ธุรกิจไทยต้องปรับตัว หลังสหรัฐหั่นภาษีโหด
- Dokbia Online
- Jul 22
- 2 min read

รอลุ้นเงื่อนไขล่าสุดที่ทีมไทยแลนด์เสนอเจรจาต่อรองภาษีการค้ากับอเมริกา เชื่อ...เงื่อนไขที่ไทยเสนอสร้างความพึงพอใจให้อเมริการะดับหนึ่ง และมีโอกาสที่ไทยจะได้ลดอัตราภาษีลงจาก 36% พร้อมแนะผู้ผลิต-ผู้ส่งออก เจ้าของกิจการต้องปรับตัวรับมือกับทิศทาง-บริบทการค้าโลกที่เปลี่ยนไป ต้องพัฒนารูปแบบสินค้า ลดต้นทุนการผลิตด้วยการใช้นวัตกรรมใหม่ๆ และมองหาคู่ค้าใหม่ๆ ตลาดใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา
Interview : คุณพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย
ไทยสิ้นหวังหรือยัง จากที่โดนภาษีของสหรัฐอเมริกา 36%
ยังไม่สิ้นหวัง เพราะจดหมายจาก โดนัลด์ ทรัมป์ ที่ออกมา 36% เป็นตั้งแต่วันที่ 4 กรกฎาคม ขณะที่ของเรายื่นไปวันที่ 3 กรกฎาคม โดยวันที่ 4 กรกฎาคมของสหรัฐอเมริกาเป็นวันหยุดและเป็นวันชาติของเขา ก็รอจนท่านพิชัยกลับมาดูเพิ่มเติม ดูเงื่อนไขอะไรต่างๆ แล้วส่งไปวันที่ 6 กรกฎาคม และถึงสหรัฐอเมริกาวันที่ 7 กรกฎาคม ก็ส่งไปแล้ว ขณะนี้รอดูขั้นตอน
เอกสารล่าสุดของไทยทำอะไรไปบ้าง พอจะเปิดเผยได้หรือไม่
มีการเซ็นเอกสารแต่ไม่เปิดเผยข้อมูลในการคุยกันระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ซึ่งเราเองก็คงนำเสนออยู่ในกรอบ 5 ด้านที่เคยเสนอไป คือการนำสินค้าเขามากขึ้น การที่จะลดอัตราภาษีให้สหรัฐ ซึ่งในอดีตเราตั้งชาร์จเอาไว้สูงมาก ก็ปรับให้เหมาะสมให้เป็น 0% บ้างในบางส่วน แล้วก็มีการแก้กฎหมายอะไรหลายๆ อย่างให้สอดคล้องกับปัจจุบัน ให้มีการเพิ่มการลงทุน
กรณีเวียดนามให้สินค้านำเข้าของสหรัฐอเมริกา 0% ถือเป็นการกดดันไทยหรือไม่
ข่าวล่าสุดเห็นเวียดนามตอบปฏิเสธว่าไม่ได้ยอมรับในเงื่อนไขนี้ ซึ่งตามข่าวที่ได้ยินมาทางเวียดนามเขาไม่ยอม ขณะที่การประชุมของไทยที่บ้านพิษณุโลกล่าสุด โดยข้อเสนอทั้งหมดที่เสนอไปจากกระทรวงทุกกระทรวงคือให้ไปในทิศทางเดียวกัน
สินค้าที่เราตั้งเป้าไว้ว่าจะส่งไปแล้วต้องเสียภาษี เรากำหนดไว้อย่างไร
คงไม่มีการกำหนด คือต่ำที่สุดจะดีที่สุด และก็อย่าให้เสียเปรียบคู่แข่งเรามาก
สินค้าอะไรที่น่าเป็นห่วงที่สุด
สิ่งที่เราเป็นห่วงมากคือสินค้าเกษตรแปรรูป ซึ่งก็เป็นสินค้าไทยเป็นหลัก และอุตสาหกรรมเบาซึ่งเราทำส่งออกเยอะเหมือนกัน ส่วนพวกของที่ทางบริษัทสหรัฐอเมริกาเปิดทำการในไทยเอง อันนั้นคงเป็นปัญหาที่ต้องไปแก้กันเอง ส่วนบริษัทต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในไทยคงต้องเดินเรื่องให้สอดคล้องกับที่ทางสหรัฐอเมริกาเขาควบคุมดูแล โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับ Local Content หรือตัวส่วนผสมสินค้า
ญี่ปุ่นโดนภาษีเรื่องรถยนต์ แต่เขาขอใช้วิธีลดกำไรลงมา เพื่อให้ลูกค้าในสหรัฐอเมริกาซื้อในราคาเท่าเดิม ของไทยทำอย่างนี้ได้หรือไม่
คงจะลำบาก เพราะเราเองวันนี้เราคงไม่ได้มีกำไรเยอะถึง 36% กำไรเราไม่ถึง
มองสถานการณ์เรื่องนี้ ถือว่าเลวร้ายที่สุดแล้วใช่หรือไม่ 36%
ผมเชื่อว่าเราคงไม่โดน 36% เพราะเงื่อนไขที่เราเสนอให้สหรัฐอเมริกา น่าจะสร้างความพึงพอใจได้ในระดับหนึ่ง เป็นการสร้างสมดุลการค้าระหว่างประเทศในการลงทุนด้วย
กรณีบราซิล แคนาดา โดนหาว่าพูดมาก เลยโดนเพิ่มภาษีอีก
คงไม่ต้องเอ่ยถึงประเทศอื่น เพราะเราก็ไม่ทราบเงื่อนไขว่าเขาทำอะไรบ้าง ขณะที่ไทยเรามองว่าไม่ได้เรื่องมาก เราอยู่ในกลุ่มที่มีการเจรจาอยู่ตลอดเวลา ขณะที่ไทยเองก็มีความสัมพันธ์กับสหรัฐอเมริกามายาวนาน ทุกมิติ ถือเป็นเพื่อน เป็นมิตรกันมายาวนาน ทำตามขั้นตอนหมด เดินตามตรอกออกตามประตู เราไม่ได้เดินซี้ซั้ว อย่างไรก็ตาม บางอย่างความเป็นเพื่อนก็ไม่พอ คือเขามีแต่ข้อเสนอ แต่ข้อเสนอเราค่อนข้างเป็นธรรมมาก
พอไปอ่านจดหมายที่ทรัมป์ส่งมา เขาบอกว่าลึกๆ แล้วจริงๆ มันมีอะไรมากกว่าแค่ต้องการเก็บภาษีหรือเปล่า
อย่าไปคิดลึกเลย อย่างญี่ปุ่น เกาหลี อินโดนีเซียที่เขาออกมา คือเขาออกมาเหมือนกันกับที่เขาประกาศครั้งแรกก่อน เชื่อว่าเป็นจดหมายกระตุ้นดีกว่า ให้รีบจบๆ ซะ เขาเลื่อนมาวันที่ 1 สิงหาคมแล้ว มองว่าน่าจะประมาณนี้มากกว่า
กลุ่มเกษตรกรหลายกลุ่มกำลังเป็นห่วงว่าจะเอาผลประโยชน์เราไปแลกกับสินค้านำเข้าของสหรัฐอเมริกา
คงไม่มีอย่างนั้น รัฐบาลเขาเข้าใจดี อะไรเป็นสินค้าเซนซิทีฟ ท่านรองพิชัยได้ให้สัมภาษณ์แล้วว่าเราจะไม่นำเสนออะไรที่มีผลสะเทือนต่อเกษตรกรบ้านเรา
รัฐบาลไทยพยายามออกมาพูด พร้อมบอกว่ามีการเตรียมเงินที่จะให้ความช่วยเหลือกิจการ ผู้ประกอบการ รวมถึงประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีทรัมป์
คือการประชุมกับ กกร. ได้คุยเรื่องนี้กันอยู่ ซึ่งรัฐบาลก็ได้ให้ กกร.กับหอการค้าไปหามาตรการดูว่า ภาษีมาแล้วจะช่วยกันอย่างไร ช่วยอะไรได้บ้าง ซึ่งกำลังทำงานกันอยู่
รัฐบาลควรช่วยอย่างไร
ต้องแล้วแต่อัตราภาษีก่อน แล้วไปเทียบกับคู่แข่งว่าเขาโดนเท่าไหร่ และตัวสินค้าเสียเปรียบอะไรอย่างไร อันไหนรับผลกระทบมากน้อย ก็ว่ากันไปทีละตัว แต่อย่างไรก็ต้องหามาตรการช่วยเหลือแน่นอน ไม่เช่นนั้นก็จะไปไม่ไหวเช่นกัน และจะส่งผลกระทบถึงเรื่องคนตกงานแน่นอน
ที่ห่วงกันมาก คือสินค้าเราไปขายสหรัฐอเมริกา ราคาแพงกว่าเขา เลยขายไม่ได้ และถึงขั้นทำให้ต้องปิดโรงงานต้องเลิกจ้าง
นั่นคือปัญหา ซึ่งรัฐบาลต้องหามาตรการมาช่วยเหลือ หรือเยียวยา
เมื่อเขาปิดโรงงาน เกิดการย้ายทุน ย้ายฐานการผลิตไปที่อื่น
อย่างแรกต้องดูก่อนว่าภาษีเท่าไหร่ และประเทศอื่นโดนเท่าไหร่ แล้วมาเปรียบเทียบกัน
มีการประเมินความเสียหายที่เกิดขึ้นบ้างไหม
คือวันนี้ยังไม่รู้ว่าภาษีเท่าไหร่ และเรายังไม่รู้ว่าประเทศคู่แข่งเราในรายสินค้าเขาโดนเท่าไหร่ ถ้าโดนเท่ากันหมด ก็ไม่มีใครเสียเปรียบ ก็ไม่เป็นไร หากเขาได้ต่ำมาก แล้วเราเสียเปรียบ ก็ต้องมาดูว่าจะแก้ไขกันอย่างไร
ล่าสุดนี้หอการค้าได้ยกคณะไปคุยกับแบงก์ชาติ
ใช่ ไปคุยหลายเรื่อง แต่เน้นเรื่องค่าเงินที่มันแข็งค่ามากเมื่อเทียบกับคู่แข่ง มันเสียเปรียบ อย่างนี้ไปขายสินค้าในสหรัฐอเมริกาไม่ได้ ไปขายที่อื่นก็ขายแพ้เขา เพราะเงินเขาอ่อนกว่าเรามาก ขณะที่แบงก์ชาติเขาก็รับทราบและจะช่วยดู รวมถึงเรื่องดอกเบี้ยก็จะช่วยดูแลให้ โดยเราได้คุยกับทางผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ
ประเมินสุดท้ายเรื่องภาษี 36%
มองว่าไม่ควร 36% และถ้าให้ดีที่สุดคือไม่ควรโดนเลยดีกว่า
เพื่อนบ้านสหรัฐอเมริกาอย่างแคนาดายังโดน 35%
มันแล้วแต่บทบาท เพราะมันขึ้นจาก 25% มา เราไม่รู้ว่าแนวการเจรจาเขาเป็นอย่างไร
ถ้าเวียดนามเขาโดน 20% จริง ไทยควรโดนเท่าไหร่
ตอบไม่ได้ แต่ตอบได้คำเดียวคือเราอย่าเสียเปรียบคู่แข่ง ส่วนคู่แข่งเราคือ เวียดนาม อินโดนีเซีย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ เป็นต้น
ที่สหรัฐอเมริกาเล่นงานเรา เขาไม่ได้มองแค่ไทย แต่มองไปถึงจีน ซึ่งเราได้เปรียบดุลการค้าสหรัฐอเมริกามาก แต่เราก็เสียเปรียบดุลการค้าจีน ขณะเดียวกัน จีนก็ใช้เราเป็นฐานการผลิต และส่งออกสินค้าไปขายสหรัฐอเมริกา เหล่านี้คือสิ่งที่สหรัฐอเมริกาเล่นงานภาษีครั้งนี้
คงไม่ใช่ไทยเราอย่างเดียว คงไม่มีเรื่องอื่น สรุปแล้วเรื่องนี้ยังมีทางออก
จะมีการยืดเวลาออกไปอีกหรือไม่
คงไม่มีแล้ว และคงต้องรีบจบให้ทัน
มีข้อแนะนำอะไรบ้าง
คงต้องรีบปรับตัว จะเห็นแล้วว่าการค้าทั่วโลกไม่ธรรมดาแล้ว การปรับตัวของเราในการที่จะพยายามพัฒนาสินค้ารูปแบบใหม่ ตลาดใหม่ ต้องมีตลอดเวลา ต้องลดต้นทุนให้ได้ เอานวัตกรรมใหม่ๆ เอา AI เข้ามา เพื่อลดค่าแรง ต้องปรับปรุงประสิทธิภาพให้ได้ ทุกอย่างทั่วโลกไม่เหมือนเดิมแล้ว
เงินทุนที่จะนำมาปรับปรุงจะมาจากไหน แบงก์ก็ไม่ปล่อยกู้
ก็เป็นนโยบายรัฐที่ต้องมาว่ากันอีกที เอาให้จบเรื่องนี้ก่อน อย่างไรเราก็มีข้อเสนอให้กับรัฐพิจารณาในเรื่องงบที่จะนำมาช่วยเรื่องนี้อยู่แล้ว แต่ยังไม่รู้ว่าต้องใช้งบเท่าไหร่ คงต้องแล้วแต่อุตสาหกรรมไป
Comments