top of page
327304.jpg

อ้าว! 2.8 แสนล. '60 ปีทอง หุ้น IPO...โอ่ “ตลาดหุ้นไทย” สุดยอด


เผย 2560 ปีทองของหุ้นใหม่ IPO มูลค่า 280,000 ล้านบาท เตรียมแต่งตัวซื้อ/ขายในตลาดหุ้นไทยหนุนให้ตลาดหุ้นไทยเติบใหญ่จากการมี Market Cap รอท่าอยู่ก่อนแล้ว 15.4 ล้านบาท “เกศรา มัญชุศรี” ผจก.ตลาดลั่นตลาดหุ้นไทยดีสุดในอาเซียน เดินหน้าเป้าหมายทำเพื่อประชาชนทั่วไปให้เห็นความสำคัญการลงทุน-เก็บออมเงินตั้งแต่ก่อนเกษียณ เพื่อเตรียมการรับมือสังคมผู้สูงอายุ ...โอ่ตลาดหุ้นไทยวันนี้มีเทคโนฯกับธุรกรรมการเงิน/ลงทุนก้าวหน้าทันสมัย ไม่เป็นรองใคร

นางเกศรา มัญชุศรี กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวในรายการ “เซียนเศรษฐกิจ” ที่จัดขึ้นโดยกองบรรณาธิการ “ดอกเบี้ยธุรกิจ” ว่า ในปี 2560 นี้ จะมีกิจการเข้ามาจดทะเบียนใหม่หรือที่เรียกว่า IPO มากกว่าปี 2559 ที่ผ่านมา เพราะว่าส่วนหนึ่งคือมีจำนวนค้างมาจากปีที่แล้ว อีกส่วนหนึ่งก็อยู่ในขั้นตอนดำเนินการ ดังนั้น IPO ใหม่ในตลาดหลักทรัพย์ฯน่าจะอยู่ในระดับที่ดี ซึ่งคิดว่าน่าจะทำให้ตลาดหลักทรัพย์ฯมีความคึกคักพอสมควร

ในส่วนของผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในปีที่ผ่านมาพบว่าบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯส่วนใหญ่มีความขยันขันแข็ง ทำงานทั้งในประเทศและนอกประเทศทำให้อัตราการเติบโตของผลประกอบการออกมาดีกว่าอัตราการโต GDP ของประเทศไทย และยังคงมั่นใจว่าตัวเลขเหล่านี้คงจะเดินหน้าต่อไปเพราะว่าบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯกว่า 650 บริษัท จะมีกฎเกณฑ์ มีความคาดหวังของผู้ลงทุน ทำให้ผู้บริหารต้องทำงานหนัก เพราะฉะนั้นในแง่ของผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนก็ขอให้มั่นใจว่าน่าจะมีอัตราเติบโตในปี 2560 นี้ดีกว่า GDP แน่นอน

“ผลประกอบการของแต่ละบริษัทยังทำได้ดี อย่างบริษัทน้ำมันจะเห็นได้ว่ามีราคาซื้อขายดีในช่วงไตรมาสที่ 4/2559 คิดว่าเรื่องของราคาน้ำมันทำให้สต็อกราคาถูกหมายถึงทำให้ Inventory ไม่มีแล้ว เพราะฉะนั้นบริษัทน้ำมันน่าจะมีตัวเลขที่ดีเกิน 30% ในขณะที่กลุ่มธนาคารพาณิชย์จะเห็นได้ว่าสามารถเก็บสำรองเงินไว้บ้างทำให้ผลประกอบการที่เริ่มประกาศออกมาแล้ว อย่างน้อยก็ไม่ได้แย่ไปกว่าเดิม

โดยรวมของบริษัทจดทะเบียนผลประกอบการรวมทั้งปีต้องรอตัวเลขในเดือนกุมภาพันธ์ แต่ดูจากผล 9 เดือนแรกของปี 2559 ถือว่าไม่ได้เป็นบวกมากมายมากนัก เพราะฉะนั้นอยากให้ไปดูตัวเลขสรุปแบบ 12 เดือนเลยดีกว่าเพราะมีผลที่ชัดเจนกว่า”

สำหรับมูลค่าตามราคาตลาดรวมหรือมาร์เก็ตแคปจะเพิ่มขึ้นมาพอสมควรในปี 2560 ทั้งจากหุ้น IPO ใหม่ ที่เข้ามาในตลาดหลักทรัพย์ฯคาดว่ามีมูลค่า ประมาณ 280,000 ล้านบาท จากหุ้นเพิ่มทุนราว 270,000 ล้านบาท รวมเงินทุนที่เข้ามาในตลาดอีกประมาณ 550,000 ล้านบาท ดังนั้น คาดว่ามาร์เก็ตแคปของตลาด จะโตขึ้นด้วยตัวของเขาเองคือมีของใหม่เข้ามา และราคาดีขึ้น ในเรื่องของราคาขึ้นอยู่กับ Performance ของบริษัท

นางเกศรายังกล่าวถึงมูลค่าการซื้อขายหุ้นเฉลี่ยต่อวันที่น่าจะดีกว่าปี 2559 ที่ผ่านมาด้วย เนื่องจากปี 2559 เกิดเหตุการณ์ต่างๆ ทั้งเรื่องความตกใจหรือความกังวลมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณกว่า 52,000 ล้านบาท/วัน (รวมทั้ง MAI และตลาดหลักทรัพย์ฯ) ซึ่งในปี 2560 นี้คาดว่าน่าจะมากกว่าปี 2559 ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ต่างๆ ที่มากระทบต่อการตัดสินใจการลงทุนด้วย เช่น เรื่องของการเลือกตั้งในยุโรป-Brexit, การขึ้นดอกเบี้ยเฟดก็อาจมีผลกระทบต่อทิศทางของเศรษฐกิจโลก เรื่องพวกนี้อาจส่งผลกระทบต่อการซื้อขาย

ในส่วนการสร้างความมั่นใจและความเข้าใจของนักลงทุนต่างชาติที่มาลงทุนในไทยโดยการโรดโชว์ต่างประเทศนั้น มีหลายมุมมองซึ่งปกติโบรกเกอร์เองจะทำหน้าที่นี้กันเองอยู่แล้ว โดยมีบางครั้งที่ตลาดหลักทรัพย์ฯเข้าไปร่วมทำ คือตลาดหลักทรัพย์ฯทำเพียงส่วนเดียวและก็เป็นส่วนที่เป็นวัตถุประสงค์หลัก คือ ตลาดหลักทรัพย์ฯอยากจะเห็นบริษัทขนาดกลางและขนาดเล็ก สามารถมีเวทีได้พบปะกับผู้ลงทุนต่างประเทศ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ตลาดหลักทรัพย์ฯทำร่วมกับโบรกเกอร์ก็จะมีเงื่อนไขว่า ขอความช่วยเหลือหรือขอความร่วมมือว่าทุกทริปที่ตลาดหลักทรัพย์ฯไปจะต้องมีบริษัทขนาดกลางและขนาดเล็กไปด้วย

“ตลาดไทยที่ขายได้มากแต่เป็นหุ้นที่นักลงทุนต่างประเทศซื้อในจำนวนไม่มากนัก เพราะฉะนั้นตลาดหลักทรัพย์ฯก็อยากให้จำนวนเพิ่มขึ้นจึงพยายามที่จะทำให้กลุ่มบริษัทที่มี Potential ได้มีโอกาสพบกับนักลงทุนต่างประเทศ เรื่องนี้ตลาดหลักทรัพย์ฯได้ทำโรดโชว์ในต่างประเทศเฉพาะปีละครั้ง เช่น ทำในสหรัฐฯ 1 ครั้ง , ฮ่องกง 1-2 ครั้ง หรือ ญี่ปุ่น 1-2 ครั้ง ที่เหลือเป็นโบรกเกอร์และบริษัทจดทะเบียนก็จะทำกันเองอยู่แล้ว รวมถึงทำในประเทศด้วยอย่าง Thailand ถูกแล้ว ถือเป็นงานขนาดมินิ คือ ระยะเวลาจัดงานสั้นกว่าและบริษัทที่เข้าร่วมก็น้อยกว่า ก็เป็นบริษัทไทยที่รวมตัวโดยมีโบรกเกอร์นำผู้ลงทุนมาพบปะพูดคุย ส่วนงาน Thailand Focus ก็จะเป็นเรื่องของ Global โดยมีบริษัทที่เข้าร่วมมากกว่า” นางเกศรากล่าว

ในส่วนของกระแสฟันด์โฟลที่เข้ามาในตลาดหุ้นไทยตั้งแต่ครึ่งปีแรก 2559 นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 130,000-140,000 ล้านบาท ต่อมาก็ลดลง สุดท้ายเหลือไม่ถึง 80,000 ล้านบาทหลังจากมีเรื่อง Brexit เข้ามา ต่อมาเรื่องอัตราดอกเบี้ยจะขึ้นก็มีการเปลี่ยนนำเอาเงินกลับไป นางเกศราให้ความเห็นว่า ต้องเรียนว่าอุตสาหกรรมของเรา คือ ถ้าไทยเป็นที่น่าสนใจ ตลาดไทยมีผลประกอบการดี ก็ต้องยอมรับว่าผลประกอบการของไทยดีจริงซึ่งในอาเซียนไทยดีสุด คุณภาพของบริษัทจดทะเบียนเราดี สิ่งที่เราจะบริหารจัดการได้ คือ ทำอย่างไรทั้งคุณภาพหรือการซื้อขายดี เพราะว่าเหตุการณ์ที่เขาจะ Flow หมุนไปหมุนมาเขาต้องเปรียบเทียบทั่วโลก เรายังเชื่อว่าเขาจะลงทุนในไทยอย่างต้นเดือนมกราคมจะเห็นได้ว่าต่างชาติกลับมา แต่ต้องบอกว่า ณ วันนี้ไทยดีในอาเซียน แต่ก็ต้องไปเปรียบเทียบกับเอเชียหรือยุโรป ซึ่งบางครั้งเราก็อาจบังคับไม่ได้ แต่สิ่งที่เราบังคับได้ คือ ทำอย่างไรให้คุณภาพของตลาดไทยดีเพื่อให้เขามารลงทุน”

สำหรับเครื่องไม้เครื่องมือที่จะสนับสนุนให้ผู้ลงทุนมีตัวเลือกมากขึ้นนั้น นางเกศราเปิดเผยว่าตลาดหลักทรัพย์ฯได้ทำมาตั้งแต่ปีที่ผ่านมาแล้ว เรียกว่ามีการปรับปรุงในเรื่องของการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯให้ดีขึ้น ทางตลาดหลักทรัพย์ฯตั้งเป้าเป็น Capital Market Work For Everyone สนับสนุนให้ได้ประโยชน์ได้กับไทยซึ่งขึ้นอยู่กับว่าเขาเป็นใคร เพราะฉะนั้นในปี 2560 นี้ตลาดหลักทรัพย์ฯจะทำมากกว่าสิ่งที่บอกว่าเป็นตลาดที่ปกติ สิ่งที่เป็น Business ตลาดหลักทรัพย์ฯก็จะทำให้เข้มข้นขึ้น

“สิ่งที่จะทำออกไปให้ถึงประชาชนทั่วไป คือ ในเรื่องของการลงทุนหรือการเก็บออมเงินเป็นเรื่องสำคัญที่ประเทศไทยที่กำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ เพราะฉะนั้นถ้าคนยังไม่เริ่มลงทุนในวันนี้ก็ไม่รู้ว่าจะทำเมื่อไหร่ หากแก่ตัวไปก็ไม่สามารถเลี้ยงตัวเองได้ จริงๆ แล้วประเทศไทยเฉลี่ยคนลงทุนอายุประมาณกว่า 30 ปี ถือเป็นตัวเลขอายุมากที่สุดในอาเซียน และไทยจะมีคนอายุเกิน 60 ปี ประมาณ 20% ของคนไทยทั้งหมดภายใน 20 ปีข้างหน้า เพราะฉะนั้นสิ่งที่ตลาดหลักทรัพย์ฯจะทำในปี 2560 นี้ คือ เรื่องของการเสริมสร้างการลงทุนก่อนการเกษียณอายุ สำหรับคนที่เกษียณแล้วก็จะมีอีกโครงการ โดยแคมเปญต่างๆ ที่ออกมาจะเป็นแคมเปญที่ทำงานร่วมกับพันธมิตรของอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็น บริษัทหลักทรัพย์ บลจ. ธนาคาร ประกันภัย สภาอุตสาหกรรมไทย สภาหอการค้าไทย ก็จะทำงานเพื่อให้ตระหนักว่าใครอยู่ส่วนไหนก็สามารถลงทุนตามรูปแบบสะสม”

นางเกศราย้ำว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯมีความพร้อมให้บริการตั้งแต่ 1. เครื่องมือออนไลน์ทุกประเภทตั้งแต่การเรียนรู้เพื่อให้ตระหนักหรือเกิดแรงจูงใจ 2. คือเราจะให้ความรู้ว่าควรออมเท่าไหร่ดี 3. หน้าที่ของเขาจะทำอะไรได้บ้าง 4. เป็นเรื่องของหากเขาจะลงทุนแบบนี้จะให้ผลตอบแทนอย่างไร ก็จะเป็นโปรเจ็กต์ที่ทำให้กับประชาชนคนไทย “อย่างฟินเทค หรืออุตสาหกรรม 4.0 ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเป็นหน่วยงานที่ทำฟินเทคมาตั้งแต่แรก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการใช้ออนไลน์ซื้อขาย การเข้าประชุมตลาดหลักทรัพย์ฯโดยไม่ต้องแจกกระดาษ ทำมาหลายปีแล้ว ตอนนี้ส่วนที่เป็นฟินเทคเราก็วางระบบให้ อีกส่วนคือผู้ประกอบการ ไม่ว่าจะเป็น Start Up แบบปกติ Start Up แบบฟินเทค เราก็จะมีเงินทุนส่วนหนึ่งเพื่อไปซัพพอร์ตกลุ่ม Start Up ทั้งฟินเทคหรือเทคโนโลยีอื่นเพื่อสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ และตัวเราเองก็จะทดลองใช้ฟินเทคใหม่ๆ อีกด้วย”

153 views
bottom of page