top of page
312345.jpg

ตลาดผันผวน แต่เลือกลงทุนได้


ในช่วงต้นเดือนกันยายน 2559 ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวลงอย่างรุนแรง เพราะเพียงแค่ 3 วันทำการ ดัชนีตลาดดิ่งลงถึง 55.92 จุดหรือลดลง 3.61% โดยมีวอลุ่มการเทขายมากถึง 8.39 หมื่นล้านบาทในบางวัน นับเป็นการดิ่งลงแรงของตลาดในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งนักลงทุนส่วนมากไม่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้น แต่ในทางด้านการเก็งกำไรคงจะยินดีกับการดิ่งลงของตลาด เพราะที่ผ่านมาการเก็งกำไรทำได้ยากมาก เพราะดัชนีดูบวกมาจากสิ้นปีก่อน (2558) ถึง 270.30 จุด คิดเป็นการขึ้นของดัชนี 20.99% การจะเก็งกำไรต่อเนื่องก็เลยหนักแรงมาก ผิดกับการใช้วิธีกดตลาดอาจจะทำได้ง่ายกว่า แต่เนื่องจากช่วงที่ผ่านมายังมีเงินทุนจากภายนอกไหลเข้ามาหนุนจำนวนมาก

ทำให้การกดตลาดก็ไม่ได้ผลตามที่ต้องการ จึงต้องยืดเวลาผ่านไปเพื่อให้เกิดความรู้สึกว่าตลาดบวกขึ้นมานานถึง 8 เดือนแล้ว หากจะมีการปรับฐานบ้าง ก็คงจะมีการยอมรับกันได้มากขึ้น ดูจะสอดรับกับอารมณ์ความรู้สึกของนักลงทุนมาก ดังนั้น เมื่อเริ่มต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา กองทุนต่างๆ จึงพร้อมใจกันกดตลาด ซึ่งคงใช้ทุกรูปแบบในการขาย ไม่ว่าจะเป็นการนำเอาหุ้นเก่าๆ ออกมาขายและทำชอร์ตเซลควบคู่ไปด้วย ที่ทำให้เกิดความหวาดหวั่นได้มาก คือการใช้ข่าวลือมาเสริม เมื่อหลายปัจจัยถูกนำมาใช้ประกอบเข้าด้วยกันในเวลาเดียวกัน ย่อมมีผลทางจิตวิทยาสูงมากเป็นธรรมดา มีผลให้ดัชนีตลาดเริ่มติดลบลดลง และจะทวีการติดลบลงมากขึ้น เมื่อยังมีแรงกดจากกองทุนต่อไป ในขณะที่นักลงทุนต่างชาติก็คงจะกังวลกับสิ่งที่เกิดขึ้นมากขึ้นด้วย มีผลให้ต้องชะลอการซื้อ ทำให้แรงซื้อเริ่มแผ่วลง เท่ากับทำให้แรงขายดูโดดเด่นมากเป็นพิเศษ และไม่ต่างกับทำนบกั้นน้ำ

เมื่อถูกกระแทกบ่อยๆ ในที่สุดทำนบก็แตกได้ ไม่ต่างกับอารมณ์ของนักลงทุน เมื่อมีแรงกดดันมากและยาวนาน ย่อมเกิดอารมณ์การถอดใจออกมาเป็นธรรมดา มีผลให้ดัชนีดิ่งลงแรงและทะลุแนวรับต่างๆ ได้ไม่ยาก แต่ในเมื่อพอจะรับรู้กันมากแล้วว่าไทยยังมีปัจจัยทางพื้นฐานที่ดีกว่าประเทศอื่นๆ มาก โดยเฉพาะแรงขับเคลื่อนและแรงดันจากภาครัฐที่มีทั้งมาตรการกระตุ้นการจูงใจ และการลงทุนจากภาครัฐโดยตรง ทำให้พื้นฐานที่แข็งแกร่งเหล่านี้พยุงตลาดให้ไม่ตกต่ำต่อไปได้ กลับจะเป็นปัจจัยบวกที่จะหนุนให้ตลาดมีการดีดตัวสูงขึ้นได้อีกด้วย นับเป็นสิ่งที่นักลงทุนจะต้องกลับมาใคร่ครวญพิจารณาด้วยสติปัญญาว่า ราคาหุ้นปัจจุบันสอดคล้องกับพื้นฐานจริงในปัจจุบันหรือยัง และจะดีมากขึ้น หากสามารถประเมินพื้นฐานในช่วงครึ่งปีหลังจะดีกว่าปัจจุบันมากแค่ไหน จะทำให้ประเมินราคาหุ้นและกลุ่มหุ้นที่น่าลงทุนได้ดี ก่อนที่ราคาจะปรับเพิ่มมากขึ้น เท่ากับจะช่วยให้เลือกลงทุนในต้นทุนที่ต่ำกว่าปกติ จะมีกำไรงามในอนาคต

เศรษฐกิจแกร่ง บริโภคฟื้น เงินทุนไหลเข้า เป็นตลาดผันผวน

เป็นธรรมดาเมื่อตลาดผันผวนมาก นักเก็งกำไรจะออกอาการแตกตื่นมากไปด้วย ที่ผ่านมาตลาดตื่นข่าวลือ นักเก็งกำไรมองเป็นการปรับฐานครั้งใหม่ในรอบ 8 เดือน แต่ความเป็นจริงเป็นการกดตลาดจากบรรดากองทุนที่มีอารมณ์หวาดหวั่นกับปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ดูจะเป็นการประเมินในทางลบมากเกินจริง เพราะเมื่อมาพิจารณาจากข้อมูลทางด้านพื้นฐานต่างๆ ทั้งภายนอกและภายใน ไม่พบว่าจะมีปัจจัยทางลบเพิ่มแต่อย่างใด ตรงกันข้ามปัจจัยลบเดิมกลับค่อยๆ คลี่คลาย กลับมาเป็นปัจจัยบวกมากขึ้น อย่างกรณีเฟดกับการจะปรับขึ้นดอกเบี้ย แม้จะมีข่าวการวิจารณ์ออกมาว่าเฟดอาจปรับขึ้นดอกเบี้ยในเดือนกันยายนนี้ แต่เมื่อมีการไตร่ตรองในรายละเอียดดูจากข้อมูลทางเศรษฐกิจของสหรัฐในปัจจุบัน ก็ยังไม่มีความเชื่อมั่นได้มากพอที่จะทำให้เฟดจะต้องรีบปรับขึ้นดอกเบี้ย ยังมีการมองว่าแท้จริงแล้วเฟดคงจะคงอัตราดอกเบี้ยต่อไปอีกระยะหนึ่ง ก่อนที่จะตัดสินใจปรับขึ้นดอกเบี้ยจริง จึงดูเป็นความพยายามของนักวิเคราะห์ที่มีการเก็งกำไรมาประกอบการวิเคราะห์มากกว่า

ส่วนปัญหาเศรษฐกิจและการเงินของอีกหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็นในทางยุโรปและญี่ปุ่น ยังมีการมองว่าบรรดาประเทศเหล่านี้ยังต้องอาศัยมาตรการทางการเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ จึงมีเงินทุนไหลทะลักสู่ภูมิภาคเอเชียและตลาดเกิดใหม่ต่อไป ทางด้านปัจจัยภายในประเทศไทยส่วนมากยังมองเศรษฐกิจไทยแข็งแกร่ง สามารถรับมือกับตลาดหุ้นที่ผันผวนได้ดี และมองการค้าปลีก การบริโภคจะสัญญาณฟื้นตัวมากขึ้น หลายธุรกิจในกลุ่มนี้มีผลประกอบการที่ดีขึ้น กำลังซื้อที่เพิ่มสอดรับกับการเติบโตของจีดีพี คาดว่าในครึ่งหลังของปี ธุรกิจจะเติบโตมากกว่าครึ่งปีแรก

ดังนั้น เมื่อพิจารณาโดยรวมแล้ว มองตลาดหุ้นผันผวนในช่วงสั้นๆ เท่านั้น นักลงทุนยังมีความเชื่อมั่นพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่ดีของไทย จึงไม่ค่อยกังวลกับการที่ตลาดผันผวนมากนัก กลับมองเป็นจังหวะที่ดีกับการเลือกลงทุนในหุ้นที่มีพื้นฐานดี แต่ราคาหุ้นต่ำลงและมีราคาต่ำกว่าพื้นฐาน เป็นการเลือกลงทุนที่จะได้ผลตอบแทนที่ดีในอนาคต

0 views
bottom of page