องอยู่ในภาวะที่ลำบากมากขึ้นเรื่อยๆ พูดง่ายๆ คือไม่มีเงินใช้ เพราะการซื้อการขายเป็นลักษณะนำเข้า และขายออกไม่ค่อยได้ ฉะนั้น ผู้ที่เป็นกรณีที่สำคัญกับเขาก็คือจีน เพราะตอนนี้สหรัฐอเมริกาคือผู้ซื้อรายใหญ่ที่สุดในโลก แล้วก็เป็นลูกหนี้รายใหญ่ที่สุดในโลกเหมือนกัน ในขณะที่จีนเป็นผู้ขายรายใหญ่เหมือนกัน แล้วก็เป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ของสหรัฐอเมริกา
สำหรับสภาวะแบบนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือทุกคนก็มองหาตัวที่เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย สำหรับโลกที่ไม่มีความมั่นคงทางด้านเศรษฐกิจและอนาคต ซึ่งสินทรัพย์ปลอดภัยตอนนี้ก็คือทองคำ เพราะในอดีตที่ผ่านมาพอมีสงครามหรือมีสภาวะวิกฤตอะไร สินทรัพย์ที่ปลอดภัยที่สุดก็คือทองคำกับเหรียญดอลลาร์ 2 ตัว แต่พอตอนนี้ดอลลาร์เองเริ่มมีปัญหาเพราะว่าขาดดุลการค้าเยอะมาก เพราะโดยองค์รวมพูดง่ายๆ ว่าสหรัฐอเมริกาต้องการให้เงินดอลลาร์อ่อนค่า หรืออ่อนค่าจากสภาวะทั้งเศรษฐกิจด้วย แล้วจากสภาวะที่ผู้บริหารประเทศโดย โดนัลด์ ทรัมป์ และรัฐมนตรีคลัง ต้องการให้ดอลลาร์อ่อนค่า เพราะถ้าอ่อนค่า เขาก็จะสามารถขายของได้เยอะขึ้น มีเงินเข้าประเทศมากขึ้น
ดังนั้น ตรงนี้นำมาสู่การซื้อทองคำแล้วก็ขายดอลลาร์ออกในรูปของพันธบัตรสหรัฐอเมริกา ฉะนั้นการซื้อทองคำ ณ โลกปัจจุบัน ไม่ใช่เป็นการแค่ลงทุน หรือเก็งกำไรเท่านั้น แต่เป็นลักษณะการซื้อเพื่อเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย หรือถ้าทันสมัยหน่อยก็เรียกว่าเป็นสินทรัพย์ทุนสำรองระหว่างประเทศ ทุกประเทศอย่างไทยเราก็ต้องมีทุนสำรองของธนาคารกลาง ซึ่งโดยส่วนใหญ่ในอดีตเขาจะเก็บเป็นพันธบัตรสหรัฐอเมริกา แล้วก็เป็นเงินหรือพันธบัตรของประเทศต่างๆ ทั่วโลก ขณะที่ทองคำ เขาจะเก็บประมาณ 2-3% เอง ในรูปของ Currency Reserves ของธนาคารกลาง
คราวนี้ในสภาวะแบบนี้ที่ทรัมป์เข้ามาตั้งแต่ 20 มกราคม 2568 ได้สร้างความวุ่นวายแล้วก็สร้างกำแพงภาษี แล้วก็มาเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ต้นมกราคมช่วงหนึ่ง แล้วก็แรงๆ เลยก็คือ 4 เมษายนที่ผ่านมา ตรงนี้ก็เลยทำให้เกิดการเข้าซื้อทองคำเพื่อเก็บ เพราะทุกสำนักก็วิเคราะห์ว่าถ้าเกิดสงครามการค้าแล้ว เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาน่าจะมีการชะลอตัวลง เพราะข้าวของจะแพงขึ้นเพราะคุณตั้งกำแพงภาษีระหว่างกัน ทำให้ของที่เข้ามาในสหรัฐอเมริกาก็จะแพงขึ้นเรื่อยๆ ตรงนี้ก็จะนำมาสู่การซื้อทองคำเพื่อเก็บ โดยบรรดากองทุนและธนาคารกลางของทุกประเทศในโลก ก็เลยทำให้ทองคำในช่วงปีนี้พุ่งกระฉูดอย่างเหลือเชื่อและรวดเร็ว
ยุทธศาสตร์ที่ต้องซื้อทองคำเก็บ ทิ้งพันธบัตร ขายดอลลาร์ทิ้งแล้วมาซื้อทองคำ เป็นสินทรัพย์ที่เป็นสำรอง จะเปลี่ยนทันทีเลยหรือไม่
ไม่เปลี่ยน คือต้องเข้าใจธรรมชาติของผู้บริหารประเทศคนนี้คือทรัมป์แล้วก็ผู้ที่เกี่ยวข้อง คือทรัมป์จะเป็นประเภทที่มีนโยบายเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นในเวลานี้คือทรัมป์ออกมาพูดในทำนองว่าเขาคงจะต้องเจรจากับจีน แล้วลดสภาวะความตึงเครียดกับจีนลงไป ทีนี้เขาออกมาในเชิงส่งสัญญาณ ไม่ได้พูดแบบเป็นเรื่องเป็นราวแบบชัดเจน แล้วสิ่งที่สำคัญ ณ ขณะนี้คือจีนเองก็บอกว่ายังไม่มีสัญญาณใดๆ จากสหรัฐอเมริกาเลย หรือพูดง่ายๆ ว่าพูดในเชิงปฏิเสธ คือยังไม่มีการเจรจาที่เป็นเรื่องเป็นราวที่แท้จริง โดยจีนเองก็ยังตั้งเงื่อนไขสำคัญอยู่ 2-3 เรื่อง ขณะที่ฝั่งสหรัฐอเมริกาก็ยังไม่ได้รับตรงนี้ หรือยังไม่ได้คุย เพราะสิ่งสำคัญก็คือการที่ทรัมป์และรัฐมนตรีคลังของเขาออกมาเริ่มส่งสัญญาณที่จะคุยเพราะตอนนี้คนที่เดือดร้อนคือประชาชนของสหรัฐอเมริกา
ดังนั้น ตอนนี้เขาเหมือนถูกกดดันจากสังคม ถูกกดดันจากสภาวะที่เขาบริหารประเทศแล้วก็ขึ้นกำแพงภาษี จะเห็นว่าเกิดการเดินขบวนประท้วงในสหรัฐอเมริกามา 2 ครั้งแล้ว ประท้วงแบบทั่วประเทศเลย ครั้งแรกออกมาเมื่อวันที่ 2 เมษายน และครั้งที่สองเมื่อ 18-19 เมษายนที่ผ่านมานี้เอง เรียกว่าสภาวะตรงนี้กดดันทำให้ทรัมป์เองดูอ่อนลง
แต่ว่า ณ ขณะนี้ ยังไม่มีการเจรจาใดๆ ของทั้ง 2 ฝ่ายเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่ทางสหรัฐอเมริกาเริ่มส่งสัญญาณว่าอยากจะเจรจา แต่จีนเองใช้กลยุทธ์ว่า ถ้าคุณจะเจรจาก็ยินดี แต่การเจรจาจะต้องมีความเท่าเทียม แล้วจะต้องมีความยุติธรรมทั้ง 2 ฝ่าย
เราพบว่าทุกคนที่เข้าไปเจรจากับทรัมป์ขณะนี้เป็นลักษณะที่ถูกกดดันในทุกประเทศที่เข้าไป ไม่ว่าจะเป็นแคนาดาหรือญี่ปุ่น ถูกกดดันว่าคุณจะมีอะไรมาแลกเปลี่ยนกับการที่จะให้ผมลดกำแพงภาษี ทำนองนั้น ฉะนั้นจีนตอนนี้ก็ระบุชัดเจนว่าถ้าจะคุยกันได้ คุณต้องมาลดกำแพงภาษี แล้วก็ลดเงื่อนไขต่างๆ แล้วค่อยมานั่งคุยกัน รวมถึงต้องเท่าเทียมและมาต่อรองกันอย่างสุภาพบุรุษมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ต้องยอมรับว่าการเจรจายังไม่เกิดขึ้น คือถ้าเราตามข่าว ทรัมป์จะเป็นคนพูดแบบกลับไปกลับมา จะพูดเองหรือไม่ได้พูดก็แล้วแต่ มันเป็นเรื่องที่นักวิเคราะห์หรือนักการเงินในระดับโลกจะเจออยู่แล้วว่ามันมีปัญหาแบบนี้มาตลอดในช่วงนี้
จากเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น ทองคำก็ยังคงเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัยอยู่
ใช่ คือต้องบอกว่าทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัยและน่าซื้อเก็บ หมายความว่าในระยะยาว แม้ทองคำจะขึ้นมาเยอะแล้ว แต่นักวิเคราะห์จากทั่วโลก วิเคราะห์ว่าทองคำจะเริ่มเปลี่ยนตัวเขาเองเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยในเชิง Currency Reserves คือเป็นเงินทุนสำรอง คือต้องเข้าใจว่ามันเหมือนโลกที่เปลี่ยนจากยุคโทรศัพท์บ้านมาเป็นมือถือ และโลกก็เปลี่ยนจากยุคฟิล์มสีโกดัก จนเลิกถ่ายฟิล์ม เป็นถ่ายระบบดิจิทัล
ขณะที่ทองคำ ก็คล้ายๆ กันว่าโลกกำลังจะเปลี่ยนไป อยากจะเปรียบว่าทองคำเป็นโลกอนาล็อกเดิม แต่ตอนนี้เขากำลังเปลี่ยนแปลงตัวเขาไปสู่โลกของการเป็น Currency Reserves มากขึ้น ซึ่งจะเห็นได้ว่าธนาคารกลางของทุกประเทศทั่วโลกในช่วง 2 ปีมานี้เขาเปลี่ยนการซื้อทองคำมาเป็น Currency Reserves มากขึ้น จากเดิมมีประมาณ 2% ก็เพิ่มมาเป็น 6% เป็น 9% เป็น 10% บ้างแล้วแต่นโยบายของแต่ละประเทศ ซึ่งความชัดเจนคือทุกคนซื้อทองคำเก็บมากขึ้น ดังนั้น หมายความว่ายังมีดีมานด์ซื้อจากผู้ลงทุนในระยะยาวในระดับโลกที่เป็นธนาคารกลางของทุกประเทศในโลกรวมทั้งไทยด้วย
ตรงนี้ จึงนำมาสู่ความคิดวิเคราะห์ว่าทองคำยังถือว่าเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยที่น่าลงทุน แน่นอนในระยะสั้นๆ ช่วงล่าสุดนี้เราจะเห็นทองคำผันผวนมาก มีการปรับตัวลดลงมาอย่างรุนแรงหลังจากขึ้นมาอย่างรุนแรง คือปีนี้ขึ้นมาจาก 42, 600 บาท ขึ้นมาที่ 55,000 บาท คือขึ้นมาน้ำหนักทองคำบาทละ 10,000 บาทเศษ ฉะนั้น ช่วงล่าสุดทองคำนี้ตกมาบาทละ 1,500 บาท ถือว่ายังไม่เยอะ เพราะมันขึ้นมาเยอะแล้ว
ทั้งนี้ ในระยะสั้น เราอาจจะเห็นการแกว่งตัวบริเวณนี้สักระยะหนึ่ง แกว่งตัวหมายความว่าอาจจะขึ้นๆ ลงๆ แถวๆ บริเวณ 52,000 บาท ถึง 53,500 บาท เชื่อว่ามีโอกาสแกว่งในกรอบ 1,500 บาทต่อบาททองคำระยะหนึ่ง อาจจะสัก 1-2 อาทิตย์ แล้วราคาก็จะปรับตัวสูงขึ้น ยังมองว่าระยะกลางและยาวยังเป็นขาขึ้นอยู่
ถ้ามีทองคำอยู่ ก็ยังให้ถือไว้
คำแนะนำคือถ้าถือทองคำอยู่ให้ขายทำกำไรบางส่วน บางท่านอาจมีทองคำ 10-20 บาท อาจจะแบ่งขายทำกำไรบ้างเพื่อเก็บกินกำไร แล้วถ้ามีโอกาสลงมาแบบนี้เราก็หาจังหวะเข้าซื้อ ดังนั้น ช่วงแบบนี้เป็นช่วงที่ดีสำหรับนักลงทุนทั่วไปที่จะซื้อๆ ขายๆ ทองคำเพื่อการลงทุนและการเก็งกำไรระยะสั้นเช่นเดียวกัน
มีโอกาสที่ทองคำจะถูกทิ้งจากที่ธนาคารกลางมีความจำเป็นจะต้องกลับไปถือพันธบัตรสหรัฐหรือไม่ คือถูกเขาบีบคอมา จะมีโอกาสหรือไม่
ยาก คือมีโอกาส แต่มองว่ามันยากมากๆ สิ่งที่เกิดขึ้นกับตลาดโลกปัจจุบันต้องบอกว่าไม่ได้เกิดขึ้นเพราะทรัมป์มาอย่างเดียว แต่มันเกิดขึ้นมานานแล้ว แต่ค่อยเป็นค่อยไป เพียงแต่เวลาที่ทรัมป์มาจะเกิดกระแสเยอะมาก เลยทำให้สภาวะตรงนี้ ค่อนข้างรุนแรงและรวดเร็ว ในช่วงที่ทรัมป์บริหารและประกาศสงครามการค้ากับทุกประเทศในโลก แต่อาจจะไม่ทุกประเทศ แต่มัน 50-70 ประเทศ ดังนั้น ตรงนี้เป็นกระแสที่จะทำให้ทุกแห่งต้องเข้าไปเจรจาเพื่อขอลดกำแพงภาษีกับสหรัฐอเมริกา
กล่าวโดยสรุปก็คือเป็นไปได้ยากที่จะไปบีบบังคับให้ประเทศโน้นประเทศนี้ขายทองคำแล้วก็มาซื้อพันธบัตรสหรัฐอเมริกา เพราะภาพรวมของการลงทุนมันเป็น Reserve ดังนั้น การเป็น Reserve ของธนาคารทุกคนเขาก็ไม่ได้ซื้อทองคำอย่างเดียว เขากระจายความเสี่ยง เขาก็จะซื้อหลายๆ สินทรัพย์ เพียงแต่ในช่วงนี้มีการซื้อทองคำมากขึ้น ตรงนี้เป็นประเด็นที่ทำให้ทองคำกลับขึ้นมาสูงอย่างต่อเนื่องในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา
เมื่อเร็วๆ นี้ มีการพูดขึ้นมาว่า สหรัฐอเมริกามีทองคำเยอะที่สุดในโลก และต้นทุนทองคำเขาอยู่ที่ 42 เหรียญสหรัฐ หากขายออกมาก็กำไรมหาศาล
เท่าที่รายงาน เป็นรายงานที่มีมากว่า 30 ปีแล้วว่าสหรัฐอเมริกามีทองคำราคาถูก แต่ตรงนี้คือสหรัฐอเมริกามีทองคำเป็นทุนสำรองมากที่สุดในโลก ตามรายงานคือมี 8,300 ตัน ส่วนจีนที่เป็นประเทศเจ้าหนี้รายใหญ่ยังมีทองคำ Reserve ที่มีการรายงานแค่ 2,200 ตันเศษ แต่ตอนนี้สิ่งที่โลกสงสัยคือทองคำ 8,300 ตันที่บอกว่ามีนั้น มีจริงหรือเปล่า เราจะเห็นได้ว่าข่าวเมื่อประมาณ 2 เดือนก่อนเป็นข่าวแรงมากที่ อีลอน มัสก์ จะขอเข้าตรวจสอบว่าคลังที่เก็บทองคำยังมีเหลืออยู่หรือไม่ หรือหมดแล้ว
ดังนั้น ตรงนี้ถามว่าอยู่ๆ เขาจะเอามาขายเพื่อกำไร อันนี้มูลค่า ณ ปัจจุบันคือประมาณ 780,000 ล้านเหรียญ ยังไม่ถึง 1 ล้านล้านเหรียญ และหนี้เขา 36 ล้านล้านเหรียญ พูดง่ายๆ ว่าขายทั้งหมดก็ยังใช้หนี้ไม่ได้ หรือที่มีทั้งหมดยังไม่พอที่จะจ่ายดอกเบี้ย 1 ปีด้วยซ้ำไป เพราะดอกเบี้ยตอนนี้ประมาณ 45% ของสหรัฐอเมริกา เอา 36 ล้านล้านเหรียญ และ 4% คูณเข้าไป ซึ่งดอกเบี้ยจะประมาณ 1.3 ล้านล้านเหรียญต่อปี ฉะนั้น คำตอบก็คือว่าคลังสำรองทองคำที่มี เป็นไปไม่ได้เลยที่จะเอามาขาย เพราะถึงขายไปก็ไม่พอใช้
แต่สิ่งที่น่าจะมีโอกาสเป็นไปได้มากที่สุด คือเอาตัวนี้มาเป็นตัวการันตีสำหรับบอนด์ที่จะขายในอนาคต อาจจะเป็นไปได้ แต่ก็ไม่ได้มาเป็นสำรองแบบหนึ่งต่อหนึ่ง เชื่อว่าอาจจะเป็นไปได้ว่าเอาไว้ใช้สำหรับมีทองคำ สมมุติมูลค่า 1 ล้านเหรียญ ก็จะค้ำประกันที่ 100 ล้านเหรียญ คือ 100 เท่า สถานะลงทุนเราเรียกว่ามี Clearing Asset ขึ้นไป 100 เท่า พูดง่ายๆ ว่า โอกาสที่จะมาขายทองคำสำรองเพื่อเอามาใช้จ่าย มันเป็นไปไม่ได้เลย และทองคำพวกนี้ส่วนหนึ่งก็เป็นทองคำที่ยึดมาจากชาวบ้านเมื่อ 50 ปีที่แล้ว อะไรต่อมิอะไร มั่วไปหมดเลย คือการจะบอกให้ตรวจสอบ ข่าวนี้ก็ถูกปิดเงียบไปเลย แสดงว่ามันมีอะไรอยู่ข้างหลัง
ดังนั้น สรุป ทองคำยังมีโอกาสขึ้น และควรจะเก็บทองคำเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยต่อไป






Comments