top of page
312345.jpg

มอง “ทรัมป์” ทำโลกผัวผวนหนัก..เฟดเร่งขึ้นดอกเบี้ย/ค่าบาทดิ่ง


ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมอง “โดนัลด์ ทรัมป์” นั่งประธานาธิบดีสหรัฐ เร่งผลักดันเศรษฐกิจโต ส่วนเฟดอาจปรับดอกเบี้ยตามหลังการตอบสนองของตลาด ส่งผลตลาดผันผวน มีความไม่แน่นอนสูง ด้านผลกระทบส่งออกไทยขึ้นอยู่กับสหรัฐ กับนานาประเทศบรรลุข้อตกลงร่วมกันได้ ไม่เกิดข้อพิพาทที่นำไปสู่การตอบโต้ที่รุนแรง ส่วน TMB Analytics คาดระยะยาวเศรษฐกิจสหรัฐ เจอแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ ส่งผลเฟดขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าคาด

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย รายงานมุมมองภายหลัง นายโดนัลด์ ทรัมป์ ได้รับการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาว่า การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ครั้งที่ 45 ปิดฉากลงด้วยสถานการณ์ที่เหนือความคาดหมายหลายอย่าง เพราะนอกจาก นายโดนัลด์ ทรัมป์ นักธุรกิจที่ไม่มีประสบการณ์ทางการเมืองจะกลายมาเป็นผู้พลิกประวัติศาสตร์การเมืองหน้าใหม่ของสหรัฐ คนต่อไปแล้ว สิ่งที่มาได้ผิดคาดอีกอย่าง ก็คือ พรรครีพับลิกันสามารถครองเสียงข้างมาก ทั้งในสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ซึ่งทำให้โดยหลักการแล้ว การผ่านกฎหมาย/มาตรการและนโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐ ในช่วงหลังจากนี้ คงจะมีความราบรื่นมากขึ้น ดังนั้น “โจทย์ยกเพดานหนี้สหรัฐ” ที่รออยู่ในช่วงกลางเดือนมีนาคม 2560 ก็คงจะไม่ใช่ประเด็นที่ต้องลุ้นกันจนถึงเส้นตายเหมือนกรณีที่เคยผ่านๆ มา

สำหรับในระยะสั้น ผลกระทบจากชัยชนะของนายทรัมป์ นับเป็น “ข่าวลบ” และเป็นตัวกระตุ้นให้เกิด “ความผันผวน” ในตลาดการเงินทั่วโลก ซึ่งจะเห็นได้อย่างชัดเจนจากความตื่นตระหนกของตลาดกับผลการเลือกตั้ง ด้วยการเทขายเงินดอลลาร์ฯ เงินเปโซของเม็กซิโก เงินดอลลาร์แคนาดา สกุลเงินส่วนใหญ่ในเอเชีย และสินทรัพย์เสี่ยง (เช่น หุ้น น้ำมัน) และหันไปซื้อสินทรัพย์/สกุลเงินที่มีความปลอดภัย อาทิ ทองคำ เงินเยน เงินสวิสฟรังก์ เพื่อหลบความเสี่ยงในช่วงที่ยังมีความไม่แน่นอนในหลายๆ เรื่องเกี่ยวกับนโยบายของนายทรัมป์ อย่างไรก็ดี ตลาดการเงินทั่วโลกก็ดีดตัวกลับมาได้ภายในชั่วข้ามคืน ด้วยภาพที่เงินดอลลาร์ฯ และตลาดหุ้นสหรัฐ ฟื้นตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง ซึ่งสวนทางกับเงินเยน และทองคำที่ลดช่วงบวกทั้งหมดลง

ส่วนในระยะถัดไป คาดว่า นานาประเทศและตลาดการเงินทั่วโลก คงจะต้องทยอยปรับตัวรับแนวนโยบายของสหรัฐ ที่จะปรับเปลี่ยนไปจากเดิมภายใต้สไตล์การบริหารประเทศของ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งแม้ว่า จุดยืนของนายทรัมป์ในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง จะค่อนข้างชัดเจนว่า นายทรัมป์จะเดินนโยบายในทิศทางที่สนับสนุนภาคธุรกิจและการกระตุ้นการลงทุนให้เกิดขึ้นในสหรัฐ และอาจจะมีนโยบายตอบโต้/กีดกันทางการค้ากับต่างประเทศ อย่างไรก็ดี คงต้องยอมรับว่า ยังมีความไม่แน่นอนอยู่หลายประเด็น โดยเฉพาะการผลักดันนโยบายดังกล่าวไปสู่การปฏิบัติ รวมถึงการตอบสนองจากผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียจากการปรับเปลี่ยนนโยบายของสหรัฐ ดังนั้น ประเด็นที่ต้องจับตาจะมีอยู่ 2 เรื่อง ได้แก่

1. การเรียงลำดับความสำคัญนโยบายเศรษฐกิจของทีมบริหารเศรษฐกิจชุดใหม่ของนายทรัมป์ ซึ่งศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ในช่วงไม่กี่เดือนข้างหน้าน่าจะเห็นการผลักดันนโยบายสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ (Pro-Growth Policies) ออกมาอย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นนโยบายที่สามารถนำไปปฏิบัติแล้วเห็นผลเชิงบวกได้เร็วที่สุดต่อสหรัฐ (America First) และไม่ส่งผลกระทบทางลบต่อฝ่ายใด

ทั้งนี้ นโยบายการปรับลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีเงินได้นิติบุคคล ลงไปที่ร้อยละ 15 ซึ่งสามารถทำไปพร้อมๆ กับการใช้จ่ายเพื่อการลงทุนของภาครัฐ ตามแนวนโยบายของนายทรัมป์ น่าจะส่งผลกระตุ้นในระยะสั้นต่อภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐ ซึ่งเท่ากับว่า ยังมีความเป็นไปได้ที่จะเห็นเศรษฐกิจสหรัฐ ยังสามารถประคองการขยายตัวไว้ได้อย่างต่อเนื่องในปี 2560 อย่างไรก็ตาม นโยบายกระตุ้นการลงทุนแบบสุดขั้วดังกล่าว อาจทำให้ปัจจัยพื้นฐานของสหรัฐ มีความเสี่ยงเพิ่มมากขึ้น (Fundamental Risks) โดยเฉพาะปัญหาการขาดดุลงบประมาณที่น่าจะเรื้อรังและมีความรุนแรงมากขึ้น ซึ่งในท้ายที่สุด อาจจะกดดันให้เงินดอลลาร์ฯ มีทิศทางอ่อนค่าลง

2. การตอบสนองของผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียต่อการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐ โดยหนึ่งในนโยบายหาเสียงของทรัมป์ที่กำหนดให้มีการปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้าจากจีนเป็นร้อยละ 45 และในขณะเดียวกันให้มีการดึงภาคการผลิตในอุตสาหกรรมต่างๆ กลับสู่สหรัฐ ซึ่งโดยมากแล้ว จะเป็นฐานการผลิตที่จีน เพื่อให้พลเมืองสหรัฐ มีงานทำเพิ่มขึ้น ซึ่งในปัจจุบันสหรัฐ ต้องพึ่งพาการนำเข้าจากจีนสูงถึงร้อยละ 21.5 ของการนำเข้ารวม และหากนโยบายขึ้นภาษีฯ ดังกล่าวถูกผลักดันให้เกิดขึ้นจริง จะทำให้ราคาสินค้านำเข้าของสหรัฐ สูงขึ้น ผลกระทบต่อเงินเฟ้อให้ปรับตัวสูงขึ้นตาม ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจสหรัฐ อย่างน้อยในระยะสั้น

ทั้งนี้ แม้ว่าเงื่อนไขการเจรจาข้อตกลงยังมีความไม่แน่นอน แต่เงื่อนไขดังกล่าวจะยึดหลักการที่ทำให้สหรัฐ ได้รับผลประโยชน์สูงสุด ซึ่งจีนและประเทศอื่นๆ ที่เป็นเป้าหมายของการกีดกันทางการค้า อาจจะต้องยอมเสียผลประโยชน์ไปบางส่วน โดยศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า การเจรจาเงื่อนไขทางการค้าของสหรัฐ กับประเทศต่างๆ น่าจะยังพอมีทางให้บรรลุข้อตกลงร่วมกันได้ และจะไม่นำไปสู่ข้อพิพาทและใช้ความรุนแรง เนื่องจากในระยะสั้นประเทศที่เป็นเป้าหมายของการกีดกัน/การตอบโต้ทางการค้าของสหรัฐ ดังกล่าว อาจจะยังไม่มีทางเลือกมากนักในการปฏิเสธข้อเสนอของสหรัฐ ซึ่งก็ต้องยอมรับเงื่อนไขต่างๆ ที่เสนอมาบนความไม่เต็มใจ แต่ในระยะยาว จะส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศทั้งในเรื่อง เศรษฐกิจ การค้า ความมั่นคง

ขณะที่ท่าทีการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ เป็นอีกปัจจัยที่จะมีผลต่อทิศทางตลาดการเงินในระยะข้างหน้า จากการที่นโยบายการบริหารประเทศของประธานาธิบดีคนใหม่คงจะมุ่งเป้าไปที่การเจริญเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐ ซึ่งทำให้คาดว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะยังคงส่งสัญญาณว่า เฟดจะทยอยปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายกลับสู่ระดับปกติตามเดิม อย่างไรก็ดี ประเด็นสำคัญของตลาดในช่วงหลังจากนี้ จะอยู่ที่ท่าทีของทีมบริหารประเทศชุดใหม่ ซึ่งอาจจะไม่อยากเห็นผลกระทบในเชิงลบจากการปรับขึ้นดอกเบี้ยที่มีต่อเศรษฐกิจสหรัฐ ซึ่งศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า เฟดคงต้องชั่งน้ำหนักให้กับหลายๆ ปัจจัยมากขึ้นในการกำหนดท่าทีเชิงนโยบาย ซึ่งทำให้มีความเป็นไปได้ว่า เฟดอาจจะ “Behind the Curve” หรือปรับอัตราดอกเบี้ยในจังหวะที่ตามหลังการตอบสนองของตลาด ซึ่งในประเด็นนี้ อาจทำให้ตลาดมีความผันผวนและมีความไม่แน่นอนสูง

จากการประเมินสถานการณ์ดังกล่าว ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า แม้ในระยะสั้น ตลาดการเงินโลกจะมีการตอบรับในเชิงลบต่อชัยชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีของ นายโดนัล ทรัมป์ แต่แนวทางการบริหารประเทศที่จะมุ่งเน้นเป้าหมายการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐ เป็นภารกิจสำคัญ ก็หนุนให้ตลาดฟื้นตัวกลับขึ้นมาได้ภายในช่วงข้ามคืน นอกจากนี้ จากการที่สหรัฐ น่าจะใช้นโยบายเศรษฐกิจเชิงกระตุ้นในช่วง 1 ปีข้างหน้า คาดว่า จะทำให้มีความเป็นไปได้ที่อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐ ในปี 2560 จะยังคงอยู่ในระดับใกล้เคียงร้อยละ 2.2 ตามที่ประเมินไว้ อย่างไรก็ดี สำหรับผลต่อการส่งออกของไทยนั้น สถานการณ์ที่ดีที่สุดต่อการฟื้นตัวของการส่งออกของไทยในปีหน้า จะเกิดขึ้น หากสหรัฐ กับประเทศต่างๆ สามารถบรรลุการเจรจาเงื่อนไขทางการค้าที่เป็นข้อตกลงร่วมกันได้ และไม่นำไปสู่ข้อพิพาทและใช้มาตรการตอบโต้ที่มีความรุนแรง

ด้าน ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีเอ็มบี หรือ TMB Analytics มีมุมมองว่า ผลกระทบจากผลการเลือกตั้งสหรัฐ “Trump Shocks” จะส่งผลให้ตลาดเงินและตลาดทุนไทยผันผวนเพียงระยะสั้น ขณะที่ในระยะยาวเศรษฐกิจสหรัฐ มีโอกาสเจอกับแรงกดดันด้านเงินเฟ้อจนส่งผลให้เฟดต้องปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นเร็วกว่าคาด

ทั้งนี้ ภายหลังผลการเลือกตั้งสหรัฐครั้งล่าสุดออกมาพลิกความคาดหมายของนักวิเคราะห์ โดยไม่เพียงแต่ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีคนที่ 45 สภาครองเกรสก็ยังตกอยู่ภายใต้การควบคุมเบ็ดเสร็จของพรรครีพับลิกัน ทำให้ตลาดทุนทั่วโลกกังวลกับนโยบายสุดโต่งของ นายทรัมป์ หลังจากที่เคยชินกับนโยบายเศรษฐกิจแบบเดิมๆ ของพรรคเดโมแครตมาเกือบทศวรรษ แต่หลังจากนายทรัมป์กล่าวสุนทรพจน์ตอบรับชัยชนะ ตลาดกลับคลายกังวลอย่างรวดเร็วมาก ชี้ว่าปรากฏการณ์ “Trump Shocks” อาจส่งผลที่คาดเดาได้ยากและนักลงทุนควรระมัดระวังการลงทุนช่วงนี้เป็นพิเศษ

สำหรับ Trump Shocks เริ่มปั่นป่วนตลาดทันทีที่คะแนนเสียงของนายทรัมป์เริ่มนำนางคลินตันอย่างชัดเจน ทำให้นักลงทุนลดความเสี่ยงอย่างฉับพลันและเข้าถือสินทรัพย์ปลอดภัย ทำให้ดัชนีนิเกอิของญี่ปุ่นร่วงรุนแรงถึง 6.63% และเงินเยนแข็งค่า 3.97% เวลาเดียวกัน ตลาดหุ้นไทยก็ได้ปรับตัวลง 1.47% และบอนด์ยีลด์ลดลงทันที

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนกลับต้องช็อกอีกระลอกหลังนายทรัมป์กล่าวสุนทรพจน์ตอบรับชัยชนะและเน้นย้ำถึงนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่ไม่เลวร้ายเหมือนในช่วงหาเสียง ส่งผลให้มีแรงเข้าซื้อสินทรัพย์เสี่ยงอย่างหนัก ทำให้ดัชนี S&P500 กลับมาบวกและพันธบัตรสหรัฐเผชิญแรงขายอย่างรุนแรง และในตอนเช้าตลาดเอเชียก็รับอาการช็อกด้วยการกลับมายืนที่จุดเดิมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

จากปรากฏการณ์ Trump Shocks ศูนย์วิเคราะห์ฯ มองตลาดจะมีความผันผวนต่อเนื่องในระยะสั้น เนื่องจากนักลงทุนส่วนมากยังสับสนกับนโยบายของนายทรัมป์และผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และความผันผวนในตลาดจะคงอยู่จนกว่านายทรัมป์จะประกาศนโยบายที่แน่ชัดออกมาในช่วงเดือนมกราคมปี 2560 ส่วนในระยะยาวมองว่าสิ่งที่จะกำหนดทิศทางของตลาดทุนไทยที่แท้จริงคือ นโยบายการเงินของเฟด โดยมองผลลัพธ์ออกเป็น 2 กรณี คือ

1. กรณีที่นโยบายเศรษฐกิจของนายทรัมป์ได้รับอนุมัติทั้งหมด เชื่อว่าจะก่อให้เกิด Trump Shocks อีกรอบและเงินเฟ้อดีดตัวอย่างชัดเจน อันเป็นผลมาจากนโยบายการค้าและผู้อพยพที่สุดโต่ง ทำให้เฟดจำต้องตัดสินใจขึ้นดอกเบี้ยเร็ว โดยคาดว่าจะขึ้นดอกเบี้ย 1 ครั้งในสิ้นปีนี้ 0.25% และเพียง 2-3 ครั้ง 0.25% ในปี 2560 ซึ่งในกรณีนี้จะส่งผลให้เกิดการเคลื่อนย้ายของเงินทุนโลกเร็วขึ้น ส่งผลให้เกิดแรงขายทั้งในหุ้นและบอนด์ไทย กดดันค่าเงินบาทให้อ่อนค่าได้อีกประมาณ 3% จากสิ้นปีนี้ถึงปี 2560

2. กรณีที่นโยบายเศรษฐกิจของนายทรัมป์ได้รับการตอบสนองบ้าง แม้เศรษฐกิจจะเติบโตได้น้อยกว่า แต่จะไม่มีแรงกดดันด้านเงินเฟ้อและระดับหนี้สิน ส่งผลให้เฟดมีโอกาสที่จะใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายได้ต่อ โดยคาดว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยเพียง 1 ครั้ง ในสิ้นปี 2559 และอีก 1 ครั้งในปี 2560 ส่งผลให้ค่าเงินบาทอาจอ่อนค่าเพียงเล็กน้อย 1.5% จากสิ้นปีนี้ถึงปีหน้า

ทั้งนี้ปรากฏการณ์ Trump Shocks ชี้ให้เห็นว่าตลาดการเงินหลังจากนี้ยากที่จะคาดเดาทั้งผลกระทบทางเศรษฐกิจและทิศทางเงินทุนเคลื่อนย้าย จากนี้ไปจนถึงปี 2560 คงจะยังมีเรื่องช็อกอื่นอีกนอกจาก Trump Shocks ที่เพิ่งผ่านพ้นไป ไม่ว่าจะเป็นแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก การกีดกันทางการค้า การเมืองในยุโรป และปัญหาหนี้เสียในจีน ดังนั้น ผู้ประกอบการและนักลงทุนไทยจึงควรตั้งอยู่ในความไม่ประมาทและเตรียมตัวรับกับความผันผวนของตลาดที่จะยังมีมากขึ้นเรื่อยๆ

113 views
bottom of page