top of page
501397.jpg

เตือนผู้ส่งออกไทย! ส่งสินค้าให้คู่ค้า ระวังถูกสวมสิทธิ 'สินค้าไทย'


ree

เตือนผู้ส่งออกสินค้าไปอเมริกา ต้องใส่ใจเอกสารการส่งออกให้ถูกต้องรัดกุมที่สุด โดยเฉพาะเอกสารสำคัญคือ ROO และ C/O ถ้าผิดเพียงนิดเดียวมีสิทธิ์ถูกปฏิเสธการนำเข้าและสินค้าค้างเติ่งที่ปลายทาง เผลอๆ อาจถูกเรียกเก็บภาษีเพิ่มจากอัตราที่ได้รับอีกด้วย อีกทั้งต้องเลี่ยงการสวมสิทธิสินค้าในการส่งออกเพื่อใช้อัตราภาษี 19% และระวังการส่งสินค้าให้คู่ค้าที่สั่งสินค้าจากไทยไปส่งต่อ เพราะคู่ค้าอาจแอบสวมสิทธิสินค้าไทย ซึ่งเมื่อถูกตรวจสอบผู้ส่งออกของไทยจะพลอยติดร่างแหไปด้วย แนะป้องกันด้วยการเก็บเอกสารทุกอย่างให้ครบทั้งสัญญาซื้อขาย ยี่ห้อของสินค้า เครื่องหมายการค้า ปริมาณสินค้า ปริมาณวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิต หลักฐานการชำระเงินค่าสินค้าที่ระบุวัน เดือน ปี ชัดเจน ที่สำคัญควรถ่ายรูปสินค้าทุกตัวที่ขายให้กับผู้ซื้อด้วย


Interview : คุณสายัณห์ จันทร์วิภาสวงศ์ ผู้อำนวยการ บริษัท เอ็กซ์เซลเล้นท์ บิสเนส คอร์ปอร์เรชั่น อินเตอร์แนชชั่นแนล จำกัด (EBCI) 

 

ตอนนี้โลกการค้าเกี่ยวกับภาษีของทรัมป์ปิดฉากลงเรียบร้อย

           

อย่าลืมว่า เราเดาใจ โดนัลด์ ทรัมป์ ไม่ได้ชัดเจน ขณะเดียวกัน ทีมที่ไปเจรจาออกมาแล้วก็อยู่ในเกณฑ์ที่ใช้ได้ แต่สิ่งที่เราให้สหรัฐอเมริกาเป็นอย่างไร เรายังไม่ทราบ แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เราเสนอไปสิ่งที่ไม่ควรให้คือในเรื่องสินค้าเกษตรอย่างเช่นหมูเนื้อแดง รวมถึงพวกที่จะเข้ามาเยอะ แล้วเข้ามาแล้วฟรีอากรด้วยเป็น 0% ก็เป็นเรื่องที่น่าห่วง

           

ทั้งนี้ ไทยเป็น 1 ใน 5 ประเทศของอาเซียนที่ได้อัตราภาษีที่ 19% จากจุดนี้เราอาจจะต้องดูเวียดนามที่ได้ 20% ห่างกัน 1% ซึ่งเวียดนามเขาไม่กลัวเราหรอก แต่เราต้องกลัวเขา เพราะเขาทำมาทุกอย่างจากข้างบนลงมาข้างล่างทำเหมือนเดิม ของเราบางทียังไม่ทราบเลยว่าเรื่องนี้เป็นของใคร มีการรักษาการกันเยอะ

 

เป็นไปได้หรือไม่ที่ผู้นำเข้าสหรัฐอเมริกา จะให้ผู้ส่งออกไทยรับภาระภาษีทั้งหมด มิฉะนั้นจะไม่ซื้อสินค้าจากไทย

           

ต้องเจรจาต่อรอง เพราะสินค้าไทยเมื่อเทียบกับตลาดโลกเราก็สู้ในอาเซียนด้วยกันได้ เราถือว่าคู่แข่งในอาเซียนเราเองคือ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม เหล่านี้เป็นประเทศคู่แข่งที่น่ากลัวของเรา อย่างไรก็ดี หากมีกรณีผู้นำเข้าสหรัฐอเมริกาบอกให้จ่ายภาษีให้นั้นคงไม่น่าจะมีใครยอมรับหรอก เพราะ 19% เราต้องแบก ดังนั้น ต้องเจรจากับผู้ซื้อ อาจจะเปิด LC เป็น LC ที่มีระยะเงื่อนไขสัก 3 เดือน เป็น LC at Sight หรือ Letter of Credit at Sight คือผู้ซื้อต้องจ่ายเงินทันที ฉะนั้น เราต้องเจรจาต่อรอง ทั้งนี้ LC at Sight จะเป็นลักษณะที่ว่า 30 วัน 60 วัน ให้เขามีเวลาเอาเงินมาหักค่าภาษีให้เราบ้าง มีโอกาสที่เขาจะเจรจากับเรา แต่ผู้ประกอบการไทยต้องมีต้นทุนของเราที่ชัดเจนว่าจะวางกลยุทธ์อย่างไร ถ้าเขาต่อรองมาเท่านั้น เราก็ต้องต่อรองอะไรกลับไป แต่ไม่ใช่ว่าหมดใจถึงขนาดที่ว่าไม่อยากทำมาค้าขาย เจอภาษี 19% จะแย่ เพราะคู่แข่งเราอยู่ในอาเซียน 6 ประเทศ ฉะนั้น โอกาสที่เราจะต่อรองยังมี แต่เราต้องมีวิธีการต่อรองกลับไป

 

หนังสือแสดงแหล่งกำเนิดสินค้า หรือที่เรียก C/O

           

จะมี 2 คำ ซึ่งมองว่าบางทีผู้ส่งออกเมืองไทยอาจไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ และคิดว่าเป็นเรื่องง่ายๆ โดยจะมีเอกสารหลักสำคัญอยู่ 2 ชุด ชุดหนึ่งเรียกว่า ROO : Rules of Origin ภาษาไทยแปลว่าแหล่งกำเนิดสินค้า อีกใบก็คือใบ C/O : Certificate of Origin ทั้งสองใบนี้มีความสำคัญ ใบแรกเป็นใบที่จะต้องกรอกในแบบฟอร์มของกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ว่าสัดส่วนวัตถุดิบที่ใส่อยู่ในตัวสินค้านั้นมีอะไรบ้าง แต่ละตัวคิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ จากนั้นก็ไปยื่นออนไลน์ที่กรมการค้าต่างประเทศ เมื่อตรวจแล้วเห็นว่าทุกอย่างใช้วัตถุดิบในไทยเกินกว่า 40% เขาก็จะออกใบ C/O คือใบแหล่งกำเนิดสินค้า ฉะนั้น เมื่อผู้ส่งออกจะส่งออกสินค้าไปสหรัฐอเมริกาก็ต้องทำสองใบนี้ก่อนถึงจะส่งออกไปสหรัฐอเมริกาได้

           

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เป็นห่วงจะมีปัญหาเรื่องการคำนวณ เพราะบางทีบางครั้ง ผู้ส่งออกอาจจะไม่เข้าใจว่าอะไรที่เป็น Local Content คือที่ผลิตในประเทศ และที่เป็นวัตถุดิบจากต่างประเทศ และบางที่อยู่บริษัทเดียวกันแต่ไม่ค่อยคุยกันเท่าไหร่ กลายเป็นว่าต่างคนต่างทำ ฝ่ายผลิตก็ทำไปอย่างหนึ่ง จัดซื้อทำอีกอย่างหนึ่ง ฝ่ายการตลาดก็ทำอีกอย่างหนึ่ง ทั้งนี้ การส่งออกไปสหรัฐอเมริกาโดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำแบบฟอร์ม ROO เป็นเรื่องสำคัญ แต่กลับเป็นเรื่องที่ผู้ส่งออกไม่ค่อยได้สนใจเท่าไหร่ ให้ลูกน้องทำ ดังนั้น เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องสำคัญ สำหรับที่จะออก C/O ถ้า ROO ทำผิด C/O ก็ไม่ออก พอไม่ออก ต่อให้ส่งเข้าไป 0% ก็ไม่มีประโยชน์ เพราะไม่มีใบ C/O

           

ทั้งนี้ การจะขอใบ C/O ทางผู้ส่งออกจะต้องลงมากำกับ ฉะนั้น เมื่อเตรียมข้อมูลในใบ ROO แหล่งกำเนิดสินค้าและกฎแหล่งกำเนิดสินค้า ผู้ส่งออกจึงส่งใบ ROO ที่เตรียมไว้แล้วให้กรมการค้าต่างประเทศเป็นระบบออนไลน์ ให้ตรวจสอบก่อน เมื่อตรวจสอบแล้ว เมื่อข้อมูลใน ROO ถูกต้อง กรมการค้าต่างประเทศก็จะออกใบ C/O ให้ หากตรวจดูก่อนหน้านี้ไม่ถูกต้อง ก็จะให้แก้ให้ถูกต้อง ถ้าแก้ไม่ถูกต้องก็ยิ่งผิดหนักเข้าไปใหญ่ ทำให้โอกาสในการใช้สิทธิ์ 19% น้อยลงไป

           

ทีนี้ เวลาผู้ส่งออกได้รับ C/O แล้วก็ต้องรีบส่งไปให้กับทางผู้ซื้อ เพื่อที่เขาจะได้เอาไปขายตั๋ว ฟังดูแล้วก็เหมือนกับไม่มีอะไร คือเตรียมใบ ROO แล้วก็ไปยื่นรับใบ C/O แต่จริงๆ แล้วก่อนหน้านี้จะมีอะไรเยอะแยะที่ผู้ส่งออกทำผิดพลาด เช่นคำนวณวัตถุดิบผิด คำนวณตัวเลขผิด อัตราส่วนวัตถุดิบในประเทศ หรือ Local Content ผิด ก็จะใช้ไม่ได้ ดังนั้น ต้องระวัง รวมทั้งต้องระวังเรื่องการสวมสิทธิด้วย เรื่องนี้ได้ยินบ่อย

 

การสวมสิทธิคืออะไร

           

การสวมสิทธิคือการปลอมแหล่งกำเนิดสินค้าของประเทศอื่น ยกตัวอย่าง เป็นสินค้าของประเทศหนึ่งที่มาเปิดโรงงานในไทย แล้วก็ซื้อสินค้าของในประเทศนั้นด้วย เช่นซื้อสติกเกอร์ แต่อีกส่วนมาจากประเทศที่เป็นคู่ค้าของโลกอีกประเทศหนึ่ง วัตถุดิบเหล่านั้นเกิดมาจากประเทศ “จ.” ก็กลายเป็นว่าสินค้านั้น มาสวมสิทธิออกใบ C/O ในเมืองไทย แล้วเอาใบ C/O นี้ไปที่สหรัฐอเมริกา เขาจะรู้จากการตรวจผ่านระบบออนไลน์ ถ้าเขารู้ว่าเป็นสินค้าที่มีการสวมสิทธิ เขาก็จะปรับประเทศไทย ทั้งที่ผู้ผิด จริงๆ แล้วอาจจะไม่ใช่ไทย และอาจจะมาจากประเทศ “จ.” คือเขามาอาศัยมา เตรียมตัวอยู่แล้ว

           

ดังนั้น อยากจะแนะนำเลยว่า ขั้นตอนแรก เริ่มเจรจากับผู้ซื้อ หรือลูกค้าเก่ากันได้แล้วว่าตามที่ประกาศกันออกมาแล้วว่าภาษีคือ 19% ปรึกษากันหน่อย เราเป็นสินค้าที่พัฒนาแล้ว และนอกจากเอกสารใบ C/O แล้ว จะมีเอกสารอะไรที่ผู้ซื้อต้องการจากเรา ที่กรมศุลกากรสหรัฐอเมริกากำหนดมา คือเท่าที่ทราบนอกจากใบ C/O ที่ส่งไปแล้ว เอกสาร Invoice และเอกสารอะไรต่างๆ อาจจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงให้เป็นไปตามกฎเกณฑ์ของทางศุลกากรของสหรัฐอเมริกา เรื่องนี้ผู้ส่งออกต้องคุยกับคู่ค้าก่อน แล้วถามว่ามีข้อห้ามว่าห้ามใช้วัตถุดิบประเทศ “จ.” อยู่ในข้อห้ามหรือเปล่า เพราะต้องยอมรับอยู่อย่างว่าสินค้าไทยบางอย่างที่เราซื้อมาจากต่างประเทศ ซื้อมาจากประเทศ “จ.” แล้วมาผลิตในไทย ทีนี้เกิดวันดีคืนดี เขาเกิดหมั่นไส้ประเทศไทยเราขึ้นมา เขาบอกว่าต่อไปนี้สินค้าไทยมาจากไทย แล้วมีสินค้าหรือวัตถุดิบของประเทศ “จ.” อยู่ในนั้นด้วย ถือว่าไม่เข้าข่าย ไม่ยกเว้น ไม่ให้ใช้สิทธิ์ 19% แล้วให้ไปใช้ 36% ตรงนี้บอกเลยว่าเป็นห่วง คือถ้าการสวมสิทธิแล้วผู้ส่งออกไม่ระวังตัว ก็ต้องโดนตรงนี้

 

มีอะไรที่ต้องเฝ้าระวังอีกบ้าง

           

กรมการค้าต่างประเทศเขามีการตรวจสอบใบ ROO ค่อนข้างเคร่งครัดมากขึ้น ฉะนั้น คือวันดีคืนดี เราเป็นเจ้าของโรงงานใหญ่ในไทย ย้ายมาจากประเทศ “จ.” ปรากฏว่าซื้อปลาจากเรา ที่เหลือเป็นวัตถุดิบจากประเทศ จ. ทั้งหมดเลย คือซื้อของในไทยพอเป็นพิธี แต่ส่วนใหญ่มาจากประเทศ จ. แล้วเขาก็ไปขอใบ C/O จากกรมการค้าต่างประเทศ ถ้าตรวจไม่ละเอียด ก็กลายเป็นว่าสินค้าล็อตนั้น หรือตู้นั้น เป็นสินค้าที่มีแหล่งกำเนิดในไทย เพราะได้ใบ C/O แล้ว นี่คือสิ่งที่เป็นห่วง

           

ดังนั้น ผู้ส่งออกไทยจะต้องระมัดระวังเรื่องการสวมสิทธิ ต่อไปนี้ถ้าใครจะมาซื้อสินค้าจากเรา เช่นซื้อเป็นตันๆ ซื้อเป็นพันกล่องเป็นหมื่นกล่อง ขอแนะนำว่าให้ทำสัญญาซื้อขาย ระบุยี่ห้อของสินค้าที่ขาย เครื่องหมายการค้า ปริมาณของวัตถุดิบ แล้วเก็บหลักฐานการชำระเงินค่าสินค้า ลงวันที่ในการซื้อขาย ถ่ายรูปสินค้าทุกตัวที่ขายกับผู้ซื้อ เพื่อป้องกันตัวเองว่าไม่มีส่วนร่วมในการสวมสิทธิ แล้วถ้ามีการตรวจสอบกลับมา เราจะบอกว่าเราขายในไทย คนที่อยู่ในไทยซื้อไปส่งออก ซึ่งเราเองไม่รู้ อันนี้คือไม่มีส่วนร่วมในการสวมสิทธิ เรื่องเหล่านี้ไม่ค่อยมีการพูดถึงเท่าไหร่ ซึ่งถ้าเป็นเรื่องที่รู้ว่าสวมสิทธิเราก็อย่าทำ เราไม่ได้ทำ แต่คนอื่นซื้อของเราไปทำ แล้วเราก็โดนด้วย

           

อีกเรื่องหนึ่งคือเอกสารการชำระเงินที่ได้มา เป็นเอกสารที่ทางผู้ซื้อเขาเซ็นรับสินค้าไป ต้องระบุวันที่ชัดเจน แล้วเก็บหลักฐานต่างๆ ไว้เช่นตอนโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารของเรา เป็นสัญญาการซื้อขาย เหล่านี้ต้องเก็บไว้หมด ซึ่งการซื้อขายกันระหว่างประเทศจะมีปัญหาเหล่านี้ ดังนั้น ต้องระวังมากขึ้น

 

เป็นครั้งแรกเลยหรือไม่ที่สหรัฐอเมริกาเน้นเรื่องแหล่งกำเนิดสินค้า

           

จริงๆ ก่อนหน้านี้เขาก็รู้ แต่เขายังหาหลักฐานอะไรไม่ได้ แต่พอเขาเริ่มรู้แล้วว่า อย่างเวียดนามเขาคิดภาษี 20% แต่ถ้าเป็นการสวมสิทธิเขาคิด 40% แล้วถ้าเป็น Transshipment หรือการถ่ายเปลี่ยนถ่ายยานพาหนะ ก็จะบวกอีก 40% แต่ตอนนี้เป็น 19% ก็ต้องดูให้ดี เป็นเรื่องที่น่าห่วง เพราะถ้าเกิดขนเต็มตู้แล้วก็จะมีปัญหาทันทีเลย สมมุติใช้ 25% เป็น 30% ทันทีเลย

           

ดังนั้น จุดหนึ่งเท่าที่ศุลกากรเราจะบอก ส่วนตัวก็เข้าใจว่าศุลกากรเขาก็อำนวย แต่การตรวจสินค้าส่งออกไป ก็ต้องดู อาจจะต้องส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปดูในโรงงานว่า สินค้าที่โรงงานออกไปมีกระบวนการผลิตอย่างไร มีเครื่องจักรจริงหรือไม่ โรงงานใหญ่ขนาดไหน อย่างที่สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยให้ข้อมูลมา ถ้ามีดัชนีของการวิเคราะห์ว่าสินค้าที่ผลิตได้ในไทยมีสักกี่ตัน สมมุติว่าผลิตได้ 10 ตัน แต่ส่งออกได้ตั้ง 200 ตัน ดังนั้น ส่วนที่เกินมาจากไหน ตรงนี้บางทีเราไม่ได้ลงลึก ก็เลยเป็นเรื่องที่คนห่วงว่าหน่วยงานราชการคงต้องจับมือกันในการที่จะดูแลสิ่งเหล่านี้ก่อนที่จะสายเกินไป

 

บริษัท เอ็กซ์เซลเล้นท์ บิสเนส คอร์ปอร์เรชั่น อินเตอร์แนชชั่นแนล รับให้คำปรึกษาด้วยหรือไม่

           

เรารับเรื่องที่เกี่ยวกับการทำ ROO การทำ C/O โดยเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม เราจัดอบรมพิเศษเจาะลึกเรื่องนี้โดยเฉพาะเลย เรื่องกฎแหล่งกำเนิดสินค้า เรื่องการตรวจสอบใบ C/O ข้อควรระวังในการที่จะทำ ROO ในแต่ละชุดแต่ละสินค้านั้นจะมีวิธีการทำอย่างไร ป้องกันต้องทำอย่างไร แล้วเวลาตรวจ C/O ตรวจอย่างไร อย่างน้อยระดับหัวหน้าจะต้องเป็นคนไปตรวจ C/O เป็นต้นไป คือตรวจก่อนอีกทีก่อนที่จะไปยื่น ทั้งนี้ ใครที่อยากจะปรึกษา สามารถติดต่อได้ที่เบอร์ 065-613-7080

             

 
 
 

Comments


bottom of page