top of page
456218.jpg

สงครามการค้า ปัจจัยหลักกดดันหุ้นโลก



ความผันผวนในระยะสั้นไม่น่ากังวล มาตรการภาษีสหรัฐชักไม่แน่ ! 

           

ประเด็นสงครามการค้ายังคงเป็นปัจจัยกดดันหลักของตลาดหุ้นโลก หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ โพสต์ข้อความใน Truth Social กล่าวหาจีนว่าได้ละเมิดข้อตกลงการค้าเบื้องต้นกับทางสหรัฐ หลังจากที่ นายเบสเซนต์ และ นายเจมีสัน กรีเออร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐ ได้พบปะกับ นายเหอ หลี่เฟิง รองนายกรัฐมนตรีจีน ที่สวิตเซอร์แลนด์ในวันที่ 12 พ.ค. 68 ซึ่งทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องให้มีการปรับลดอัตราภาษีศุลกากรฝ่ายละ 115% เป็นเวลา 90 วัน ส่งผลให้อัตราภาษีของสหรัฐที่เรียกเก็บจากสินค้านำเข้าจากจีน ลดลงสู่ระดับ 30% จากเดิมที่ระดับ 145% ขณะที่อัตราภาษีของจีนที่เรียกเก็บจากสินค้านำเข้าจากสหรัฐ ลดลงสู่ระดับ 10% จากเดิมที่ระดับ 125%

           

นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกดดันจากการที่ศาลอุทธรณ์สหรัฐประกาศระงับคำตัดสินของศาลการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐเป็นการชั่วคราว ส่งผลให้มาตรการภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ยังคงมีผลบังคับใช้

           

ขณะที่หนังสือพิมพ์วอลล์สตรีทเจอร์นัล (WSJ) รายงานโดยอ้างแหล่งข่าววงในว่า รัฐบาลสหรัฐ ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กำลังพิจารณาใช้มาตรการชั่วคราวเพื่อตั้งกำแพงภาษีต่อประเทศต่างๆ เกือบทั่วโลก อาศัยอำนาจตามบทบัญญัติในกฎหมายการค้าปี 2517 (Trade Act of 1974) ซึ่งอนุญาตให้เรียกเก็บภาษีศุลกากรได้สูงสุดถึง 15% เป็นเวลา 150 วัน อย่างไรก็ดี รายงานระบุเพิ่มเติมว่า รัฐบาลยังไม่ได้ตัดสินใจชี้ขาดในเรื่องนี้ และอาจต้องพักแผนดังกล่าวไว้ก่อน หลังจากที่ศาลอุทธรณ์กลางเพิ่งมีคำสั่งให้มาตรการภาษีชุดใหญ่ที่สุดของทรัมป์กลับมามีผลบังคับใช้เป็นการชั่วคราว พลิกคำตัดสินของศาลการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐ ที่เคยสั่งระงับมาตรการเหล่านั้นไว้ก่อนหน้าทันที

           

ด้านผลสำรวจของสมาคมนักลงทุนรายย่อยอเมริกัน (AAII) พบว่า นักลงทุนจำนวนมากขึ้นไม่เชื่อมั่นต่อทิศทางของตลาดหุ้นวอลล์สตรีทในระยะ 6 เดือนข้างหน้า ทั้งนี้ นักลงทุนที่มีความไม่เชื่อมั่นต่อทิศทางของตลาดหุ้นในระยะ 6 เดือนข้างหน้า มีจำนวน 41.9% เพิ่มขึ้นจากระดับ 36.7% ในสัปดาห์ก่อนหน้า และสูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ระดับ 31.0% ส่วนนักลงทุนที่มีความเชื่อมั่นต่อทิศทางของตลาดหุ้นในระยะ 6 เดือนข้างหน้า มีจำนวน 32.9% ลดลงจากระดับ 37.7% ในสัปดาห์ก่อนหน้า และต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ระดับ 37.5% หลังนางแมรี ดาลี ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาซานฟรานซิสโกระบุว่า เธอยังคงเห็นด้วยกับการคาดการณ์ของเฟดที่เผยแพร่เมื่อเดือน มี.ค. 68 ซึ่งเจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่คาดว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย 2 ครั้งก่อนสิ้นปี 2568 เพื่อให้แน่ใจว่าเงินเฟ้อจะปรับลดลงจนแตะเป้าหมายที่ 2% โดยข้อมูลเศรษฐกิจที่เฟดได้รับมาในขณะนี้ถือว่าเป็นบวกอย่างมาก และข้อมูลเงินเฟ้อที่เผยแพร่ล่าสุดก็แสดงให้เห็นถึงความผ่อนคลายที่ดีสำหรับผู้บริโภค

           

ทั้งนี้ เฟดยังคงตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่เดิมมาตั้งแต่ต้นปีนี้ โดยให้เหตุผลว่าภาวะเศรษฐกิจยังคงแข็งแกร่ง และยังมีความไม่แน่นอนเกี่ยวกับนโยบาย เช่น มาตรการภาษีนำเข้า ซึ่งนักเศรษฐศาสตร์เตือนว่าการเก็บภาษีนำเข้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อาจกระตุ้นเงินเฟ้อและชะลอการเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการบังคับใช้นโยบายอย่างเร่งรีบ ซึ่งทำให้ภาคธุรกิจและผู้บริโภคปรับตัวได้ยาก โดยเจ้าหน้าที่เฟดมีกำหนดประชุมครั้งถัดไปในวันที่ 17-18 มิ.ย. 68 นี้ ซึ่งนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่า เฟดจะยังคงตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้เช่นเดิม แม้ว่าล่าสุดกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคลทั่วไป (Headline PCE) ซึ่งรวมหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้น 2.1% ในเดือน เม.ย. 68 เมื่อเทียบรายปี ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 2.2% หลังจากปรับตัวขึ้น 2.3% ในเดือน มี.ค. 68

           

ขณะที่เมื่อเทียบรายเดือน ดัชนี PCE ทั่วไป ปรับตัวขึ้น 0.1% สอดคล้องตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ หลังจากไม่มีการเปลี่ยนแปลงในเดือน มี.ค. 68 หรือปรับตัว 0.0% ส่วนดัชนี PCE พื้นฐาน (Core PCE) ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน และเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความสำคัญ ปรับตัวขึ้น 2.5% ในเดือน เม.ย. 68 เมื่อเทียบรายปี สอดคล้องตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ จากระดับ 2.7% ในเดือน มี.ค. 68 และเมื่อเทียบรายเดือน ดัชนี PCE พื้นฐาน ปรับตัวขึ้น 0.1% สอดคล้องตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ จากระดับ 0.1% ในเดือน มี.ค. 68 ทั้งนี้ ดัชนี PCE ถือเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่สามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของผู้บริโภค และครอบคลุมราคาสินค้าและบริการในวงกว้างมากกว่าดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI)

        

ปัจจัยบวกในระยะกลางยังพอมี ! ปัจจัยหนุนในระยะกลางก็มีพอสมควร และจะช่วยจำกัด Potential Downside Risk ในระยะสั้นได้ด้วย เช่นการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาแอตแลนตา เปิดเผยว่า แบบจำลองคาดการณ์ GDPNow ล่าสุดแสดงให้เห็นว่า เศรษฐกิจสหรัฐมีการขยายตัว 3.8% ในไตรมาส 2 ปี 2568 หลังจากเศรษฐกิจหดตัว 0.2% ในไตรมาส 1 สอดคล้องกับผลสำรวจของมหาวิทยาลัยมิชิแกนระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐทรงตัวที่ระดับ 52.2 ในเดือน พ.ค. 68 สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 50.8 ขณะเดียวกัน ผู้บริโภคคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้น 6.6% ในช่วง 1 ปีข้างหน้า ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 7.3% แต่สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ในเดือน เม.ย. 68 ที่ระดับ 6.5%

           

นอกจากนี้ ผู้บริโภคคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้น 4.2% ในช่วง 5 ปีข้างหน้า ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 4.6% และต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ในเดือนเม.ย. 68 ที่ระดับ 4.4% รวมทั้งการที่ล่าสุดกลุ่มโอเปกพลัส (OPEC+) ยืนยันการเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันในเดือน ก.ค. 68 อีก 411,000 บาร์เรลต่อวัน ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นเท่าเดิมต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 ติดต่อกัน ซึ่งเป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ขณะที่โกลด์แมน แซคส์ (Goldman Sachs) คาดว่า โอเปกพลัส (OPEC+) มีแนวโน้มที่จะเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันในเดือน ส.ค. 68 อีก 410,000 บาร์เรลต่อวัน ซึ่งน่าจะเป็นการปรับเพิ่มครั้งสุดท้ายในรอบนี้ก่อนจะตรึงระดับการผลิตไว้ตั้งแต่เดือน ก.ย. 68 เป็นต้นไป โดยคาดว่าเศรษฐกิจโลกจะเริ่มชะลอตัวในไตรมาส 3 ประกอบกับมีโครงการผลิตน้ำมันขนาดใหญ่ของประเทศนอกกลุ่มโอเปกเริ่มทยอยเดินเครื่อง

           

แม้ตลาดคาดว่าความต้องการใช้น้ำมันจะชะลอตัวในระยะข้างหน้า แต่โกลด์แมน แซคส์มองว่า ปัจจัยหนุนตามฤดูกาลในช่วงฤดูร้อน ข้อมูลเศรษฐกิจโลกที่แข็งแกร่งเกินคาด และตลาดน้ำมันที่ยังคงตึงตัวนั้นล้วนแสดงให้เห็นว่า แนวโน้มการชะลอตัวของอุปสงค์อาจไม่รุนแรงพอที่จะเปลี่ยนแปลงแผนการเพิ่มกำลังการผลิตของกลุ่มโอเปกพลัสในการประชุมวันที่ 6 ก.ค. 68 นี้ ด้านแนวโน้มราคาน้ำมันนั้น โกลด์แมน แซคส์ยังคงประเมินอย่างระมัดระวัง โดยคาดว่าราคาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) จะเฉลี่ยอยู่ที่ 60 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) จะอยู่ที่ 56 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในช่วงที่เหลือของปี 2568 ขณะที่ในปี 2569 คาดว่าราคาน้ำมันดิบเบรนท์จะเฉลี่ยอยู่ที่ 56 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และราคาน้ำมันดิบ WTI จะอยู่ที่ 52 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งการคาดการณ์ดังกล่าวสะท้อนถึงการเติบโตของอุปทานน้ำมันจากประเทศนอกกลุ่มโอเปกและนอกกลุ่มผู้ผลิตน้ำมันจากชั้นหินดินดานของสหรัฐ ซึ่งจะทำให้มีปริมาณน้ำมันล้นตลาดประมาณ 1 ล้านบาร์เรลต่อวันในปี 2568 และเพิ่มขึ้นเป็น 1.5 ล้านบาร์เรลต่อวันในปี 2569

           

ขณะที่การเจรจาภาษีญี่ปุ่น-สหรัฐ มีคืบหน้าชัดเจนมากขึ้น หลังเจ้าหน้าที่ญี่ปุ่นและสหรัฐ ได้หารือร่วมกันที่กรุงวอชิงตัน โดยยืนยันว่าการเจรจาเรื่องภาษีศุลกากรกำลังมีความคืบหน้า และอาจสามารถบรรลุข้อตกลงกันได้ในเดือนหน้า ทั้งนี้ เรียวเซ อาคาซาวะ รัฐมนตรีผู้รับผิดชอบด้านการฟื้นฟูเศรษฐกิจของญี่ปุ่นกล่าวภายหลังการประชุมกับ สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐ และโฮเวิร์ด ลุตนิก รัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐว่า ทั้งสองฝ่ายจะมีการเจรจากันรอบใหม่ก่อนการประชุมกลุ่มประเทศ G7 ในช่วงกลางเดือน มิ.ย. 68 อย่างไรก็ตาม อาคาซาวะ เน้นย้ำว่าจนถึงขณะนี้ ญี่ปุ่นยังคงยืนกรานเรียกร้องให้สหรัฐยกเลิกภาษีเพิ่มเติมทั้งหมดที่เก็บกับสินค้านำเข้าจากญี่ปุ่น และได้ย้ำจุดยืนนี้อีกครั้งในที่ประชุมที่ใช้เวลานานกว่า 2 ชั่วโมง

           

ขณะเดียวกัน กระทรวงการคลังสหรัฐระบุว่า เบสเซนต์ ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการเพิ่มการลงทุนและความร่วมมือกันในเรื่องความมั่นคงทางเศรษฐกิจ พร้อมทั้งยืนยันความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างสองประเทศ

        

ในส่วนของกลยุทธ์ สำหรับการลงทุนระยะสั้น (ไม่เกิน 1 สัปดาห์) เน้น “อ่อนตัวซื้อลงทุน” สำหรับการลงทุนระยะกลาง (1-3 เดือน) ในลักษณะ Long-Only แนะนำ “เพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นไปที่ระดับ 75% ของพอร์ต”

           

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ความเห็นส่วนตัวของผมนะครับ โปรดใช้วิจารณญาณ และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนการตัดสินใจลงทุนด้วยครับ สำหรับการพูดคุยกันระหว่างสัปดาห์นอกจากทาง Facebook ที่ www.facebook.com/hippowealththailand และ e-mail ที่ hippowealththailand@gmail.com แล้ว แฟนๆ ยังสามารถติดตามมุมมองเกี่ยวกับการลงทุนจาก “นายหมูบิน” ได้ในรายการ “เซียนเศรษฐกิจ” ทาง FM 97.00 ทุกวันอาทิตย์ เวลา 15.00-16.00 น. เช่นเดิมครับ

 

ภาพประกอบ : การวิเคราะห์ทิศทางตลาดหุ้นไทยในทางเทคนิครายวัน (Daily)


Source: TQ

 

Comments


bottom of page