top of page

ปัญหาท่องเที่ยว น่าห่วงกว่า 'ส่งออก'




เชื่อส่งออกไทยยังไม่ถึงทางตัน อย่าจิตตกเรื่องมาตรการภาษีของทรัมป์จนเกินเหตุ มองว่าทรัมป์แค่เล่นเกมเพื่อเจรจาต่อรองให้อเมริกาได้ประโยชน์สูงสุด โดยพุ่งเป้าเล่นงานจีนเป็นหลัก ชี้...ผู้ส่งออกไทยยังค้าขายกับอเมริกาได้ เพียงแต่ต้องหาจุดแข็งของสินค้าของตัวเอง โดยสินค้าส่งออกหมวดอาหารจากไทยยังไปต่อได้ แต่ในขณะเดียวกันผู้ส่งออกไทยต้องเร่งหาตลาดใหม่ๆ เช่น ตะวันออกกลาง อินเดีย แอฟริกา รวมถึงตลาดบางส่วนในอเมริกาที่แทบไม่มีสินค้านำเข้าจากไทยเช่น ชิคาโก ดีทรอยต์ ฟอเรสต์ซิตี้ วิสคอนซิน ต่างกับสินค้าจีนที่มีขายในแทบทุกเมืองของอเมริกา พร้อมย้ำ...ภาคส่งออกของไทยไม่น่าห่วงเท่าภาคธุรกิจท่องเที่ยว ที่นักท่องเที่ยวต่างชาติโดยเฉพาะจีนลดวูบ ทำให้กระทบต่อการบริโภคภายในประเทศของไทย ซึ่งนโยบายการแก้ไขวิกฤตธุรกิจท่องเที่ยวของภาครัฐยังเกาไม่ถูกที่คัน การจ้างหรือเชิญอินฟลูเอนเซอร์จากจีนมาช่วยโปรโมตจีนเที่ยวไทยเป็นเรื่องวูบวาบแบบไฟไหม้ฟาง ทางที่ดีควรโปรโมตด้วยการให้นักธุรกิจในไทย รวมถึงนักศึกษาจีนในไทยที่มีมากกว่า 3 หมื่นคน ช่วยบอกต่อข้อดีของการทำธุรกิจในไทย ข้อดีของการมาเรียนและท่องเที่ยวไทย ซึ่งน่าเชื่อถือและได้ผลมากกว่า

 

Interview : คุณเกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ จำกัด (LEO)


เรื่องภาษีการค้าของสหรัฐอเมริกา รวมถึงเรื่องศาลอุทธรณ์ของสหรัฐอเมริกาที่เข้ามาโต้แย้งกันอีก มองบรรยากาศตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง

           

ต้องบอกว่าบางทีนักวิเคราะห์ นักเศรษฐศาสตร์จะกลัวมากเกินไปตั้งแต่วันที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศเรื่องภาษี ผมเองบอกทุกคนว่าใจเย็นๆ เราเห็นทรัมป์ในช่วงหลายปีก่อนหน้าโน้นว่าเขาเป็นนักเจรจาต่อรอง เขาก็ต้องพยายามเอาเปรียบ ออกมาตรการอะไรต่างๆ ที่เอาเปรียบทุกคน แต่สุดท้ายเดี๋ยวเขาก็เปลี่ยนไป แล้วกลับมาพูดคุยกันมากกว่า และก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ

           

ทั้งนี้ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา เขาก็เหมือนตบหัวแล้วลูบหลัง ตบจูบ...ตบจูบตลอดเวลา ฉะนั้น ในความเป็นจริงคิดว่าก็เป็นเกมของเขาในการที่จะบีบบังคับแล้วก็ผ่อนคลาย แม้กระทั่งทุกคนที่ค้าขายกับสหรัฐอเมริกา แต่ละคนก็ตอบไม่เหมือนกัน ในช่วง 2-3 เดือนแรกที่ออกมาตรการ บางคนก็กลัว บางคนก็ยิ่งขายดี คือเราไม่สามารถเอาภาพแม็คโครแล้วมาแอปพลายกับทุกคนได้ ดังนั้น แต่ละคนแต่ละธุรกิจต้องประเมินสถานการณ์ของตัวเองอย่างใกล้ชิด และอย่าจิตตกมากเกินไป เพราะเราไม่สามารถเอาภาพแม็คโครแล้วเอามาแอปพลายกับธุรกิจเราได้ ซึ่งสินค้าแต่ละตัวเจอมาตรการไม่เหมือนกัน

 

มีส่งออกตัวไหนยังดี ตัวไหนน่าห่วง

           

คิดว่าที่ยังเดินหน้าต่อไปได้เยอะๆ ที่ผมได้คุยกับลูกค้าของเราคืออาหาร ซึ่งยังต้องนำเข้าอยู่ ยังต้องกินต้องใช้ ส่วนที่เป็นอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ก็เหมือนกัน เชื่อว่าเป้าหมายจริงๆ เขาคือจีน อย่างไรภาษีของไทยก็อยู่ในอัตราต่ำกว่าจีนแน่นอน เราก็ยังสามารถแข่งขันได้ คือผมมีลูกค้าคนจีนคนหนึ่ง เป็นโรงงานที่มาจากจีนเลย แล้วก็มาตั้งโรงงานผลิตในไทย ก็ได้ถามเขา ซึ่งเขาบอกว่าต่อให้ขึ้นมาเท่าไหร่ก็ยังขายได้ เพราะราคาที่ผลิตในไทยยังสามารถแข่งขันได้และถูกกว่าที่ผลิตในจีนอีก

           

เชื่อว่าทุกคนต้องมีจุดแข็งของตัวเอง ก็ต้องพยายามใช้จุดแข็งของตัวเองให้เป็นประโยชน์ อย่าจิตตกมากเกินไป ยังมีโอกาส และสหรัฐอเมริกาก็ไม่ใช่เป็นประเทศหลักประเทศเดียวที่ไทยเราทำการค้าด้วย ยังมีอีกหลายๆ ประเทศทั้งยุโรป เอเชีย ดังนั้น เราต้องพยายามหาตลาดใหม่ๆ มาทดแทน ซึ่งเรามองแล้วว่าสหรัฐอเมริกาเขาทำตัวเป็นอันธพาล ขณะที่เราเองก็ต้องพยายามรักษามาร์เก็ตแชร์ของเราให้ได้มากที่สุด พูดคุยกับลูกค้าของเราที่ต่างประเทศอย่างใกล้ชิด ประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด แล้วก็ปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ ยังมีตลาดอีกตั้งกว่า 70% ที่เรายังสามารถขยายนำมาทดแทนตลาดสหรัฐอเมริกาได้ ซึ่งก็ต้องใช้เวลา แต่ถ้าเราไม่เริ่มวันนี้ก็ไม่รู้จะเริ่มเมื่อไหร่

           

อย่างบริษัทเราก็เริ่มปรับตัวมาตั้งแต่ปีที่แล้ว เราเห็นเรื่องพวกนี้ว่าเป็นความไม่แน่นอน เราก็พยายามขยายตลาดตะวันออกกลาง ขยายตลาดอินเดียเพิ่มมากขึ้น ขณะเดียวกัน สิ่งที่รัฐบาลเราให้ความสำคัญน้อยมากคือตลาดแอฟริกา ซึ่งจีนไปลงทุนที่นั่นมหาศาล แต่ผู้ประกอบการคนไทยเราคงจะกล้าๆ กลัวๆ ไม่ค่อยอยากจะไปกัน ซึ่งเราแพ้จีน ขณะที่จีนเขาไปทั่วโลก ทั้งสหรัฐอเมริกา แอฟริกา เขาไปจนทะลุปรุโปร่ง แล้วค้าขายกับเขาเยอะ

           

ขณะที่ตลาดสหรัฐอเมริกา บริษัทเรามีพาร์ตเนอร์ที่สหรัฐอเมริกาเยอะ ส่วนใหญ่จะอยู่ในเมืองพวกชิคาโก ดีทรอยต์ เขาก็จะบอกเลยว่าเขาอยากทำการค้ากับบริษัทเรา แต่คนไทยเราไม่ได้ขายของให้กับลูกค้าเขาในเมืองพวกนี้เลย มีแต่คนจีน ซึ่งคนไทยจะไปแค่แอลเอ ซานฟราน นิวยอร์ก แต่เมืองภายในเราไม่ได้ไปขาย บริษัทเรามีเอเยนต์ที่ฟอเรสต์ซิตี้ มีเอเยนต์ที่วิสคอนซิน เขาบอกว่าเขาอยากจะขายกับบริษัทเรา แต่ทำไมเขาไม่เคยขายของหรือซื้อของจากไทยเลย ตรงนี้ถือเป็นจุดอ่อนของผู้ประกอบการไทย ซึ่งตลาดใหม่ๆ อาจจะต้องใช้เวลาเดินทาง ใช้เวลาในการพัฒนา ซึ่งจีนเขาบุกทะลวงไปแล้ว

           

อย่างบริษัทผมมีลูกค้าคนจีน เขาเคยพูดกับผมครั้งหนึ่ง ฟังแล้วก็อาย เขาบอกเขามาอยู่ไทย อยากมาค้าขายกับไทย เขาก็มาไทย มารู้กฎ เรียนรู้คน เรียนรู้ทุกอย่าง เพื่อที่จะขายของให้ไทยได้ แต่ทำไมผู้ประกอบการคนไทยที่อยากจะขายของให้จีน ถึงไม่เคยไปจีนเลย แล้วจะไปรู้ข้อมูลได้อย่างไร แล้วก็ไม่ได้เรียนรู้ด้วยตัวเอง อันนี้มองว่าเราแพ้คนจีนมากๆ คนจีนเขามีความกล้า พร้อมลุย แล้วเมื่อเขาอยากทำตลาดไหนก็ไปเรียนรู้อย่างจริงจัง เพื่อให้ขายได้ทะลุทะลวง

           

ขณะที่ของเราโดนเขาตีตลาด กฎของไทยต้องเป็นอย่างไร สมัยก่อนสินค้าราคา 1,500 บาท ไม่ต้องเสียภาษี ดังนั้น ถ้าเราซื้อของจากจีนโดยตรงจะเห็นว่าเวลาจ่าหน้าซองเขาจะสกรีนราคาสินค้าเรียบร้อย ไม่มีซองไหนเกิน 1,500 บาทต่อให้เราซื้อเกิน 1,500 บาท แต่ของไทยไปถึงจีน ไปถึงคุณใส่รหัส ไม่ใช่รหัสสำหรับผู้ซื้อที่เป็นอีคอมเมิร์ซ คุณก็โดนบล็อกแล้ว เพราะอาจเป็นสินค้าคอมเมอร์เชียล เขาไม่ยอมให้เข้า คุณต้องใส่รหัสให้ถูกต้องว่าเป็นรหัสเบอร์นี้นะ คนนำเข้าไปเพื่อเป็น Personal Use คือไม่ต้องขอใบอนุญาต จุดเล็กๆ น้อยๆ อย่างนี้คนของเราไม่ทราบ และพอถึงเวลาสินค้าส่งไปแล้วโดนยึด ก็บอกจีนเขากีดกันทางการค้า จริงๆ ไม่ใช่ เพราะเราไม่ได้เรียนรู้ว่าระเบียบของเขาจริงๆ คืออะไร อย่างนี้เป็นต้น

 

ถ้าอยากเปิดตลาดใหม่ๆ ก็ต้องเรียนรู้ตลาดนั้นๆ

           

ใช่ อยากบอกว่ายังมีโอกาสอีกเยอะ แต่เราต้องพยายามขวนขวายและค้นหาตลาดที่ยังมีอยู่ ต้องทำการบ้านให้มากๆ ยืนยันว่าคนจีนเวลาเขาทำอะไรเขาทำการบ้านเยอะมาก เขาตื่นตัวเรียนรู้ และเขาก็พยายามย้ายโรงงาน ตอนนี้เขาบอกว่าที่ดินแถวระยองผืนใหญ่ๆ คนจีนเหมาหมดแล้ว ขณะที่ก่อสร้างโรงงานก็เอาคนของเขามาสร้าง เราก็แทรกตัวเข้าไปได้ไม่เท่าไหร่

           

สำหรับบริษัทเรา เมื่อรู้ว่าเขาเป็นแบบนี้ ผมก็ไปชวนพาร์ตเนอร์ผมที่จีนให้มาร่วมทุนกัน แล้วคุณก็มาทำตลาดในไทย ติดต่อลูกค้าจีนให้เรา ซึ่งเราจะมีหน้าที่แบ็กอัพและบริหารจัดการให้คุณ เราก็ต้องพลิกตัว เพื่อให้เรามีโอกาสเพิ่มมากขึ้น หากเราจะบ่นอย่างเดียวแล้วรอให้รัฐบาลช่วยมันคงเป็นไปไม่ได้

 

ต้นทุนการขนส่ง สต๊อกสินค้าที่ผ่านมามีปัญหาหรือไม่

           

ช่วงเดือนที่ผ่านมาสินค้าที่ส่งออกไปทางสหรัฐอเมริกาและยุโรปเรือจะเต็มมาก และเดือนมิถุนายนก็เต็มแล้ว คือต้องบุ๊กกันล่วงหน้านานๆ เลย เพราะไปทางสหรัฐอเมริกาไม่ต้องใช้เวลา 90 วัน ต้องรีบส่งให้ได้เร็วที่สุด ทีนี้มันจะไปกระทบกับทางยุโรปเพราะเรือที่วิ่งไปทางยุโรปส่วนหนึ่งต้องวิ่งไปทางสหรัฐอเมริกาฝั่ง East Coast พวกนิวยอร์ก ฉะนั้น เขาก็ต้องใช้เรือร่วมกัน ดังนั้น เรือก็ต้องขึ้นราคาไปยุโรปด้วย เพื่อให้บาลานซ์กัน

           

ปัจจุบัน สายเดินเรือประกาศราคาเดือนมิถุนายนออกมาแล้ว เพิ่มขึ้นมา 3,000-4,000 เหรียญต่อตู้เลย แต่ก็ยังไม่ถือว่าแพงที่สุด โดยช่วงที่แพงสุดคือช่วงโควิด สมัยก่อนช่วงโควิดจะค่อยๆ ปรับทีละ 800 เหรียญ 1,000 เหรียญ แต่เดี๋ยวนี้เขาปรับทีเดียวแรงๆ แต่เราก็มีหน้าที่ต้องบอกลูกค้าเราว่าตอนนี้คุณต้องวางแผนล่วงหน้ากันเป็นเดือนๆ แค่อาทิตย์สองอาทิตย์ไม่มีตู้แน่นอน เพราะสายเดินเรือเขาก็มีลูกค้าต่างประเทศของเขาอยู่แล้ว สำหรับเรา เราก็ต้องบริหารจัดการ แล้ววางแผนในการจอง ระวางเรือกับสายเดินเรืออย่างใกล้ชิด

           

ดังนั้น ตรงนี้ชัดเจน ว่า 1-2 เดือนนี้ทุกคนเร่งส่งสินค้าอย่างมากมาย แต่เชื่อว่าใกล้ครบ 3 เดือนจะต้องมีอะไรอีกตามประสาของทรัมป์ โดยเชื่อว่าเขาก็ไม่กล้าทำให้ผู้บริโภคหรือคนของเขาต้องมาจ่ายของในราคาแพง ถ้าเกิดว่าของแพงขึ้น คนที่เดือดร้อนก็คือคนที่โหวตให้กับทรัมป์นั่นเอง ดังนั้น เขาก็ต้องหาทางเลือกให้ไม่มีผลกระทบกับคนของเขา ขณะที่ตอนนี้เศรษฐกิจเขาก็ไม่ดี แล้วต้องมาจ่ายสินค้าราคาแพงอีก มันคงไม่ใช่

 

ประเมินหลังครบ 90 วันอย่างไร

           

โดยปกติแล้วการส่งสินค้าไปสหรัฐอเมริกา ต้องส่งล่วงหน้ากันค่อนข้างนาน จริงๆ พอส่งช่วงนี้ไปส่วนหนึ่งจะเป็น Consumption ทั่วๆ ไป แต่ส่วนหนึ่งจะเป็นการสต๊อกเก็บเอาไว้สำหรับขายช่วงสิ้นปี โดยเฉพาะปีใหม่ ยังเชื่อว่าถ้าทรัมป์ตัดสินใจขึ้นภาษีจริงๆ จะมีผลกระทบบ้าง แต่ก็มีคนที่พยายามนำเข้าสินค้าไปในระดับหนึ่งแล้ว คิดว่ายังรองรับได้สักเดือน ให้รอว่าทรัมป์เขาจะเปลี่ยนใจอย่างไร

           

แต่ยังมั่นใจว่า สุดท้ายแล้วเขาไม่ขึ้นเยอะๆ หรอก และถ้าขึ้นจริง เรายังได้เปรียบจีนอยู่ เพราะอย่างไรเขาหมายมั่นปั้นมือว่าจะเล่นงานจีน แล้วก็ขึ้นอยู่กับไทยด้วยว่าเราจะต่อรองกับเขาอย่างไร ยังมีโอกาสอีกเยอะ ที่เคยมีคนออกมาพูดว่าเรายังสามารถนำเข้าถั่วเหลืองจากสหรัฐอเมริกาได้ เรายังสามารถนำเข้าสินค้าอีกหลายๆ ตัว คือเรายังต่อรองได้ เพียงแต่อย่ากลัวมากจนเกินไป เพราะเรารู้สไตล์เขาว่าเขาต้องการต่อรอง แค่นั้นเอง เขาไม่ต้องการมาเก็บเราจริงๆ ถ้ารู้จุดยืนตรงนี้ เราก็ต้องพยายามเล่นตามเกมของเขา

 

หลายคนประเมินว่าส่งออกครึ่งปีหลังอาจจะติดลบเลย และกระทบจีดีพีเรา

           

คนที่เป็นนักวิชาการ นักวิเคราะห์ที่พูด ถ้ามองว่าเป็นอย่างนี้ ทั้งภาคเอกชนหรือรัฐบาลก็ต้องพยายามหามาตรการมาทำงานตั้งแต่ตอนนี้ว่าเราจะทำอย่างไร ขยายตลาดอย่างไร หาตลาดเพิ่มเติมอย่างไร เพื่อทำให้การส่งออกเราไปยังประเทศอื่นๆ แต่ถ้าเรามัวแต่คิดว่าสิ้นปีมันจะเป็นแบบนี้ ก็แค่วิเคราะห์เฉยๆ แต่ไม่ได้หาทางป้องกัน ซึ่งถ้าเราเริ่มหาทางป้องกัน พยายามทำอะไรให้มันดีขึ้นกว่านี้ มองว่ายังมีโอกาส

           

ขณะเดียวกัน ในส่วนนักท่องเที่ยวที่เข้ามาไทย มองว่าเรื่องนี้น่าเป็นห่วงมากกว่า ขณะที่การส่งออกยังมีตลาดอีกเยอะ แต่การท่องเที่ยวภายในประเทศน่าเป็นห่วงมาก และมาตรการที่รัฐบาลออกมาคือเกาไม่ถูกที่คัน มันไม่ได้ช่วย ต้องคิดให้บูรณาการมากกว่านี้ คุณแค่ไปให้อินฟลูเอนเซอร์ไปโปรโมตให้คนจีนมาเที่ยวไทยมากขึ้น แต่คำถามคือ เขาไม่มั่นใจว่าเที่ยวไทยแล้วจะปลอดภัย คือคุณมีมาตรการอะไรที่ทำให้เขามั่นใจหรือไม่ว่ามาไทยแล้วปลอดภัย คุณได้เซ็ตระบบใหม่หรือไม่ คือถ้าเป็นผมมองว่าในไทยมีนักศึกษาจีนมาเรียนตั้ง 2.8 หมื่นกว่าคน ทำไมเราไม่ทำระบบคอลเซ็นเตอร์ 24 ชั่วโมงเลย เอานักศึกษาจีนมา จ้างมาเป็นพาร์ตไทม์ มาทำงาน คุณมีปัญหาอะไรให้โทร.เบอร์นี้นะ เดี๋ยวเราจะ Take Action ทันทีเลยเพื่อดูแลพวกคุณ เราจะมีมาตรการมีตำรวจท่องเที่ยวชาวจีนที่พร้อมจะดูแลพวกคุณ ซึ่งคุณติดต่อพวกเราได้ตลอด หรือทำประกันพิเศษให้ เพื่อให้นักท่องเที่ยวมีความรู้สึกมั่นใจ

           

แต่สิ่งสำคัญสุด นักศึกษา 2.8 หมื่นคนที่มาเรียนไทย เขาเคยเจอปัญหาหรือไม่ หากไม่เจอ ให้เอาคนพวกนี้มาพูดแทนเราว่ามาเรียนที่นี่ไม่เคยเจอปัญหาเลย มาสิ เรามีภัตตาคารจีนเปิดเยอะแยะ พวกหม่าล่าทั้งหลาย ไปสัมภาษณ์คนพวกนี้สิว่าทำไมถึงมาลงทุนในไทย ก็มารอนักท่องเที่ยวชาวจีนนั่นแหละ ซึ่งเมืองไทยไม่มีอันตรายอะไร มาเถอะ จะดีกว่าไปจ้างอินฟลูเอนเซอร์คนจีน ซึ่งทุกคนก็จะรู้ว่าพวกนี้รับเงิน แต่นี่คุณไปสัมภาษณ์คนจีนที่อยู่ในไทยเลย นักศึกษาจีน 2.8 หมื่นกว่าคน ใช้เขาให้เป็นประโยชน์ ผู้ประกอบการคนจีนที่มาเปิดธุรกิจในไทยเยอะแยะไปหมดที่เป็นธุรกิจดีๆ ไม่ใช่ธุรกิจสีเทา ให้เขาพูดแทนประเทศไทย จะดีกว่าไหม

           

หวังว่าเสียงนี้จะไปถึงผู้ว่าการ ททท. หรือรัฐมนตรีที่ดูแลอยู่ ให้ทำอย่างนี้เถอะ เอาคนจีนที่อยู่ในไทยมาพูดแทนเรา ทำคอลเซ็นเตอร์ ทำตำรวจท่องเที่ยว พูดภาษาจีนได้ ให้นักท่องเที่ยวเขารู้สึกว่ามาไทยแล้วเราดูแลเขา คิดว่าจะแก้ปัญหาได้ถูกที่คัน ผมเป็นห่วงเรื่อง Domestic Consumption หรือการบริโภคภายในประเทศมากกว่าเรื่องส่งออก เพราะส่งออกยังมีตลาดอีกมหาศาล แต่กำลังซื้อในไทยจะแย่ ถ้าไม่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติ มองว่าน่าเป็นห่วงมาก มองว่าไม่ใช่แค่นักท่องเที่ยวจากจีนประเทศเดียว เราทำได้ทุกประเทศ ทำให้รู้ว่าเราแคร์เขาจริงๆ เรามีสิ่งที่อยากให้คุณมา และเราดูแลคุณจริงๆ

           

ที่สำคัญที่สุด คนที่ทำผิด ต้องลงโทษอย่างจริงจัง ออกข่าวไปเลยว่าเราจับได้แล้ว ลงโทษแล้ว เรามีมาตรการอะไรทำให้เขามั่นใจว่าเราไม่ได้สนับสนุนคนพวกนี้ จะดีกว่าไปเสียเงินจ้างอินฟลูเอนเซอร์จีน ซึ่งจีนเขาไม่ได้โง่ พวกนี้ได้เงินมาแต่เคยมาจริงๆ หรือไม่ เขาชอบไทยจริงหรือเปล่า เอาคนที่อยู่ในไทยจริงๆ มาพูดยังดีกว่าเยอะ ซึ่งเอาอินฟลูเอนเซอร์มันแค่ฉาบฉวยเอง

           

ตรงนี้อยากฝากไว้เลย คือเราต้องปรับตัวอยู่ตลอดเวลา แล้วมองหาช่องทาง เพราะช่องทางมีอีกเยอะ ตอนนี้ในไทยมันเหนื่อย กำลังซื้อก็น้อย และถ้านักท่องเที่ยวไม่มี จะน่าเป็นห่วงจริงๆ ซึ่งหากรัฐบาลยังแก้ไม่ถูกจุด ก็น่าเป็นห่วงมากๆ

Comments


bottom of page