top of page
327304.jpg

ทริสจัดอันดับ BAM ที่ "A-"

ทริสเรทติ้ง จัดอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ (BAM) ที่ระดับ “A-” ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงความชำนาญและความเป็นผู้นำในตลาดบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพของบริษัท นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงรายได้หลักของบริษัทที่ค่อนข้างมั่นคงและแข็งแกร่ง ตลอดจนระดับการก่อหนี้ที่ต่ำ และการกระจายตัวที่ดีของแหล่งเงินทุนด้วย


ทริสระบุว่า จุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ซึ่งโดยหลักคือความเสี่ยงในด้านการกำหนดราคาซื้อสินทรัพย์และการกระจุกตัวในภาคอสังหาริมทรัพย์ อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งมองว่าความเชี่ยวชาญของบริษัทในการตั้งราคาซื้อและการกระจายตัวของประเภทสินทรัพย์และสถานที่ตั้งของอสังหาริมทรัพย์จะช่วยลดทอนความเสี่ยงดังกล่าวลงได้มาก


“อันดับเครดิตเฉพาะของบริษัทมาจากการมีตำแหน่งทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง บริษัทมีสถานะทางการตลาดที่เข้มแข็งจากการเป็นบริษัทบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพที่มีขนาดใหญ่ที่สุดโดยมีปัจจัยเกื้อหนุนจากการมีความสัมพันธ์ทางธุรกิจและเงินทุนกับธนาคารที่หลากหลายและยาวนาน นอกจากนี้ บริษัทยังมีฐานข้อมูลที่กว้างขวาง รวมทั้งมีผู้บริหารและพนักงานที่มีประสบการณ์สูงซึ่งเป็นประโยชน์ในการตั้งราคาซื้อที่เหมาะสมและช่วยบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ ปัจจัยเหล่านี้ช่วยให้บริษัทสามารถขยายพอร์ตสินทรัพย์ได้อย่างต่อเนื่องในหลายปีที่ผ่านมา โดยสินทรัพย์ที่บริษัทบริหารประกอบไปด้วยเงินให้สินเชื่อจากการซื้อลูกหนี้ ลูกหนี้ขายผ่อนชำระ และทรัพย์สินรอการขาย บริษัทยังมีรายได้ที่ค่อนข้างสม่ำเสมออีกด้วย”


ในด้านการก่อหนี้ BAM มีหนี้อยู่ในระดับต่ำเมื่อพิจารณาจากอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น ณ เดือนกันยายน 2562 อัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 1.79 เท่า โดยหลังจาก IPO อัตราส่วนดังกล่าวคาดว่าจะปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อยจากที่มีการจ่ายเงินปันผลจำนวน 1.3 หมื่นล้านบาทให้กองทุนฟื้นฟูฯ (FIDF) ก่อนการเสนอขายหลักทรัพย์ เนื่องจากบริษัทยังคงมีการขยายธุรกิจในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัวจากการใช้หนี้ในการลงทุนในสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ ทริสเรทติ้งจึงคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นจะเพิ่มสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ในระยะยาวอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นน่าจะยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่า 2.5 เท่าโดยมีปัจจัยเกื้อหนุนจากเงินสดที่จัดเก็บได้อย่างสม่ำเสมอที่สามารถนำมาชำระคืนหนี้ได้บางส่วนขณะที่ส่วนของทุนเพิ่มขึ้นจากกำไรที่ได้รับ


นอกจากนี้ อัตราการก่อหนี้ของบริษัทยังอยู่ภายใต้การควบคุมของข้อกำหนดจากสถาบันการเงินต่าง ๆ ให้มีอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นในระดับที่ต่ำกว่า 2.5 เท่าอีกด้วย ในขณะที่ค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญที่ยังไม่เพียงพอจากการปรับใช้มาตรฐานบัญชี TFRS9 นั้นจะถูกหักออกจากส่วนของผู้ถือหุ้นโดยตรง ซึ่งผลกระทบที่จะมีต่อส่วนทุนของบริษัทนั้นไม่มีนัยสำคัญ


ทริสระบุอีกว่า รายได้หลักของบริษัทเกิดจากเงินสดที่เก็บได้จากการบริหารจัดการลูกหนี้และทรัพย์สินรอการขาย โดย ณ เดือนกันยายน 2562 รายได้จากสินทรัพย์ด้อยคุณภาพของบริษัทคิดเป็น 85% ของรายได้รวม ในขณะที่อีก 14% เป็นรายได้จากทรัพย์สินรอการขาย ทั้งนี้ รายได้ส่วนใหญ่มาจากสินทรัพย์ที่บริษัทซื้อผ่านมาแล้วมากกว่า 5 ปีที่แล้วหรือนานกว่านั้น จากสถิติที่ผ่านมา บริษัทใช้เวลาในการเริ่มสร้างกำไรจากสินทรัพย์ประมาณ 7 ปีสำหรับลูกหนี้ด้อยคุณภาพและ 5 ปีสำหรับทรัพย์สินรอการขาย


ส่วนค่าใช้จ่ายหลักในการดำเนินงานของบริษัทคือดอกเบี้ยจ่ายและค่าใช้จ่ายบุคลากร ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2562 ค่าใช้จ่ายทั้งสองประเภทคิดเป็นอัตราส่วนประเภทละ 17% ของรายได้รวม อัตราส่วนผลตอบแทนต่อสินทรัพย์รวมถัวเฉลี่ยของบริษัทอยู่ที่ระดับ 5.7% สำหรับช่วง 9 เดือนแรกของปี 2562 หลังจากการเสนอขายหลักทรัพย์ต่อประชาชนครั้งแรก ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนดังกล่าวจะลดลงต่ำกว่าระดับ 5% จากการที่บริษัทมีภาระต้องจ่ายภาษีนิติบุคคล ทริสเรทติ้งยังคาดว่าบริษัทจะมีแรงกดดันจากต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มสูงขึ้นด้วย อย่างไรก็ตาม รายได้จากธุรกิจหลักของบริษัทคาดว่าจะยังคงอยู่ในระดับที่ดี


“ทริสเรทติ้งมองว่าบริษัทมีสภาพคล่องทางการเงินที่เพียงพอ ณ เดือนธันวาคม 2562 บริษัทมีวงเงินกู้ยืมระยะสั้นจำนวน 2 หมื่นล้านบาทที่ยังไม่ได้เบิกใช้จากธนาคารต่าง ๆ นอกจากนี้ บริษัทยังสามารถขายสินทรัพย์ที่กลับมาเป็นลูกหนี้ที่ดีให้แก่สถาบันการเงินอีกด้วยแม้ว่าจะต้องมีการวางแผนล่วงหน้าที่ดีเพราะต้องใช้เวลา 60-72 เดือนกว่าจะได้รับเงินก็ตาม

บริษัทไม่มีประเด็นที่น่ากังวลอย่างมีนัยสำคัญต่อความไม่สอดคล้องกันของโครงสร้างสินทรัพย์และหนี้สิน ณ เดือนกันยายน 2562 ประมาน 77% ของเงินกู้ยืมของบริษัทเป็นเงินกู้ยืมระยะยาวซึ่งมีอายุเฉลี่ยอยู่ที่ประมาน 6 ปีโดยเทียบกับอายุเฉลี่ยของสินทรัพย์ที่ 6-8 ปี บริษัทมีเงินกู้ยืมที่จะครบกำหนดชำระในระยะเวลาอีก 12 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ประมาน 2.5 หมื่นล้านบาทซึ่งจะจ่ายชำระคืนโดยใช้กระแสเงินสดที่ได้รับจากการบริหารสินทรัพย์ด้อยคุณภาพและทรัพย์สินรอการขาย นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังคาดว่าเงินกู้ระยะสั้นส่วนใหญ่ของบริษัทจะยังได้รับการกู้ยืมใหม่ต่อไป”

11 views
bottom of page