Interview : คุณณัฏฐะ มหัทธนา
ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนและลูกค้าสัมพันธ์ บลจ.กรุงไทย
แนะถือเงินสดเพิ่มขึ้นเป็น 40% เหตุวิกฤตโควิด-19 ยังไม่สะเด็ดน้ำ ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจ การเงิน หุ้น ยังมีอยู่สูง อีกทั้งยังมีความเสี่ยงที่สำคัญคือภาวะเงินฝืดที่น่ากลัวกว่าภาวะเงินเฟ้อ สำหรับนักลงทุนที่ยังพอมีหน้าตักควรลงทุนหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีในตลาดหุ้น ตปท.เช่นสหรัฐ เวียดนาม ที่มีกำไรค่อนข้างสูงสม่ำเสมอ รวมทั้งควรลงทุนหุ้นกู้ ตปท. และพันธบัตรรัฐบาลไทย สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงในตอนนี้คือทองคำ หุ้นกลุ่มอสังหาฯ หุ้นกลุ่มการบิน รวมถึงหุ้นกลุ่มน้ำมันที่ราคาน้ำมันโลกยังคงเป็นขาลง
คุณณัฏฐะเคยบอกก่อนหน้านี้ว่าให้ขายหุ้นถือเงินสด ถึงวันนี้ก็เป็นไปตามที่ทำนายไว้
เป็นการทำนาย อยู่ที่การตัดสินใจของแต่ละคน เพราะความจริงอนาคตไม่มีใครรู้ แต่ต้องชัดเจนว่าควรตัดสินใจอย่างไร
หลักการผมง่ายๆ แต่เบื้องหลังไม่ง่าย ถ้าจะลงทุนต้องคุ้มค่าความเสี่ยง เพราะสิ่งที่อยู่ตรงหน้านักลงทุนเสมอมีอยู่ 2 อย่าง คือโอกาสของผลตอบแทนและความเสี่ยงน่าจะเป็นได้หรือไม่ได้ ผิดเพี้ยนไปจากความหวังของเรา ถ้าโอกาสใหญ่โตเมื่อเทียบกับความเสี่ยงก็น่าลงทุน แต่ถ้าโอกาสค่อนข้างใหญ่จริงแต่ความเสี่ยงใหญ่กว่าก็ไม่แน่ว่าจะคุ้มหรือเปล่า ถ้าไม่คุ้มก็ไม่ลงทุน ถ้ามีอยู่แล้วก็อาจจะลดพอร์ตลดสัดส่วน นี่คือเรื่องของต้นเดือนมีนาคม
แต่หลังจากนั้นกลางเดือนมีนาคมเราเริ่มเห็นว่าโอกาสอัพไซด์ค่อนข้างเยอะเวลาหุ้นลง หมายความว่าเวลาเราซื้อราคาถูกมีโอกาสที่จะได้กำไรค่อนข้างเยอะถ้าราคาฟื้นขึ้นมา ความเสี่ยงกลางเดือนมีนาคมเริ่มลดลงจากธนาคารกลางเริ่มเข้ามาช่วย บ้านเราเห็นว่ามีการซื้อหุ้นกู้ เช่นเดียวกับหลายประเทศรวมถึงสหรัฐที่เป็นผู้นำ เขาเริ่มเปิดโครงการซื้อพันธบัตร ซื้อตราสารหนี้ภาคอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงซื้อหุ้นกู้ตั้งแต่กลางเดือนมีนาคม เราจะเห็นว่าโอกาสเริ่มคุ้มค่าความเสี่ยง เริ่มลดการถือเงินสด ให้เข้าไปซื้อหุ้นเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง AI ต่างๆ ทองคำค่อนข้างเน้น
ในสัปดาห์แรกของเดือนพฤษภาคมเพิ่งออกรายงานไป เราย้ำว่าเราออกจากทองคำแล้ว คือทองคำขึ้นมาค่อนข้างเยอะ เน้นมาปีนึงได้แล้ว ถึงเวลาเริ่มไม่มีความคุ้มค่า ความเสี่ยงเริ่มเข้ามา ทองคำขับเคลื่อนไปด้วยสภาพคล่องเป็นหลัก คือได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาลง แต่ธนาคารกลางเห็นว่าลดดอกเบี้ยขาลงค่อนข้างเยอะแล้วถ้าดูฝั่งอเมริกา แต่บ้านเราอาจจะลดได้อีก แต่ฝั่งอเมริกาเขาลดเหลือ 0% สักระยะนึงแล้วมีการปั๊มเงินไปซื้อพันธบัตรต่างๆ หุ้นกู้ รวมถึงการซื้อหุ้นกู้ high yield ก็ประกาศไปแล้ว เรียกว่านโยบายการเงินของอเมริกาเหลือค่อนข้างน้อย สภาพคล่องที่จะปล่อยออกมาเพิ่มเติมตรงนี้อาจจะมีไม่มากเท่าไหร่
แต่พัฒนาการตลาดหลังๆ นักลงทุนโฟกัสไปที่ความหวังเปิดเมือง มีข้อมูลบางที่เข้ามา เช่น ใกล้ๆ บ้านเรา หากเจาะลึกลงไปอย่างเวียดนามมีการผ่อนปรนเรื่องของการบิน อย่างเวียดนามจำนวนผู้ป่วยเขาสะสมยังไม่ถึง 300 ผู้เสียชีวิตก็ไม่มี หุ้นค่อนข้างฟื้นขึ้นมาดี ตอนนี้จะเห็นว่าที่ไหนมีการควบคุมได้ดี เปิดเมืองได้ค่อนข้างราบรื่น หุ้นจะค่อนข้างดีทีเดียว ค่าเงินเริ่มฟื้นขึ้นมา ตอนนี้ธนาคารกลางผ่อนคลายไปเยอะ ลดดอกเบี้ยเยอะ อาจจะลดได้อีกในบางที่ เช่น บ้านเรา ผมเชื่อว่าอย่างธนาคารกลางน่าจะเข้าสู่โหมดรอดูสถานการณ์ไปสักพัก มุมมองเศรษฐกิจยังไม่ดีขึ้นทำให้ yield พันธบัตรค่อนข้างจะฟื้นตัวขึ้นมา ถ้าเราดูสถานการณ์ว่าเปิดเมืองแล้วเป็นอย่างไร ถ้าไปได้ดีหุ้นจะวิ่งไปก่อน เช่น ตอนนี้หุ้นวิ่งค่อนข้างดี ถ้าดูหุ้นต่างประเทศ ทองเริ่มตื้อแล้ว ดัชนีหุ้นอย่างแนสแด็ก ซึ่งเป็นหุ้นกลุ่มผู้นำ หุ้นเทคโนโลยีในสหรัฐ ผลตอบแทนนับตั้งแต่ต้นปีพลิกกลับเป็นบวกเรียบร้อยแล้ว ตัวเลขเรื่องการจ้างงานช่วงต้นเดือนพฤษภาคมเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนเลขลบ แปลว่าการว่างงานลดลง หุ้นอย่าง แนสแด็ก กลับขึ้นเป็นบวกแล้ว ผ่านจุดต่ำสุดตลอดกาล
ตอนนี้เรียกว่าเศรษฐกิจจริงดูแย่มาก ต้องอาศัยการเปิดเมือง การปรับตัวของภาคธุรกิจจะปรับตัวช้าเร็วต่างกัน พฤติกรรมของผู้บริโภคก็สำคัญ ตอนนี้ผมบอกได้เลยว่าติดใจบริการของภรรยาบาร์เบอร์ ถ้าใครรู้จักจะเห็นผมสกินเฮดเบอร์ 1 ไม่ต้องทำอะไร 10 นาทีเสร็จ เพราะฉะนั้นฝีมือภรรยาเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ และอีกหลายๆ อย่างที่เพื่อนส่งรูปมาให้ดูไปกินข้าวด้วยกันแต่นั่งคนละมุมห้อง แล้วต่อไปจะเป็นอย่างไรใครปรับตัวได้ดี ไม่ดี ช้าเร็วต่างกัน ธุรกิจบางอย่างต้องปรับตัวมโหฬาร ตรงนี้ต้องรอดูต่อไป
ในส่วนของหุ้น คิดว่าหุ้นเทคโนโลยีมีโอกาสค่อนข้างดี สำหรับอสังหาริมทรัพย์ค่อนข้างมีตัวให้เลือกเยอะหน่อย แต่ถ้าดูในภาพรวมของอสังหาฯ เราลดความคาดหวังลงไป แต่ก่อนอยากได้ปันผลมาหุ้นอสังหาฯ ซึ่งตอนนี้ไม่ใช่อย่างนั้นแล้ว เราอาจจะมองที่หุ้นกู้ ในต่างประเทศมีที่ดีๆ เยอะ อาจจะไม่ต้อง yield สูงมากเพราะเชื่อว่าดอกเบี้ยต่ำยาวนาน เราก็เอา yield น้อยลงหน่อยไม่ต้องเอา yield สูงแบบอสังหาฯ แต่ได้ความแน่นอน อาจจะไม่ 100% แต่ความแน่นอนได้จากหุ้นกู้มากกว่าอสังหาฯ
ตอนนี้สรุปโดยรวมภาพรวมหุ้นดูกลางๆ แต่เราเลือกอยู่กับหุ้นเทคโนโลยี อยู่กับผู้นำ กลุ่มที่เรียกว่า destructor กลุ่ม survivor ให้ found major ไปหาใครที่อยู่รอดหรือผู้ชนะ ต้องเลือก ผมไม่เอาพวกดัชนีการลงทุนแบบเชิงรับเท่าไหร่ เชื่อว่าตอนนี้เป็นยุคของผู้จัดการกองทุนแบบ active เรื่องหุ้นต้องเป็นกลาง แต่ต้องเลือก เราชอบหุ้นเทคโนโลยี ถ้าตราสารหนี้ตอนนี้เราเชื่อว่าหุ้นกู้เริ่มมีเจ้าภาพแล้วทั้ง investment เกรด BBB ขึ้นไป หรือ high yield หุ้นกู้ระดับ BB ลงมา ถ้าเป็นของอเมริกามีเจ้าภาพทั้ง 2 อัน เพราะเฟดออกโครงการมาว่าจะช่วยซื้อทั้ง investment grade และ high yield ทำให้เหมือนมีเบาะรองนุ่มอยู่ข้างล่าง ลด down size
เราชอบหุ้นกู้มากกว่าอสังหาริมทรัพย์ ส่วนทองคำที่ชอบมานานเป็นปี ณ ตอนนี้ฝรั่งบอกว่าหลายๆ เจ้าใหญ่ในต่างประเทศเพิ่งปรับเป้าขึ้นมา บางที่ให้ 3,000 เหรียญในเวลาปีครึ่ง แต่เราชอบมานานแล้วก็ขอลดความสำคัญลง ให้เป็นแค่สินทรัพย์กระจายความเสี่ยง ใครมีเยอะเกินไปก็อาจจะต้องระวังและลดสัดส่วนลงมาหน่อยถือเงินสดให้เยอะหน่อย เห็นรายงานประจำปีของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ นักลงทุนระดับตำนาน มีคนบอกแกคิดมากในรอบนี้โทร. conference 4 ชั่วโมงครึ่ง วอร์เรน บัฟเฟตต์ ถือเงินสดมากขึ้นในรอบนี้ คนจะไปโฟกัสที่แกขายหุ้น 4 สายการบินหลักของสหรัฐแบบเกลี้ยง แกบอกว่าไม่มั่นใจ ไม่รู้จะฟื้นอย่างไร แล้วแกไม่ซื้ออะไรเลย เงินสดที่เยอะอยู่แล้ว 120,000 ล้านดอลลาร์ กลายเป็น 130,000 ล้านดอลลาร์ เพราะแกยังไม่เห็นอะไรดีเมื่อเทียบกับสภาวะเศรษฐกิจที่หดตัวแรงที่สุดในรอบตั้งแต่มีการเก็บข้อมูลเกือบ 100 ปี ก็เป็นสัญญาณหนึ่งที่อยากฝากไว้ว่าความเสี่ยงที่สำคัญคือเรื่องเงินฝืด ปกติเราจะคุ้นแต่เงินเฟ้อ
อธิบายความเสี่ยงเรื่องเงินฝืดให้ฟังหน่อย
ปกติข้าวของควรจะขึ้นราคาในแต่ละปี และเงินเดือนต้องขึ้นตาม แต่ตอนนี้ผมสังเกตจากภรรยา ในเวลาที่ไม่มีโปรถึงอยากกินก็เอาไว้ก่อน รอโปร 1 แถม 1 มีอาหารบางเมนูที่ชอบกินมาก รอแบบ 1 แถม 1
อัตราเงินเฟ้อติดลบ เรียกว่า เงินฝืด ทำให้มีการพลิกกลับของตำราการเงิน ความจริงมีการเขียนไว้อยู่แล้ว เราเคยชินกับเงินเฟ้อที่เป็นบวก แต่เงินเฟ้อที่ติดลบหรือของราคาลง เงินเฟ้อเป็นบวกในภาวะปกติมูลค่าของเงินจะลงตามเวลา ถ้าคุณถือเงินสดไว้เฉยๆ เดี๋ยวเงินก็ด้อยค่าลงเพราะของขึ้นราคาแต่เงินเท่าเดิม แต่ตอนเงินฝืด เงินสดที่ถือไว้มูลค่ากลับเพิ่มขึ้นเพราะของราคาลง คนไม่ค่อยจับจ่ายใช้สอย เงินฝืดเป็นอันตรายไม่แพ้เงินเฟ้อสูง เงินเฟ้อสูงไปก็ไม่ดี แต่เงินฝืดอันตรายมากเพราะคนเก็บเงินไว้ สัญญาณแบบนี้เราเห็นในพอร์ตนักลงทุนอย่าง วอร์เรน บัฟเฟตต์ ที่ถือเงินสดมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะมีความเสี่ยงเรื่องเงินฝืด
ตอนนี้ในฐานะนักลงทุนผมเองบอกนักลงทุนว่าอย่าไปรังเกียจการถือเงินสด บางทีนักลงทุนไปสนใจดัชนีเยอะ เวลาถือเงินสดเยอะก็กลัวว่าเวลาหุ้นวิ่งคุณจะตกรถ เงินสดเยอะไม่สร้างผลตอบแทน เดี๋ยวไล่เพื่อนๆ ไม่ทัน ถ้าอาการอย่างนี้เงินเยอะในหมู่นักลงทุนสถาบันหรือผู้จัดการกองทุนด้วยซ้ำ เพราะเขาถูกวัดผลการดำเนินงานทุกอาทิตย์ทุกเดือน แต่ถ้าท่านเป็นนักลงทุนที่เป็นนักลงทุนบุคคลและไม่ได้ถูกบังคับว่าต้องชนะ Brench Marks ตลอดเวลา อย่าไปบังคับตัวเองหรือมัดไม้มัดมือตัวเองไว้ ถือเงินสดเยอะหน่อยก็ได้ ดูนักลงทุนคุณค่าอย่าง วอร์เรน บัฟเฟตต์ ที่เขาใช้ชีวิตบั้นปลายในหลายวิกฤตและเขาไม่กลัวแพ้ตลาดในบางเวลา คือ ตลาดหรือหุ้นวิ่งขึ้นไปสวนทางเศรษฐกิจ ขึ้นไปด้วยสภาพคล่อง แต่ถ้าคิดว่าไม่อยากแพ้ตลาดตอนนี้แล้วเข้าไปซื้อหุ้น เท่ากับคุณกำลังรับความเสี่ยงมากยิ่งขึ้นเพราะหุ้นขึ้นสวนเศรษฐกิจ
ผมแนะนำวิธีง่ายๆ ทำได้ค่อนข้างยั่งยืน ใช้ได้พอสมควร ปกติมีการลงทุน เช่น เทคโนโลยี ผมบอกว่าตอนนี้เห็นโมเมนตัมเห็นความต้องการหุ้นประเภทนี้อยู่ เรายังถือได้อยู่ เวลามีกำไร 5-10% พยายามรักษาวินัยในการขายทำกำไร ขายเฉพาะส่วนกำไรก็ได้ ผมใช้สูตรนี้ ขึ้น 8 ขาย 5 ทำให้ต้นทุนท่านโตขึ้นเรื่อยๆ และยังทำงานให้ท่านอยู่ แต่ถ้าท่านมีเงินสดจะอุ่นใจกว่าเมื่อถึงเวลามีเหตุไม่คาดฝันสำหรับหุ้นที่กำลังขึ้นขอย้ำว่าสวนทางกับเศรษฐกิจที่กำลังแย่ มีการปรับฐาน ท่านมีเงินสดอยู่ในมือก็เหมือน วอร์เรน บัฟเฟตต์ เขาเก็งว่าจะซื้ออะไร ถึงเวลามีเงินสดซื้อได้เสมอ เราไม่ได้กลัวว่าทุกอย่างจะลงไปวินาศสันตะโรแล้วไม่ขึ้นมาปกติ ลงมาแล้วก็ขึ้น ลงมาท่านมีโอกาสลงทุนงามๆ ก็ต่อเมื่อท่านมีเงินสดเท่านั้น ตอนนี้มีกองทุนตราสารหนี้ระยะสั้นก็สามารถไปพักไว้ได้
ตอนนี้ผมให้คำแนะนำแบบทั่วไปคือ ผมให้ถือเงินสด 40% เห็นตลาดดีๆ แบบนี้คุณสามารถเลือกว่าจะขายอะไรบ้างและเก็บต้นทุนไว้ในตัวที่ชอบ แต่เงินสดถึงเวลาจะเห็นความสำคัญของมันเมื่อมีการปรับฐานแล้วไปช็อปปิ้งกัน อย่าไปคิดว่ามันจะขึ้นไปเรื่อยๆ เพราะสภาพการเปิดเมืองตอนนี้ต้องรอดู เช่น ตัวเลขคนติดเชื้อ มีรายนึงบอกว่าไม่ได้ติดมาจากผู้ใกล้ชิด แต่ติดจากที่เขาไปที่ชุมชน อันนี้เมื่อหลายเดือนก่อน เรียกว่าหาที่มาไม่ได้เพราะเขาไม่ได้ไปต่างประเทศ เขาไม่ได้อยู่ใกล้ชิดคนใดคนหนึ่งที่ติดเชื้อ แต่เขาติดมาจากการที่เขาไปในที่ชุมชน เพราะฉะนั้นอันนี้มีความเสี่ยง เรียกว่า องค์การอนามัยโลกหรือหน่วยงานสาธารณสุขยังกังวลเรื่องการแพร่ระบาดรอบ 2 ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นมาได้ ตรงนี้ตลาดหุ้นที่วิ่งขึ้นไปนำหน้าไปแล้วจะเป็นอย่างไร เพราะฉะนั้นอาจจะมีเงินสดข้างนึงเยอะหน่อยและมีหุ้นอีกข้างนึงเป็นตัวผู้นำ ถ้าขึ้นไปเรื่อยๆ เปิดเมืองได้ดีเราก็มีหุ้นและพอร์ตเราไม่ตก แต่ถ้าเปิดเมืองแล้วไม่ดี ถึงหุ้นลงมาเรายังมีเงินสดหนาๆ เอาไว้ช็อปปิ้งรอบหน้า ก็ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ คิดว่าปีนี้พยายาม take profit ไหนๆ หุ้นก็ดีกว่าพื้นฐานแล้ว take profit บ่อยๆ แล้วถือเงินสดเตรียมช็อปปิ้งอีกรอบ
หุ้นเทคโนโลยีในเมืองไทยมีเยอะไหม
ผมหมายถึงระดับโลกมากกว่า อยู่ในสหรัฐด้วย ของไทยเราไม่สามารถหาหุ้นผู้นำได้ ตลาดหุ้นในไทยภาพรวมยังเป็นแบบเศรษฐกิจโลก ดีหรือไม่ดีหุ้นไทยยังสามารถใช้รับโอกาส รับผลตอบแทน ถ้าการเปิดเมืองดีราบรื่นหุ้นไทยก็วิ่งได้แรง สำหรับนักลงทุนไทยถ้าจะไปเลียบๆ เคียงๆ เพื่อนบ้านก็พอได้ ที่ผมพูดบ่อยก็เวียดนามหรือหุ้นกลุ่ม CLMVT โดยเฉพาะเวียดนามมีโอกาสการเติบโตที่สูงมากและขึ้นมาเยอะประมาณกว่า 20% จังหวะขึ้นก็พอกับไทย แต่ศักยภาพเวียดนามอาจจะสูงกว่า และเงินด่องดีขึ้นแข็งค่าขึ้นในปีนี้ ก็เป็นปัจจัยการสนับสนุนที่สำคัญ
พันธบัตรรัฐบาลล่าสุดที่ออกมาควรไปซื้อไหม
สำหรับตลาดตราสารหนี้ไทยคือ ดอกเบี้ยของไทยต่ำจริงเมื่อเทียบกับอดีต ต่ำจริงแต่ยังสูงมาก ต่ำจริงเมื่อเทียบกับอดีต แต่สูงมากในขณะนี้ เพราะดูดอกเบี้ยอเมริกาลงไป 0% แต่ของไทย 0.75% เพื่อนบ้านอย่างมาเลเซียลงไป 50 ริงกิต ตลาดเกิดใหม่อย่างบราซิลเขาก็เพิ่งลงต่ำเป็นประวัติการณ์ ดอกเบี้ยทุกที่กำลังลงต่ำเป็นประวัติการณ์ และดูเงินเฟ้อไทยถ้าดอกเบี้ย ดอกเบี้ย 0.75 แต่เงินเฟ้อติดลบเยอะ เวลาหาดอกเบี้ยที่แท้จริงดอกเบี้ยลบด้วยเงินเฟ้อ ลบเจอลบเป็นบวกดอกเบี้ยที่แท้จริงสูงมากเมื่อเทียบกับเงินเฟ้อ เพราะฉะนั้นเงินบาทแข็งขึ้นเรื่อยๆ วันที่ 20 พฤษภาคมนี้ผมว่าถ้า กนง.ลดแค่สลึงเดียวถือว่าน่าผิดหวัง ผมคิดว่าลดสัก 50 สตางค์กำลังพอรับได้ ใจผมตราบใดที่ดอกเบี้ยไทยยังเกิน 0% เรียกว่าต่ำจริงแต่สูงมาก ผมอยากได้ 0% แต่เชื่อว่าต้องอาศัยความเด็ดเดี่ยว ถ้าเหลือสลึงพอรับได้ เห็นพันธบัตรไทยเห็นตราสารหนี้ไทย เห็น yield 10 ปีเทียบกับอเมริกาแล้วสูงมาก ของอเมริกาแค่ 0.6% ของไทยยัง 1 กว่า ถ้าอยากได้แค่ 0.6 ซื้อแค่ 2 ปีก็ได้แล้ว
ขณะที่ดอกเบี้ยควรจะเป็นศูนย์ ซื้อได้เลยพันธบัตรของไทย ควรที่จะซื้อแล้วดูอายุยาวหน่อยได้เพราะผมเชื่อว่าดอกเบี้ยลงเยอะกว่าที่ตลาดคิดไว้
ที่ต่างชาติขายสุทธิเป็นล่ำเป็นสันในตลาดหุ้นไทย มองเป็นสัญญาณอะไร
ตัวของหุ้นถ้าพูดจริงๆ ถ้าตลาดที่ไม่มีบริษัทที่เป็นลักษณะมีความแข็งแกร่ง มีความสามารถแข่งขันได้มาก ไม่ต้องพึ่งพาเศรษฐกิจมากมายนั้น ของไทยอาจจะมีไม่มาก ของไทยมองเป็นตลาดขึ้นลงตามเศรษฐกิจได้ดี ถ้าเศรษฐกิจไม่ดีหุ้นไทยก็ไป ถ้าเศรษฐกิจดีหุ้นไทยก็มาแรง ปีนี้เป็นปีที่ตัวเลขเศรษฐกิจของไตรมาสแรกออกมาหลายประเทศดูน่ากลัว ไตรมาส 2 ดูลบมากกว่านั้น มันยังไม่สะเด็ดน้ำและการเปิดเมืองยังมีความไม่แน่นอนสูงมาก เพราะฉะนั้นหุ้นเทคโนโลยีต่างประเทศอย่าง AI ถึงทุ่มซื้อเข้าไป เพราะไม่รู้จะซื้ออะไรที่ดูแล้วจะพึ่งตัวเองได้มากกว่านั้น ถ้าหุ้นพึ่งพาเศรษฐกิจอย่างบ้านเราก็ยังไม่เป็นที่น่าสนใจมากมายนัก
หุ้นน้ำมันจะกลับไปล้มระเนนระนาดไหม ราคาน้ำมันผันผวนน่ากลัว
ราคาน้ำมันมีหลายเรื่อง อย่างที่ราคาลงไปติดลบ สัญญาซื้อขายน้ำมันเดือนพฤษภาคมก่อนส่งมอบ 1-2 วัน ติดลบเพราะมีความกังวลว่าจะล้นสต็อก แต่เหมือนว่าตอนนี้เคลียร์เรื่องของน้ำมันล้นได้พอสมควร ราคาน้ำมันเลยไม่ติดลบ จริงๆ มีเรื่องของ dtf ของน้ำมันที่เขาเปลี่ยนเป็นสัญญาตัวเดือนที่ 2 และ 3 และเขาต้องทิ้งสัญญาเดิมมีเรื่องทางเทคนิคของกองทุน dtf ในตลาด ตรงนั้นมันจบแล้วเราคงไม่เห็นติดลบ แต่ถ้าขึ้นมาแล้วคนคิดว่า 25 แล้วจะไป 30 หรือใครที่มองการปรับตัวของซัพพลายที่จะหายไป ผมยังไม่คิดถึงตรงนี้ คิดว่าความต้องการอ่อนแอลงค่อนข้างเยอะ เช่น คนที่ติดใจทำงานอยู่บ้านก็ทำงานได้ดีเหมือนกัน ได้อยู่กับครอบครัวด้วย ต่างประเทศให้อยู่บ้านยาว work from home ถึงสิ้นปีนี้เลย บางเทคโนโลยีอย่างเฟซบุ๊กก็ออกมาบอกทำนองนั้น การบินกว่าจะกลับมา เพราะฉะนั้นดีมานด์ของน้ำมันหายไปเยอะมาก คิดว่าการฟื้นตัวของรอบนี้ไม่น่าจะยั่งยืนเท่าไหร่ถ้าเทียบกับหุ้นเทคโนโลยี แต่การฟื้นตัวในการเปิดเมืองคนจะยังคาดหวังต่อจากนั้นว่าเศรษฐกิจจะกลับมาเหมือนเดิม ตรงนี้ขึ้นมาสักพักและกลับลงไป ไม่ยั่งยืนเท่าไหร่
Comments