top of page
image.png

LPN พลิกเกมตลาดคอนโดขาลง เบนเข็มบุกบ้านราคาต่ำกว่า 1 ล้าน

LPN หันจับแนวราบ 4 โครงการทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์และบ้านแฝด ในราคาที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะบ้านราคาต่ำกว่า 1 ล้านบาท ที่หายจากตลาดไปนานแล้ว ส่วนคอนโดมิเนียมแม้จะอยู่ในตลาดขาลง แต่เตรียมเปิด 6 โครงการ พร้อมทั้งวางยุทธศาสตร์ปี 2563 เป็นปีแห่งการเพิ่มประสิทธิภาพ ทั้งทำกำไร ขยายฐานรายได้จากภาคธุรกิจบริการและเพิ่มสภาพคล่องทางการเงินสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน


นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (LPN) เปิดเผยว่า ไตรมาส 3 ของปี 2562 เป็นปีที่เหนื่อยที่สุด พอเข้าไตรมาส 4 สถานการณ์ค่อยคลี่คลายลง สามารถทำยอดขายได้ดีขึ้น ส่วนปี 2563 เป็นปีที่ก้าวสู่ปีที่ 31 ของ LPN เข้าสู่ทศวรรษที่ 4 ขององค์กร เป็นปีแห่งความท้าทายในการพัฒนาและปรับปรุงประสิทธิภาพในการทำงานภายใต้สถานการณ์ที่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เผชิญกับภาวะชะลอตัวจากสภาพเศรษฐกิจและมาตรการกำกับดูแลของธนาคารแห่งประเทศไทย ส่งผลให้กำลังซื้อลดลง นอกจากนี้ยังเป็นปีที่บริษัทมุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน โดยให้ความสำคัญใน 3 ประเด็นหลัก คือ การเพิ่มประสิทธิภาพในการทำกำไรจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ขยายฐานรายได้ประจำจากธุรกิจบริการ ทั้งการบริหารจัดการอาคาร การก่อสร้าง งานที่ปรึกษา วิจัยและพัฒนา และเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารสภาพคล่องทางการเงินของบริษัทให้ดีขึ้น แม้ภาพรวมของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2563 จะยังคงมีแนวโน้มชะลอตัวโดยประมาณว่าจะยังคงติดลบร้อยละ 3 เมื่อเทียบกับปี 2562


การขยายฐานรายได้ประจำ จากธุรกิจบริการ ทั้งการบริหารจัดการอาคาร การก่อสร้าง งานที่ปรึกษา วิจัยและพัฒนา ผ่านบริษัทในเครืออย่าง บริษัท ลุมพินีพรอพเพอร์ตี้มาเนจเมนท์ จำกัด บริษัท ลุมพินีโปรเจคมาเนจเมนท์ เซอร์วิส จำกัด และ บริษัท ลุมพินี วิสดอม แอนด์ โซลูชั่น จำกัด โดยการขยายฐานลูกค้าจากธุรกิจบริการทั้งในส่วนของการบริหารอาคารโครงการ และงานบริการด้านวิศวกรรมจากที่ให้บริการเฉพาะในส่วนของ LPN ไปสู่ตลาดภายนอกเพื่อขยายฐานรายได้ของธุรกิจในกลุ่มนี้ โดยตั้งเป้ารายได้ในส่วนนี้เติบโตไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 ในปี 2563 เทียบกับปี 2562


ปัจจุบันตลาดบริหารจัดการอาคารทั้งอาคารชุดพักอาศัยและสำนักงานมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีมูลค่าตลาดไม่น้อยกว่า44,000 ล้านบาท ในปี 2562 และมีอัตราการเติบโตไม่น้อยกว่าร้อยละ 10 ต่อปี ซึ่งเป็นโอกาสในการเติบโตของธุรกิจนี้ที่จะสร้างรายได้เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยจะเพิ่มเป็นร้อยละ 10 ของรายได้รวมในปี 2563 ขณะนี้บริษัทมีคอนโดมิเนียมทั้งหมด 150 โครงการ และรับบริการบริหารโครงการนอกบริษัทประมาณ 30-40 โครงการ ส่วนการบริหารสภาพคล่องทางการเงิน บริษัทมีนโยบายในการบริหารสัดส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Debt to Equity Ratio) ในสัดส่วนไม่เกิน 1:1 เพื่อสร้างความมั่นคงทางการเงินให้กับบริษัท


นอกจากนี้ในปี 2563 บริษัทมีงบลงทุนในการซื้อที่ดิน 4,000 ล้านบาท โดยกลยุทธ์ในการซื้อที่ดินของบริษัทในปี 2563 เรียกว่า “กลยุทธ์เข้าซอย” กล่าวคือ เลือกซื้อที่ดินที่อยู่ในซอยแต่ไม่ไกลจากถนนใหญ่หรือแนวรถไฟฟ้ามากนัก เพื่อให้ต้นทุนในการซื้อที่ดินในการพัฒนาโครงการมีระดับราคาที่ไม่สูงเกินไป และสามารถพัฒนาที่อยู่อาศัยที่มีระดับราคาที่สามารถแข่งขันกับคู่แข่งในตลาดและตอบโจทย์กับกำลังซื้อและความต้องการของลูกค้าที่มีอยู่ในตลาดปัจจุบัน โดยในปี 2563 บริษัทมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ประมาณ 10 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 12,000-13,000 ล้านบาท แบ่งเป็นส่วนของแนวราบ 4 โครงการ มูลค่าประมาณ 5,000 ล้านบาท มีทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์และบ้านแฝด ใน 3 ทำเลคือ เมืองทองธานี สุขุมวิท 113 และลาดกระบัง โดยเฉพาะบ้านราคาต่ำกว่า 1 ล้านบาท ซึ่งหายไปจากตลาดนานแล้ว นอกจากนี้จะเปิดตัวบ้านแฝดราคาเริ่มต้น 5 ล้านบาท ส่วนคอนโดมิเนียม 6 โครงการ มูลค่าประมาณ 7,000-8,000 ล้านบาท ราคา1-3 ล้านบาท และบริษัทตั้งเป้ายอดขายแนวราบในปี 2563 เติบโตไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 เทียบกับปี 2562

 

Comments


bottom of page