ตลาดหุ้นไทยเริ่มดีดกลับขึ้นมาได้บ้างนะครับ หลังจากที่ในสัปดาห์ที่ผ่านมาดัชนี MSCI ACWI ของตลาดหุ้นโลกกลับขึ้นมาปรับตัวขึ้นอีกครั้งราว 0.16% โดยตลาดหุ้นที่ทำผลงานได้ดี หรือ Outperform ได้แก่ตลาดหุ้นสหรัฐ ญี่ปุ่น จีน และ Asia ex Japan ที่ในสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับตัวขึ้น 0.52%, 0.45%, 0.29% และ 0.55% ตามลำดับ หลังสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางเริ่มคลี่คลายลง จากความคืบหน้าล่าสุดประธานาธิบดี Donald Trump ที่แสดงท่าทีอ่อนลง แม้ว่าอิหร่านจะใช้ขีปนาวุธโจมตีฐานทัพสหรัฐในอิรัก เพื่อตอบโต้ที่กองทัพสหรัฐปลิดชีพ นายพลกัสซิม โซเลมานี ผู้บัญชาการกองกำลัง Quds Force ของอิหร่าน โดยกระทรวงกลาโหมสหรัฐระบุว่าไม่มีผู้เสียชีวิตหรือบาดเจ็บจากการโจมตีดังกล่าว
นอกจากนี้ประธานาธิบดี Donald Trump เพียงแค่ออกมาระบุว่าอาจใช้มาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจกับอิหร่านครั้งใหม่ โดยไม่ได้ระบุถึงการใช้ปฏิบัติการทางทหารเพื่อตอบโต้อิหร่าน ส่งผลให้นักลงทุนในตลาดหุ้นโลกคลายความกังวลในสถานการณ์ตะวันออกกลาง
ขณะที่ในส่วนของสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐเริ่มมีสัญญาณที่ดีขึ้นเรื่อยๆ หลังจากที่ล่าสุดรองนายกรัฐมนตรีของจีนนำคณะผู้แทนของจีนเดินทางไปยังกรุงวอชิงตันของสหรัฐ เพื่อร่วมลงนามในข้อตกลงการค้าเฟสแรกกับสหรัฐ ทั้งนี้ภายใต้ข้อตกลงเฟส 1 นั้นได้ตกลงที่จะระงับแผนการเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าครั้งใหม่จากจีน และจะลดภาษีนำเข้าบางส่วน ขณะที่จีนได้ตกลงที่จะเพิ่มการซื้อสินค้าเกษตรจากสหรัฐ ขณะที่ประธานาธิบดี Donald Trump ได้ส่งสัญญาณว่าหลังจากลงนามเฟส 1 เสร็จสิ้น จะเริ่มต้นเจรจาข้อตกลงการค้าเฟสที่ 2 ของสหรัฐและจีนในเร็วๆนี้ แต่อาจรอทำข้อตกลงให้เสร็จสมบูรณ์ หลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในเดือน พ.ย. 2563
ทั้งนี้ปัจจัยบวกจากประเด็นดังกล่าวคือการส่งสัญญาณว่าจะไม่มีการตอบโต้ทางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐออกมาอีกอย่างน้อยๆ ก็ในช่วงก่อนการเลือกตั้งสหรัฐ
นอกจากนี้สาเหตุที่ทำให้นักลงทุนในตลาดหุ้นโลกลดความกังวลต่อสถานการณ์ในตะวันออกกลางลง ก็มาจากการที่สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐได้ลงมติด้วยคะแนนเสียง 224 ต่อ 194 ผ่านญัตติว่าด้วยการจำกัดอำนาจของประธานาธิบดี Donald Trump ในการใช้ปฏิบัติการทางทหารกับอิหร่าน ซึ่งญัตติดังกล่าวกำหนดให้มีการลดทอนอำนาจของประธานาธิบดี Donald Trump ในการใช้ปฏิบัติการทางทหารต่อผู้ที่เป็นปรปักษ์ ซึ่งรวมถึงอิหร่าน นอกเสียจากว่าจะได้รับความเห็นชอบจากสภาคองเกรส หรือใช้กองกำลังทหารในกรณีที่จำเป็น
อย่างไรก็ตามญัตตินี้จะต้องได้รับความเห็นชอบจากวุฒิสภาด้วย ซึ่งมีการคาดการณ์ว่าญัตติดังกล่าวจะถูกตีตกในขั้นดังกล่าวเนื่องจากพรรครีพับลิกันของประธานาธิบดี Donald Trump ครองเสียงข้างมากอยู่ และถ้าญัตติดังกล่าวจะถูกตีตกในชั้นของวุฒิสภาจริง อาจทำให้ตลาดหุ้นโลกกลับเข้าสู่ความผันผวนอีกครั้ง ซึ่งเป็นความเสี่ยงที่นักลงทุนต้องติดตามกันต่อไป
สุดท้ายปัญหาคือปัจจัยพื้นฐานยังอ่อนแอ ! ในส่วนของทิศทางตลาดหุ้นไทยในระยะสั้นๆ “นายหมูบิน” ยังคงยืนยันมุมมองเดิมว่าการดีดตัวระยะสั้นของ SET จะเป็นเพียงแค่การ Technical Rebound เท่านั้น โดยที่ SET ยังคงมีแนวต้านสำคัญที่ 1,600, 1,670 และ 1,700 จุด ขณะที่ในกรณีของ Downside Risk นั้น แนวรับที่ต้องระวังให้มากที่สุดยังคงเป็นบริเวณ 1,547 จุด ซึ่งในกรณีที่ SET หลุดแนวรับดังกล่าวลงไป จะเป็นการยืนยันรูปแบบ Descending Triangle และ SET มีโอกาสลงไปที่ 1,450 จุดได้
ทั้งนี้แม้ว่าในภาวะที่ประเด็นความเสี่ยงจากความตึงเครียดในตะวันออกกลาง และสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐเริ่มคลี่คลายลง ปัจจัยพื้นฐานจริงๆจะกลับมาเป็นประเด็นที่กำหนดกรอบการแกว่งตัวขึ้นของตลาดหุ้นโลกว่าสุดท้ายจะสามารถไปได้ไกลแค่ไหน ซึ่งโดยส่วนตัวของ “นายหมูบิน” มองว่าค่อนข้างยากที่จะไปต่อแรงๆในปี 2563 นี้ โดยเฉพาะในเชิงของเศรษฐกิจ ที่ล่าสุดธนาคารโลกได้ออกมาปรับลดคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจโลกในปี 2562 และ 2563 อีกครั้ง อันเป็นผลจากการฟื้นตัวที่ช้ากว่าคาดในการค้าและการลงทุน
ธนาคารโลกระบุว่าปี 2562 จะเป็นปีแห่งการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่อ่อนแอที่สุดนับตั้งแต่วิกฤตการณ์ทางการเงินโลกเมื่อ 1 ทศวรรษก่อน และปี 2563 จะดีขึ้นเล็กน้อยแต่ยังคงเปราะบางต่อความไม่แน่นอนทางการค้าและความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างประเทศ โดยที่ในรายงานคาดการณ์เศรษฐกิจโลกฉบับล่าสุด ธนาคารโลกปรับลดคาดการณ์การเติบโตสำหรับทั้ง 2 ปีลง 0.2% โดยคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจโลกปี 2562 อยู่ที่ 2.4% และปี 2563 อยู่ที่ 2.5%
ในส่วนของเศรษฐกิจไทย ล่าสุดคณะกรรมการร่วมภาครัฐ และเอกชน หรือ กกร. ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2562 จะขยายตัวได้เพียง 2.5% ลดลงจากเดิมที่เคยคาดการณ์ไว้ที่ 2.7-3.0% รวมทั้งปรับลดมูลค่าการส่งออกไทยลงเหลือ -2.5% จากเดิมที่คาดไว้ -2 ถึง 0% ขณะที่เงินเฟ้อทั้งปี 2562 คาดว่าจะอยู่ที่ 0.7% จากเดิมคาด 0.8-1.2%
กกร.เห็นว่าเครื่องชี้เศรษฐกิจไทยในปี 2562 ยังสะท้อนการชะลอตัว โดยการส่งออกหดตัวต่อเนื่องตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า และผลกระทบจากเงินบาทแข็งค่า ขณะที่การผลิตภาคอุตสาหกรรม และการลงทุนภาคเอกชนหดตัวเช่นกัน ทั้งนี้แม้แต่ด้านการบริโภคภาคเอกชนก็ชะลอตัวลง แม้จะมีมาตรการภาครัฐช่วยพยุงไว้บางส่วน
ในส่วนของกลยุทธ์ สำหรับการลงทุนระยะสั้น (ไม่เกิน 1 สัปดาห์) กรณีที่ SET ยังคงไม่สามารถกลับไปปิดในกรอบ 1,600 จุด เน้น “ดีดขึ้นขาย” ในลักษณะ “Short Against” เพื่อรอกลับมาทยอยสะสมหุ้น PTTGC, PTTEP, BCP, EGCO, TISCO, SCC, HMPRO, AOT และ ADVANC อีกครั้ง สำหรับการลงทุนระยะกลาง (1-3 เดือน) ในลักษณะ Long-Only แนะนำ “ลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นมาอยู่ที่ระดับ 50% ของพอร์ต”
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ความเห็นส่วนตัวของผมนะครับ โปรดใช้วิจารณญาณ และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนการตัดสินใจลงทุนด้วยครับ สำหรับการพูดคุยกันระหว่างสัปดาห์นอกจากทาง Facebook ที่ www.facebook.com/wealthhuntersclub และ e-mail ที่ moobin.stockmania@gmail.com แล้ว แฟนๆยังสามารถติดตามมุมมองเกี่ยวกับการลงทุนจาก “นายหมูบิน” ได้ในรายการ “เซียนเศรษฐกิจ” ทาง FM 97 ทุกวันอาทิตย์ เวลา 14.00-16.00 น.เช่นเดิมครับ
Comments