
Interview: ศ.ดร.ตีรณ พงศ์มฆพัฒน์ นักเศรษฐศาสตร์มหภาค
สงครามการค้าโลกยังคงเป็นผีหลอกวิญญาณหลอน หลังอเมริกาเปิดแนวรบสงครามเศรษฐกิจกับฟากฝั่งยุโรป แม้ดีกรีความขัดแย้งจะไม่เท่าอเมริกา-จีน แต่ก็ทำให้บรรยากาศเศรษฐกิจการเงินโลกอึมครึม ถึงขั้นสำนักโหรเศรษฐกิจระดับโลกอย่าง IMF ออกโรงปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจตั้งแต่ไก่โห่ ขณะที่ประเด็น Brexit ของอังกฤษยังอลเวงหาจุดจบไม่ได้ เช่น Fed ก็ออกอาการงัดข้อกับ ปธน.ทรัมป์ ในเรื่องนโยบายดอกเบี้ย สรุป...ปีนี้ยังคงเป็นปีแห่งความยากลำบากของชาวโลกต่อไป ด้านไทยรับเต็มๆ จากความปั่นป่วนทางเศรษฐกิจการเงินโลก แถมพิษการเมืองหลังเลือกตั้งยังรุมเร้า เตือนคนไทยรัดเข็มขัดรับภาวะฝืดเคืองทางการเงิน
ขณะนี้มีการประเมินภาวะเศรษฐกิจโลกจากหลายสำนัก ทางด้านไอเอ็มเอฟก็ออกมาประกาศลดการคาดการณ์เศรษฐกิจปี 2019 จาก 3.5 เป็น 3.3 ทำไมต้องรีบมาลด เพราะอะไร
คิดว่าไอเอ็มเอฟ คงจะไม่ค่อยเห็นด้วยกับความตึงเครียดของการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน และห่วงเรื่องพวกนี้พอสมควร
ล่าสุดอเมริกาก็หันมาเล่นงานยุโรปอีกแล้ว
ใช่ๆ วุ่นวายนิดนึง แต่สถานการณ์คงไม่ตึงเครียดเท่ากับจีน ซึ่งจีนเหมือนกับคู่ปรับที่แท้จริงในระยะยาว ส่วนยุโรปเหมือนเป็นบทละครบทหนึ่งที่ต้องทำกันไป
การที่บิ๊กเนมอย่างไอเอ็มเอฟออกมาพูดเช่นนี้ น่าสนใจ หรือน่ากลัวไหม
ก็ไม่ได้เป็นการปรับมากมาย ส่วนใหญ่ประเทศพัฒนาแล้วก็จะปรับลงในลักษณะที่ว่าการขยายตัวปีหน้าจะเพิ่มน้อย แต่ปีนี้ก็ปรับลง ปีหน้าก็ปรับลง แต่ว่าปีหน้าจะน้อยลงกว่าปีนี้ ส่วนประเทศกำลังพัฒนาปีหน้าก็จะปรับขึ้นมานิดนึงถ้าเทียบกับปีนี้ ก็ถือว่าปีนี้เป็นปีที่ลำบากนิดนึงสำหรับประเทศกำลังพัฒนา ส่วนการพยากรณ์หรือการคาดคะเนของไอเอ็มเอฟ เป็นการคาดคะเนแนวเศรษฐศาสตร์ ก็คือดูข้อมูลพื้นฐานเป็นหลัก ไม่ได้ดูอารมณ์ของตลาดหรือการคาดคะเนที่เป็นปัจจัยอะไรต่างๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจมากนัก เพราะฉะนั้นส่วนใหญ่ก็จะมองไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงมากนัก จะค่อนข้างเป็นเส้นตรง แต่ก็เป็นการส่งสัญญาณว่าเศรษฐกิจค่อนข้างซึมๆ หน่อยในปีนี้และปีหน้า
ทีท่าของ ECB ล่าสุด
ECB หรือธนาคารกลางยุโรปก็คงจะพยายามปล่อยสภาพคล่องออกมามากขึ้น โครงการที่จะปล่อยเงินกู้ราคาถูก ดอกเบี้ยต่ำก็คงจะดำเนินต่อไป เพื่อให้สภาพคล่องไปได้ ฉะนั้นแนวคิดที่จะถอน QE ก็คงจะล่าช้าออกไป ภาพมองทั่วไปของเศรษฐกิจยุโรปค่อนข้างที่จะทรงๆ ไม่ได้ดีขึ้นมากนัก แต่ทางไอเอ็มเอฟมองทางสหรัฐอเมริกาไม่ค่อยดีนักถ้าเทียบกับทางยุโรป
กรณี Brexit ของอังกฤษมองกันว่าเลื่อนไปยาวๆ เลย
Brexit เหมือนกระบวนการของตัวประชาคมยุโรปไม่ชัดเจน มีความสับสนมาก และเสียงในสภาก็ไม่ค่อยจะแน่นหนา ก็คือต่างฝ่ายต่างมีความคิดเป็นของตัวเอง ก็เลื่อนไป เข้าใจว่าถึงเดือนกันยายนต่อปลายตุลาคม คือปล่อยให้ยาวพอสมควร แต่ว่าแนวคิดในการที่จะหลุดออกไปแบบไม่มีข้อตกลงเลยคือหลุดไปเลย คิดว่าทางประชาคมยุโรปก็คงไม่อยากให้เกิดเหมือนกัน แต่ว่าขั้นตอนนี้คงเป็นขั้นตอนต่อรองว่าในท้ายสุดก็ต้องขึ้นอยู่กับทางอังกฤษก่อนว่าทางสหราชอาณาจักรสามารถเคาะได้ไหม ว่าถอนได้ไหม ถ้าเอาอย่างนั้นทางยุโรปจะโอเคด้วย ก็จะมีอีกเสียงหนึ่งก็คือว่า ถ้าไปไม่ได้ก็ไปทำ Referendum หรือให้ประชาชนไปลงประชามติกันใหม่ ประชาชนรู้สึกบาดเจ็บในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เพราะฉะนั้นประชาชนบอกเลยว่าอย่าออกเลยแล้วกัน ฉะนั้นก็ไม่ต้องออก ดังนั้นคนที่ไม่อยากให้ออกก็อยากให้ไปทำประชามติใหม่ แต่ว่านายกรัฐมนตรีของอังกฤษอยากให้ออกโดยมีข้อตกลงระหว่างกัน
ทำไม เทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีของอังกฤษ พยายามทำอย่างนั้น ทั้งที่คนส่วนใหญ่ของอังกฤษก็ไม่อยากให้ออกแล้ว
เขาคงมองว่า ถ้าเกิดไม่ทำตามมตินี้ ก็เหมือนกับรัฐสภานี้เบี้ยว ตั้งแต่ประชามติที่แล้วมามันก็จะมีปัญหาในเชิงของกระบวนการทางกฎหมายว่าลงประชามติแล้ว ทางรัฐสภาหรือรัฐบาลที่ดูแลไม่สามารถที่จะทำให้เป็นไปตามที่ประชามติกำหนดไว้ มันก็เหมือนกับทรยศ คนที่เป็นรัฐบาลเขาจะระมัดระวังว่าจะเป็นประวัติศาสตร์ที่จะทำให้รัฐบาลชุดนี้ถูกมองว่าเป็นรัฐบาลที่เล่นตลกกับประชามติของประชาชน ดังนั้น เขาก็พยายามให้เป็นลักษณะเรียกว่า Soft Brexit คือออก แต่ออกอย่างละมุนละม่อม ไม่มีอะไรมากนัก ยังมีข้อตกลงบางอย่างร่วมกันอยู่
คิดว่าในอังกฤษ ความแตกแยกยังมีค่อนข้างมาก เกี่ยวกับการมองทิศทางที่แต่ละฝ่ายมองไม่เหมือนกัน 4-6 กลุ่ม ในท้ายที่สุดเลยไม่รู้ว่าจะไปทางไหน คือจะให้ Referendum ใหม่ คนส่วนหนึ่งก็ไม่เอาด้วย หมายถึงในส่วนของรัฐสภาส่วนหนึ่งก็ไม่เอาด้วย ดังนั้นก็คงต้องรอดูต่อไปว่าถึงจุดๆ หนึ่ง โอกาสที่จะไม่มีการตกลงกันเลย หรือหลุดไปเลยนั้น คงจะไม่ง่าย ตรงนี้ก็เป็นสิ่งที่นายกรัฐมนตรีอังกฤษมองอย่างนั้นเหมือนกัน พยายามต่อรองไปจนถึงจุดที่ให้คนยอมรับ Soft Brexit ตัวนี้
จริงๆ คนที่ทำ Brexit ตัวนี้ ความจริงไม่อยากออก กลุ่มที่ไม่อยากออกคือกลุ่มที่ทำเรื่องBrexit คือไม่รู้จะทำอย่างไร ตลกนะ คือประชาชนเขาให้ออก แต่ว่ารัฐบาลห่วงว่าออกไปเลยจะไม่ดี ก็พยายามจะให้ออกแบบผ่อนๆ แต่ว่าพอทำอย่างนี้สถานการณ์ก็ไม่มีความแน่นอนต่อประชาชน แล้วด้วยเงื่อนเวลาที่ต่างไป ผลกระทบต่างๆ ที่ออกมาในทางลบก็ทำให้ประชาชนเริ่มคิดใหม่แล้วว่าหรือจะไม่เอาดีกว่า ไม่ออกดีกว่าไหม คือกลุ่มหนึ่งเห็นว่าประชาชนไม่อยากออก ก็วางแผนเลยดีไหม ในท้ายที่สุดก็ไปลงประชามติใหม่ คือมีอีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่อยากให้ออก ก็ไปค้านทุกอย่างให้ไปทำประชามติใหม่ ก็เลยทำให้เป็นการต่อสู้ในรัฐสภาในลักษณะของคนกลุ่มหนึ่งคุยกันไปคุยกันมา มันไม่จบสักที คือคุยกันไม่รู้เรื่อง ซึ่งจริงๆ ก็คุยกันมาระดับหนึ่ง แต่ว่าไม่มีใครกำหนดอนาคตได้แน่นอน เพราะพอถึงเวลาไปถึงจุดๆ หนึ่ง พอเล่นไปแล้ว กระแสเปลี่ยน เพราะคนที่ดูแลเสียงใน ส.ส.ส่วนใหญ่ก็ต้องฟังพื้นที่ด้วย เพราะฉะนั้นก็ไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าคุยกันแล้วจะโอเค ก็เป็นอะไรที่ดูแล้วคนรำคาญเหมือนกัน
กลับมาที่สหรัฐอเมริกาเรื่องนโยบายของเฟด มองอย่างไร
เฟดนี่จริงๆ เขาพลาดเมื่อปีที่ผ่านมา คือไปขึ้นดอกเบี้ยมากเกินไป สภาพเศรษฐกิจมันไม่ได้รองรับมากขนาดนั้น ลักษณะของการมีหนี้ค่อนข้างจะสูง เรื่องสภาพคล่องที่ทำงานช้าอยู่ ฉะนั้นความจำเป็นที่จะต้องรีบขึ้นดอกเบี้ยถึง 4 ครั้งจึงไม่มี แต่เฟดก็ทำไป และพอทำไปก็เกิดแรงกดดันจากทางทำเนียบขาวที่อยากจะผลักดันให้ใช้นโยบายดอกเบี้ยต่ำ การที่ทางทำเนียบขาวอยากให้ใช้ดอกเบี้ยต่ำเพราะไปลดภาษี พอลดภาษีปุ๊บ การก่อหนี้ของรัฐบาลก็มากขึ้น ก็สร้างแรงกดดันต่ออัตราดอกเบี้ยพันธบัตร ตรงนี้พยายามทำให้เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาโตมากๆ 3% ไม่พอ อยากได้ 4% เพราะฉะนั้นเลยทำให้แรงกดดันที่มีต่อเฟดเกิดขึ้น และทรัมป์ก็พยายามบอกว่าถ้าอย่างนั้นจะหาคนใหม่ที่จะเข้าไปทำนโยบายอัตราดอกเบี้ยให้มีลักษณะต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วเขาก็ให้แคนดิเดตอยู่ 2 คน สองคนนี้เป็นกลุ่มเดียวกัน เคยทำงานด้วยกันมา คนหนึ่งเคยช่วยทรัมป์ด้วยก็คือ สตีเฟ่น มัวร์ อีกคนชื่อ เฮอร์แมน เคน ซึ่ง เฮอร์แมน เคน เคยสมัครประธานาธิบดีของพรรคริพับลิกันมาก่อน และเป็นทั้งนักธุรกิจและนักการเมืองมาก่อน ส่วน สตีเฟ่น มัวร์ เป็นนักเขียน นักบรรยายทางเศรษฐกิจ และทำธุรกิจ กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่เคยช่วยทรัมป์มาก่อน ทรัมป์ก็คิดว่าถ้าส่งสองคนนี้ก็จะได้คนใดคนหนึ่ง เบอร์หนึ่งที่ส่งเข้าไปคือ เฮอร์แมน เคน เป็นคนที่มีอิทธิพลในรัฐสภาพอสมควร เคยลงสมัครแข่งขันประธานาธิบดีมาแล้ว
ทั้งคู่เหมือนกันอยู่อย่างหนึ่ง คือไม่ได้เป็นนักเศรษฐศาสตร์จริงๆ อย่าง เฮอร์แมน เคน ไม่ได้จบเศรษฐศาสตร์เลย ขณะที่ สตีเฟ่น มัวร์ จบโทจากมหาวิทยาลัย George Mason ที่ไม่ใช่เศรษฐศาสตร์สายหลัก ฉะนั้นสองคนนี้ในวงการเฟดไม่เอาอยู่แล้ว ทีนี้ทำอย่างไรจะผลักดันไปได้ ทรัมป์ก็เจอปัญหาว่าทั้งสองคนมีคนค้านเยอะ แล้วในรัฐสภา พวกวุฒิสภาก็ไม่เอา ก็จะทำให้เกิดปัญหาขึ้นมา คิดว่า เฮอร์แมน เคน คงจะยากแล้ว เพราะล่าสุดทรัมป์บอกว่าจะไปต่อหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับ เฮอร์แมน เคน แล้วกัน ซึ่ง เฮอร์แมน เคน ก็คงจะถอดใจ คงคิดว่าไม่คุ้มที่จะเข้าไป น่าจะถอนตัว ถ้าถอนก็คงเหลือแต่ สตีเฟ่น มัวร์ ซึ่งก็ยากเหมือนกัน ทรัมป์ก็คงต้องไปคิดใหม่ ก็ทำให้สั่นสะเทือนพอสมควร
ทรัมป์ต้องฟัง อลัน กรีนสแปน ไหม
ก็ฟังอยู่ระดับหนึ่ง อลัน กรีนสแปน ก็อยู่คนละสาย คนนี้ยังเป็นสายหลักหน่อย เป็นสายเอกชน คือเฟดนี่เป็นของเอกชนมากกว่าของรัฐบาล ถึงแม้โดยขั้นตอนทางรัฐบาลเป็นคนเสนอไปก็จริง แต่โดยการทำหน้าที่ก็ถือว่าสถาบันการเงินเป็นของเอกชนไม่ใช่ของรัฐบาล แล้วคนที่เป็นประธานเฟดนั้น โดยพื้นฐานแล้ว เฟดเป็นพื้นที่ของคนที่เป็นนักวิชาการทางเศรษฐศาสตร์ ฉะนั้นคนที่ไม่ใช่ก็เข้าไปยากเหมือนกัน
อลัน กรีนสแปนบอกว่าโครงการสวัสดิการของรัฐกำลังเริ่มสำแดงเดช ว่าจะทำให้เกิดเหตุไม่ค่อยดีขึ้นในเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา
ใช่ๆ คือพูดง่ายๆ ว่าโครงการนี้จะก่อให้เกิดหนี้สินภาครัฐบาลเยอะ และจะทำให้อัตราดอกเบี้ยเป็นแรงกดดัน ก็จะตรงข้ามกับคนที่อยู่ในวงการการเงินการธนาคาร หรือคนที่อยู่ในแวดวงนักวิชาการนักเศรษฐศาสตร์ที่จะค้านกันมาก ตรงนี้เป็นเรื่องที่ถึงจุดหนึ่งคิดว่าทรัมป์คงจะหักดิบ ถึงเวลาเขาก็จะเอาคนของเขาเข้าไป ทีนี้สองคนที่จะเสนอเข้าไป เป็นคนที่อยู่วงในของเขาเลย จริงๆ เป็นนักการเมือง และเป็นคนที่เป็นทีมการเมืองของทรัมป์
ปัจจัยต่างประเทศแบบนี้ มองไตรมาสสองของไทยอย่างไร
ไตรมาสสองและไตรมาสสามคงเป็นไตรมาสที่ชะลอพอสมควร เพราะโครงการของภาครัฐตอนนี้ก็เริ่มจะดีเลย์ โครงการที่ตัดสินใจไปแล้ว ประมูลเรียบร้อยแล้ว ก็คงจะไม่มีปัญหา แต่โครงการที่เริ่มมีการประมูล ก็จะเริ่มช้าไปแล้ว เพราะเขาจะมองว่ารัฐบาลใหม่ ไม่รู้จะเกิดได้เมื่อไหร่ จะมีการเลือกตั้งอีกครั้งภายในปีนี้อีกไหม หรือปีหน้าจะมีเลือกตั้งกี่ครั้งก็ไม่รู้ ตรงนี้คือความไม่แน่นอนที่มีผลต่อการลงทุน การประมูลของภาครัฐ ในส่วนการลงทุนของภาครัฐอาจจะยังไม่กระทบทันที แต่ภาคเอกชนเขาจะมองสถานการณ์แบบนี้ด้วยเหมือนกัน ฉะนั้นตัวเลขการลงทุนทั้งภาครัฐและเอกชนก็คงจะเนือยๆ ช่วงครึ่งหลังปีนี้ ส่วนการบริโภคยังอยู่ในอัตราที่ไม่สูงมากนัก 3-4% ถือว่ายังไม่สูง ทั้งปีเศรษฐกิจไทยคงชะลอ ทั้งปีน่าจะโต 3.5% ถือว่าต่ำมากถ้าเทียบกับกำลังซื้อและประชาชนที่เติบโตด้วย คิดเป็นรายได้ต่อหัวจะไม่ดีเลย ส่วน 3% จะไม่ดีมาก ดังนั้นประชาชนต้องระวังเรื่องการใช้จ่าย เพราะรายได้จะไม่เฟื่องฟูแล้ว