top of page
379208.jpg

เปรียบไทยเหล้าเก่าขวดใหม่...ต่างชาติเบนเข็มลงทุนชาติเพื่อนบ้าน


Interview: คุณพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน

วิพากษ์...ไทยตกที่นั่งลำบาก GDP โตไม่ถึง 3% ส่งออกติดลบ 4.9% รัฐบาลใหม่ นายกฯ คนเก่า รัฐมนตรีหน้าเดิมๆ ยากที่จะแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้ ต้นเหตุหลักมาจากนักลงทุน ตปท. ขาดความเชื่อถือ-เชื่อมั่นตั้งแต่รัฐประหาร หันไปลงทุนในประเทศเพื่อนบ้านโดยเฉพาะเวียดนามแทน ห่วงอนาคตลูกหลานไทย โตไปจะลำบาก ยกคำพูดรองประธานหอการค้า “อีกหน่อยลูกหลานคนไทย ต้องไปเป็นคนใช้ให้กับ ลาว เขมร พม่า”

ถึงตรงนี้มีรัฐบาลใหม่ มีนายกฯ ใหม่ที่มาจากคนเก่า ประเทศไทยมีความหวังมากน้อยแค่ไหน

พูดไปก็หาว่าไปโจมตีเขา แต่ที่จริงแล้วในช่วงหลังเศรษฐกิจไทยโตต่ำมาก โตเฉลี่ยกว่า 3% เพื่อนบ้านโต 6-8% พอเศรษฐกิจโตต่ำ การจ้างงานก็น้อย หนี้เสียเยอะ รายได้คนก็หายไป และยิ่งมาต้นปีนี้เศรษฐกิจไทยยิ่งแย่ จีดีพีเราเหลือแค่ 2.8% ไม่ได้เหมือนตอนที่ปฏิวัติใหม่ๆ การส่งออกก็แย่ติดลบ ตัวเลขจากสภาพัฒน์ ถือว่าติดลบ 4.9% แต่ตัวเลขของกระทรวงพาณิชย์ติดลบ 1.64% ตัวเลขที่ต่างกันเพราะกระทรวงพาณิชย์ไปเอาการขนส่งอุปกรณ์คืนของคอบบร้าโกลด์รวมเข้าไปกับตัวเลขการส่งออกซึ่งเราไม่ได้รายได้ ตัวเลขจากสภาพัฒน์จะตรงกว่า คือ ลบ 4.9% ถือว่าหนักมาก และแนวโน้มเดือนพ.ค.ก็ยังติดลบต่ออีกกว่า 1% แนวโน้มถือว่าไม่ดี และรัฐบาลใหม่มาไม่แน่ใจว่าจะดีได้อย่างไรในเมื่อของเก่ายังไม่ดี ยิ่งนิกเกอิวิจารณ์ท่านประยุทธ์ชัดเจนว่าถ้าพล.อ.ประยุทธ์มาเป็นนายกฯ ใหม่เท่ากับประเทศไทยถอยหลังไปอีก 30 ปี เราไม่ได้พูดเอง และยังมีคอลัมนิสต์เขียนชัดเจนว่าพล.อ.ประยุทธ์บิดกฎเกณฑ์ทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองกลับมา สื่อต่างประเทศที่สะท้อนออกมาจะไปทำลายความมั่นใจของต่างประเทศที่จะมาลงทุน กลายเป็นว่าใครจะลงทุนก็ไม่กล้า เพราะฉะนั้นการฟื้นเศรษฐกิจสำหรับรัฐบาลชุดนี้ไม่ง่าย เริ่มต้นมาก็ตีกันแล้ว ความน่าเชื่อของประชาชนยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ยิ่งมีการแย่งชิงกระทรวงกันก็เกิดความไม่มั่นใจเกิดขึ้น มองว่าจะเหนื่อย เพราะเศรษฐกิจโลกดีแต่ไทยไม่ดีโตแค่ 2-3% อเมริกาบางทียังโต 4% อเมริกาใหญ่กว่าเราตั้งเยอะ คนละไซส์เขายังโตมากกว่าเรา กังวลว่าถ้าเรายังเป็นแบบนี้อยู่เราจะล้าหลัง

ในวิกฤตอาจยังมีโอกาส อาจมีอัศวินม้าขาวที่จะเป็นฮีโร่

5 ปีมายังไม่มีฮีโร่ จะหวังว่า ครม.ชุดใหม่มาเป็นฮีโร่ได้ไหม ก็ไปตัดสินกันเอง ไม่ได้อยากโจมตีเขา คือ 5 ปีที่ผ่านมามีอำนาจเต็ม ทำได้ทุกอย่าง สั่งได้ทุกเรื่อง ยังทำไม่ได้ ตอนนี้ต้องแชร์อำนาจกัน แล้วยังมีพรรคร่วม ทำอะไรก็ไม่ง่าย แล้วจะสามารถขับเคลื่อนได้หรือ ผมให้ข้อคิดว่าจะยากกว่าเดิมเยอะ ยังไม่ทันไรก็แย่งกระทรวงกันแล้ว ก็ห่วงว่าประเทศจะเดินลำบาก

ที่แย่งกัน คือกระทรวงเศรษฐกิจ แสดงว่าเขามั่นใจว่ามียาดี

มองอีกทางคงจะมีผลประโยชน์เยอะหรือเปล่า คมนาคมการจัดซื้อจัดจ้างเป็นแสนล้าน บังเอิญที่เขาอยากได้ก็เป็นเจ้าของบริษัทก่อสร้าง มีงานค้างอยู่กับรัฐบาลเป็นแสนล้าน คนก็วิเคราะห์วิจารณ์ว่ามันจะน่าเกลียดไหม ตอบสังคมยากว่าจะเป็นแบบนี้ดีหรือไม่ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรฯ ใครๆ ก็รู้มีผลประโยชน์เยอะ ก็ห่วงว่าขนาดของเดิมมีอำนาจสั่งการได้ยังทำไม่ได้เลย ก็ขออนุญาตทวงล่วงหน้าตามที่พรรคพลังประชารัฐจะทำยางให้ได้ 65 บาท ปาล์มน้ำมัน 5 บาท ค่าแรงขั้นต่ำ 420 ผมจำได้หมด ถึงเวลาจะทำได้ไหม อ้อย 100 บาท ผมคำนวณดูว่าต้องใช้ประมาณ 400,000 ล้าน ถ้าจะทำตามที่เขาพูด

การที่แย่งกระทรวงเศรษฐกิจกัน คิดว่าเขามีอะไรดีถึงกล้ามารับเผือกร้อนลูกนี้

เขาอาจจะคิดว่ารัฐบาลอยู่ไม่นาน ค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งใช้ไปเยอะ การมาเลือกกระทรวงเศรษฐกิจก็หวังว่ามีผลประโยชน์ทางไหนบ้างหรือเปล่า ไม่อยากไปว่าเขา แต่อยากให้จับตาดู พอมีสภาแล้วการตรวจสอบก็ง่ายขึ้น ไม่เหมือนสมัยก่อนที่ตรวจสอบยาก

ในอีกมุมหนึ่งรองนายกฯ เศรษฐกิจ ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ คุมบังเหียนอยู่ไม่ใช่หรือ

ก็ต้องดู ของเดิมทำไว้ไม่ค่อยดีไม่ได้ว่าดร.สมคิด ถ้าจำได้ปี 2556 ออกมาวิเคราะห์ด่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์ว่าเศรษฐกิจแย่ การบริโภคไม่มี การท่องเที่ยวแย่ ถ้าเอาตัวเลขมาเทียบตอนนี้แย่กว่าสมัยยิ่งลักษณ์เยอะ ดร.สมคิดมีไป Road Trip หลายที่ พอถึงเวลาจริงตัวเลขการลงทุนเราหายไปเยอะมาก การลงทุนโลกกำลังเปลี่ยน ธุรกิจใหม่กำลังเปลี่ยน เทคโนโลยีกำลังเปลี่ยน เราไม่ได้มีเทคโนโลยีพวกนี้ ต้องอาศัยต่างประเทศเข้ามาช่วยเรา พอเราสร้างความมั่นใจไม่ได้ เขาก็ไม่มาลงทุน โยกย้ายไปที่อื่นหมด เวียดนามในวิกฤตก็เป็นโอกาส แต่โอกาสไม่ได้อยู่ที่ไทย โอกาสไปเวียดนามหมด เวียดนามโตเอาๆ การส่งออกโต การลงทุนก็โต การลงทุนและการส่งออกผูกพันกัน ถ้าคุณลงทุนเยอะการส่งออกก็เยอะ ของเราการลงทุนหายไป 5 ปี การส่งออกก็มีปัญหา นี่คือความเป็นจริง ไม่ได้มาว่าเขา แต่เป็นผลต่อเนื่อง ถ้ายังเป็นแบบนี้อยู่ กลัวว่าไทยจะตกยุคเร็วมากและล้าหลัง ห่วงว่าลูกหลานเราจะลำบาก

ผลงานชิ้นโบแดง คือ EEC ได้รับความสนใจมาก จะพอมาชดเชยได้ไหม หรือมองว่าเป็นแค่ไม้จิ้มฟันอันเดียว

ผมบอกตั้งนานแล้วว่าให้เปิดเผยตัวเลขการลงทุน คือโฆษณาเยอะ แต่มีลงทุนบ้างนิดๆ หน่อยๆ เอาง่ายๆ ตัวเลขบีโอไอก่อนปฏิวัติปี 2555 มีเป็น 1.45 ล้านล้าน ปี 2556 มี 1.1 ล้านล้าน พอปฏิวัติปี 2558 ลงมาเหลือ 3-5 แสนล้าน ลงทุนก็น้อยลงไปอีก มันทรุดแบบวูบเลย ปี 2558 นิกเกอิรีวิวบอกเลยว่า 90% ของนักลงทุนญี่ปุ่นไม่ลงทุนในไทย การลงทุนของญี่ปุ่นหายเลย เป็นคนเดียวกันที่วิจารณ์ท่านประยุทธ์ว่าไทยจะถอยหลัง 30 ปี ญี่ปุ่นคิดแบบนี้ นักลงทุนญี่ปุ่นเป็นนักลงทุนอันดับหนึ่งของไทย ลงทุนเกิน 50% ถ้านิกเกอิรีวิวเขียนแบบนี้คนญี่ปุ่นกลัวตายเลย ผมก็คุยกับสถานทูตญี่ปุ่นเยอะ ก็บ่น 5 ปีนี้มีปัญหาหลายอย่าง การติดต่อรัฐบาลก็มีปัญหา เรื่องเบื้องลึกมีหลายเรื่องไม่อยากพูดเดี๋ยวกลายเป็นโจมตีเขา ให้คนในสภาฯ พูดกันดีกว่าว่ามีเรื่องอะไรบ้าง

คุณพิชัยและพรรคไทยรักษาชาติทุกยุบไปก่อน สมมุติให้คุณพิชัยเป็นหัวขบวนเศรษฐกิจ จะแก้ปัญหาอย่างไร

เรามีปัญหาเรื่องความไม่มั่นใจก็ต้องสร้างความมั่นใจให้กลับมา การเจรจาการค้าต่างประเทศต้องเร่งทำ ตอนนี้เขาจะยอมเจรจาขนาดไหน และสร้างบรรยากาศให้กลับมา คือตอนนี้ถึงมีเลือกตั้งแล้ว แต่ความรู้สึกของคนยังเหมือนอยู่ในระบบเผด็จการ ยังมีการจับคนนั้นคนนี้ วิเคราะห์วิจารณ์อะไรไม่ได้ นักวิเคราะห์อิสระยังไม่ได้ องค์กรอิสระหรือ กกต.ยังวิจารณ์ไม่ได้ ยังฟ้องคนนั้นคนนี้ คือบรรยากาศต่างๆ ต้องเอื้อว่าประเทศเรากลับมาปกติแล้ว วิเคราะห์วิจารณ์ได้แล้ว สร้างบรรยากาศให้เกิดเศรษฐกิจสมัยใหม่

ทราบไหมว่า 5 ปีที่ผ่านมาบริษัทที่เรียกว่ายูนิคอร์นที่เป็นบริษัทเทคโนโลยีโฆษณาเป็นพันล้านเหรียญมีหมดทุกประเทศ ฟิลิปปินส์ อินโดนิเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ เวียดนาม ทราเวลโลก้า มอเตอร์ไซค์ส่งของยังมีมูลค่าเป็นแสนล้านบาท แต่ประเทศไทยไม่มี ไม่สามารถสร้างได้ เป็นเรื่องน่าตกใจมากว่าทำไม เราไม่ใช่คนไม่เก่ง แต่บรรยากาศของประเทศไม่ได้เอื้อให้เขารู้ว่ามีความคิดสร้างสรรค์หรือมีบรรยากาศน่าลงทุนที่จะทำให้ประเทศพัฒนา ผมพูดกับเด็กรุ่นใหม่ ซึ่งเขาก็คิดแบบนี้เหมือนกัน มีความหวาดกลัว มีพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ไซเบอร์ คือรัฐบาลเหมือนไม่รู้ว่าพวกนี้ไปขัดขวางการพัฒนาหรือเปล่า ดูประเทศเสรีภาพอย่างอเมริกาเขาจะคิดอะไรใหม่ๆ ได้เยอะ ประเทศที่กดดันเขาจะคิดอะไรได้น้อย อย่างจีนก็ develop มาจากต่างประเทศ อย่างอาลีบาบาก็มาจากซอฟต์แบงก์ญี่ปุ่น ไม่ใช่เขาทำได้เอง เราก็ต้องดูว่ามีเทคโนโลยีจากเมืองนอกเข้ามาช่วยยังไง

ตอนนี้เหมือนกับต่างประเทศมองไม่เห็นเราแล้ว ไปมองเวียดนาม พม่า มาเลเซีย สิงคโปร์ คือเงินลงทุนจากต่างประเทศไม่ได้ลดลง มีแต่เพิ่มขึ้น แต่ไม่มาลงทุนในไทย ไปลงทุนเพื่อนบ้าน นี่คือความเป็นจริง โดยเฉพาะเวียดนามได้ประโยชน์เต็มๆ แล้วจะพัฒนาก้าวล้ำนำไทยไปเรื่อยๆ ปัจจุบันเวียดนามส่งสินค้าอิเล็กทรอนิกส์แซงหน้าไทยแล้ว แซงหน้ามาเลเซีย แสดงให้เห็นว่าในภาวะสงครามการค้านั้น ประเทศที่ปรับตัวได้ดีสามารถได้ประโยชน์ ไม่ใช่เสียประโยชน์ แต่เราไม่สามารถสร้างประโยชน์จากปัญหาที่เกิดขึ้นได้ ผมมองปีนี้ส่งออกมีโอกาสติดลบสูง แล้วเศรษฐกิจปีนี้โตต่ำกว่า 3.5%

จริงๆ GDP ควรโตเท่าไหร่ที่จะทำให้บ้านเมืองและผู้คนยิ้มได้

จริงๆ เศรษฐกิจไทยควรจะโตเหมือนประเทศที่กำลังพัฒนาอยู่ ควรจะโต 5-6% สมัยก่อนเราก็โตได้ 5-6% จนกระทั่ง 10 ปีที่ผ่านมามีการขัดแย้งทางการเมืองเกิดขึ้น เราเลยโตเฉลี่ยแค่กว่า 3% ซึ่งกลายเป็นปัญหาของเรา เพราะเราจะติดกับดักรายได้ปานกลางและเราจะไปต่อไม่ได้เพราะเราโตต่ำ ถ้าเราจะกลับมาโตสูงก็ต้องปรับโครงสร้างประเทศใหม่ จริงๆ ยังมีโอกาส เนื่องจากเศรษฐกิจโลกมีการปรับใหม่หมด เราต้องมาดูว่าจะปรับอะไรเพื่อรองรับ จะต้องมีผู้บริหารที่มีวิสัยทัศน์ ต้องมองว่าอะไรคือการปรับ อะไรคือใช่ นายกฯ ที่เป็นแบบนี้ต่างประเทศไม่ยอมรับ มองว่าเป็นการสืบทอดอำนาจ ทำให้ไม่มาลงทุนกับเรา จะทำยังไงให้เขาเชื่อถือได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ยาก ผมไม่ได้พูดเอง อาจาย์วีรพงษ์ รามางกูร ก็เขียนในคอลัมน์ว่าอเมริกาและยุโรปรังเกียจเผด็จการและการสืบทอดอำนาจ ก็จะไม่ลงทุน ทีนี้สื่อต่างประเทศก็ลงแบบนี้หมด แล้วจะมีใครมาลงทุนกับเรา ปัญหาคือลูกหลานเราจะลำบาก ขนาดรองประธานหอการค้าซึ่งเชียร์รัฐบาลยังกังวลเลยว่าอีกหน่อยคนไทยต้องไปค้าแรงงานกับต่างประเทศ ลูกหลานคนไทยต้องไปเป็นคนใช้ให้กับลาว เขมร พม่า ห่วงนะไม่อยากให้เป็นแบบนั้น ผมก็เตือนมา 5 ปี ถูกเรียกไปปรับทัศนคติ 8 หน คือถามว่ากลัวไหมก็กลัว แต่ถ้าไม่เตือนกัน ปล่อยให้ไทยเดินไปเรื่อยๆ ลูกหลานจะลำบาก ผมก็อายุเยอะแล้ว ต้องมองผลประโยชน์ของประเทศชาติ

สมมุติคุณพิชัยเป็นพรรคร่วมรัฐบาลหรือเป็นแกนนำรัฐบาล จะกล้าอาสาเป็นรัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจไหม

กล้า ก็หวังไว้อย่างนั้น จะให้ผมไปทำมหาดไทย กลาโหม หรือสาธารณสุข ผมอาจจะทำได้ ไม่เก่งหรือไม่รู้ก็ไม่ทำ อะไรที่รู้ก็จะทำเพราะเรามีความรู้ คืออาสามาทำการเมืองก็ต้องกล้าไปบริหาร กล้าเปลี่ยนแปลง ที่ต้องเปลี่ยนแปลงคือความเชื่อมั่น ต้องสร้างทั้งโลก สมัยก่อน พล.อ.เปรมถึงแม้กึ่งเผด็จการ แต่ต่างประเทศเขามีความเชื่อมั่นในพล.อ.เปรม เมื่อเขามีความเชื่อมั่น เศรษฐกิจก็เดินหน้า ก็โตได้ของมัน แต่ปัจจุบันตัวเลขชัดเจนว่าเขาไม่มีความเชื่อมั่นเลย ส่งออกติดลบมา 6 เดือน การลงทุนหายมา 5 ปี คือบางคนแถว่าดีอย่างนู้นอย่างนี้ แต่ตัวเลขบอกไม่ดี อย่างอื่นจะดีได้ยังไง เศรษฐกิจไม่เหมือนการเมือง ตัวเลขมันชัดเจน

21 views
bottom of page