นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์พิเศษหนังสือพิมพ์ ดอกเบี้ยธุรกิจ ในโอกาสปีใหม่ 2562 ถึงสถานการณ์เศรษฐกิจไทยโดยรวมว่าอยู่ในสถานะที่ดีมีเสถียรภาพเติบโตในอัตราที่ดี โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับหลายปีที่ผ่านมาและตอนแรกๆที่เข้ามาทำหน้าที่อยู่ในสภาพเครื่องจักรทุกเครื่องหยุดหมด จึงต้องแก้ด้วยการลงทุนภาครัฐเน้นการลงทุนที่มีผลตอบแทนกลับคืนมาอย่างการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อให้ในอนาคตเมื่อเราเดินได้แล้วจะเป็นประโยชน์กับประเทศ มีผลตอบแทนกลับคืนประเทศจากการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน
"อย่างไรก็ตามการลงทุนภาครัฐแบบนี้เห็นผลช้า กว่าจะร่างทีโออาร์กำหนดเงื่อนไขการประมูลเสร็จต้องใช้เวลา พอเงินรัฐบาลยังไม่ลงไปก็เลยต้องหาทางอื่นๆ ดังนั้นในช่วงแรกๆเราก็ต้องเติมเงินไปในกองทุนหมู่บ้าน เติมไปในเกษตร เติมเงินลงตำบล/หมู่บ้านก่อนในช่วงที่เป็นสุญญากาศอยู่ เพื่อให้อย่างน้อยมีเงินไปหล่อเลี้ยงเศรษฐกิจไม่ให้ลงไปติดลบ ถ้าตอนนั้นทุกเครื่องยนต์ดับและปล่อยจีดีพีติดลบนะอาการจะหนักกว่าวันนี้อีกเยอะแล้วจะฉุดขึ้นยากมาก" นายอภิศักดิ์กล่าวถึงการกอบกู้วิกฤตเศรษฐกิจไทยในห้วงหลายปีที่ผ่านมาด้วยยุทธศาสตร์บาลานซ์เศรษฐกิจโดยมีรัฐเป็นคนนำร่องก่อน หลังจากนั้นจึงได้พยายามชักชวนจูงใจเอกชนมาร่วมด้วยมาตรการต่างๆ
"ก็ต้องบอกว่าวันนี้ประเทศได้กลับมาแล้ว มีเสถียรภาพเติบโตในระดับที่ดีแต่แน่นอนว่ายังมีความไม่แน่นอนรอท่าอยู่อย่างเรื่องเทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงเร็วมาก ทุกๆอย่าง และทุกๆคนต้องปรับตัวเองให้เข้ากับสิ่งเหล่านี้ให้ได้ ถ้านั่งเฉยๆในยุคปัจจุบันแล้วมันไม่น่าจะอยู่ได้และก็จะถูกทิ้งให้ห่างออกไปแต่ไม่ว่าอย่างไรรัฐบาลก็จะไม่ทิ้งคนเหล่านี้นะ รัฐบาลจะพยายามดึงคนเหล่านี้กลับเข้ามา พยายามชี้ให้เห็นถึงความสำคัญอย่างเรื่องอี-เพย์เมนท์ที่เราพยายามทำ หรืออี-คอมเมิร์ซที่กระทรวงพาณิชย์พยายามทำอยู่ เราจะให้คนที่ไม่ได้อยู่ในวงการนี้สามารถที่จะเข้ามาในวงการนี้ได้"
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกล่าวย้ำว่าเศรษฐกิจไทยโดยรวมในปี 2562 ยังไปได้ดีโดยจีดีพีโตประมาณ 4 % หรืออาจเกิน 4 % ไม่มากหรือน้อยไปกว่านี้แล้วและถือว่าเต็มศักยภาพเศรษฐกิจไทยแล้ว นอกเหนือจากความเสี่ยงภายในประเทศกับต่างประเทศอีกไม่น้อยอย่างที่ทราบๆกันอยู่เช่นเรื่องสงครามการค้า เศรษฐกิจโลก ดอกเบี้ย การเลิก QE ดึงเงินออกจากตลาดถือได้ว่าเป็นเรื่องใหญ่ในปีใหม่นี้ ขณะที่ภายในประเทศเริ่มมีการปรับขึ้นดอกเบี้ยด้วยเหตุผลความจำเป็นอย่างไรก็ว่ากันไป แต่เป็นหน้าที่ของกระทรวงการคลังต้องมาบาลานซ์เพื่อให้จีดีพีโต 4 % ให้ได้ถือเป็นอัตราความพอเพียงของไทย หากโตน้อยกว่านี้จะเดือดร้อน
"ถามว่าคลังกระทบไหมจากการปรับขึ้นดอกเบี้ยขณะนี้ ระยะสั้นไม่กระทบเลยเพราะเงินกู้ของคลัง 80 % เป็นลองเทอม ผมเตรียมตัวรับมือเปลี่ยนเป็นระยะยาวเป็นส่วนใหญ่เหลือระยะสั้น..ชอร์ตเทอมนิดเดียว ต้นทุนเงินกู้ของคลังไม่ได้เพิ่ม เราได้สวิตช์บอนด์อายุ 50 ปีเป็น 100 ปียังมีเลยและยังเป็นเงินกู้ต่างประเทศน้อยมากมีไม่ถึง 5% เราจัดการเปลี่ยนเป็นเงินบาทหมดแล้วก็ว่าได้เพราะมองเห็นแล้วว่ามีการขึ้นดอกเบี้ยแน่ ดังนั้น ถามว่าเมืองไทยจะเกิดประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเหมือนปี 2540 วิกฤตต้มยำกุ้งมั๊ย ? ตอบได้เลยว่ายากครับ ตอนนี้เรากู้เงินภายในประเทศเองทั้งนั้น ส่วนเงินต่างประเทศจะถอนกลับไปก็ไม่ได้มีเอฟเฟกต์กับเราเลย" นายอภิศักดิ์เปิดเผยสถานะการเงินการคลังไทย
"แต่ขึ้นชื่อว่าเศรษฐกิจมันก็ต้องมีปัญหา แหมถ้านั่งแบบสบายๆโรยด้วยกลีบกุหลาบมันก็ง่ายเกินไป สบายๆใครก็ทำได้ เศรษฐกิจโลกก็มีปัญหาถือเป็นเรื่องธรรมดาเราก็ต้องหาวิธีการมาแก้ เซ็กต์เมนท์ที่ยังอ่อนแอรัฐบาลก็ต้องเข้าไปช่วย ส่วนเซ็กต์เมนท์ที่ยังดีก็อยากฝากว่าให้ลงมาช่วยคนอื่นบ้างหรืออย่างน้อยก็อย่าไปเอาเปรียบเขามาก ถ้าช่วยกันได้แบบนี้ประเทศไทยดีแน่ ความเสี่ยงในปี 2562 มีแน่ ความเจริญเติบโตอาจจะน้อยกว่าปีที่ผ่านมาหรืออย่างที่มีคนเชื่อว่าการเจริญเติบโตของเราเลยจุดพีคไปแล้ว ดังนั้นคนที่ลงทุนก็ต้องคิดลงทุนเพื่อที่จะปรับตัวเองให้มีประสิทธิภาพสูงสุดก้าวไปสู่เทคโนโลยีใหม่ๆ ก้าวไปสู่ 4.0 ที่รัฐบาลได้ชี้นำไว้ แม้กระทั่งคนทำธุรกิจของตัวเองค้าขายรายเล็กรายน้อยก็ต้องหันกลับมาพึ่งเทคโนโลยีใหม่ๆ พึ่งตลาดใหม่ ไม่ใช่นั่งเฉยๆแล้วบ่นว่าขายได้น้อยลง ดังนั้นแต่ละกลุ่มต้องปรับตัวเองให้มากขึ้น"