การลงทุนในคริปโตอยู่ในจุดที่มีความเสี่ยงสูง และมีทิศทางที่จะเป็นขาลงได้มากกว่าขึ้น หลังจากที่ตลาดคริปโต โดยเฉพาะบิตคอยน์ที่ได้รับความนิยมอย่างมากถูกเขย่าลงมาจนหลุด 30,000 ดอลลาร์ หรือ หลุด 1,000,000 บาท หลังจากที่ผู้กำกับดูแลตลาดเงินตลาดทุนของประเทศต่างๆ ออกแอคชันกำกับดูแลเงินดิจิทัลเข้มข้นมาเป็นระยะๆ ขณะที่มีการเฝ้าสังเกตว่ากองทุนต่างๆ น่าจะเป็นฝ่ายขายหลังทยอยซื้อมาตลอด
รายงานข่าวระบุว่าหลังจากที่เริ่มมีการขายบิตคอยน์มาเรื่อยๆ ในช่วงปลายเดือนมิถุนายนและตลอดจากต้นเดือนกรกฎาคมที่แถวๆ 35,000 ดอลลาร์ ทำให้เริ่มเห็นสัญญาณว่าบิตคอยน์น่าจะเข้าสู่ขาลงมากขึ้น
โดยเฉพาะเมื่อมีแรงขายบิตคอยน์ จนทำให้ราคาซื้อขายดิ่งหนักจนหลุดระดับ 30,000 ดอลลาร์ หรือหลุดระดับ 1,000,000 บาทลงมาเมื่อวันที่ 19 และ 20 กรกฎาคม 2564 ที่ผ่านมา
ทั้งนี้การปรับตัวลดลงของบิตคอยน์ตลอดจนเงินคริปโตสกุลอื่นๆ ในวันจันทร์อังคารที่ 19-20 กรกฎาคม นั้นเป็นแรงขายที่เกิดจากความกดดันที่นักลงทุนได้รับข่าวสารที่ว่ารัฐบาลของประเทศต่างๆ มีความห่วงใยและจะออกมาตรการคุมเข้มการซื้อขายในตลาดคริปโตเคอร์เรนซีมากขึ้นอีก จากที่ก่อนหน้านี้ก็มีการเคลื่อนไหวของทางการประเทศสำคัญๆ อย่างจีนและอเมริกาที่มีออกมาอย่างสม่ำเสมอ
การออกมาของ นางเจเน็ต เยลเลน ที่ว่าจะได้นัดหมายให้มีการจัดประชุมร่วมคณะทำงานด้านตลาดเงินสหรัฐ หน่วยงานกำกับดูแลต่างๆ รวมถึงคณะทำงานด้านตลาดเงินของประธานาธิบดี ในวันจันทร์ 19 กรกฎาคม เพื่อหารือแนวทางกำกับดูแลเงินดิจิทัล ประเภท Stablecoin ซึ่งก็คือสกุลเงินดิจิทัลที่ผูกติดกับสินทรัพย์เงินในแบบดั้งเดิม อย่างเช่นเงินดอลลาร์ ซึ่งเป็นความเสี่ยง ทำให้ตลาดคริปโตในวันจันทร์ที่ 19 กรกฎาคมถูกเท
“หลังจากที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็วของสินทรัพย์ดิจิทัล หน่วยงานต่างๆ ประกอบด้วยหัวหน้าของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed), สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ และคณะกรรมการการซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์ล่วงหน้า รวมถึงหน่วยงานกำกับดูแลธนาคาร 2 แห่ง คือ สำนักงานบัญชีกลางของสกุลเงินและ สถาบันประกันเงินฝากของรัฐบาลกลาง โดยระบุว่าจำเป็นจะต้องร่วมมือกันในด้านกฎระเบียบของภาคส่วนนี้ และพัฒนาข้อเสนอแนะใดๆ สำหรับหน่วยงานใหม่ๆ อีกทั้งระบุว่า หน่วยงานกำกับดูแลต่างๆ จำเป็นต้องประเมินถึงผลประโยชน์ที่เป็นไปได้ของเหรียญ Stablecoin ในขณะเดียวกันก็ต้องลดความเสี่ยงที่จะอาจจะเกิดขึ้นกับผู้ใช้ รวมถึงตลาดหรือระบบการเงินด้วย”
รายงานข่าวระบุว่า Stablecoin ได้รับความสนใจอย่างมากในปีที่ผ่านมา เนื่องจากการซื้อขายสกุลเงินดิจิทัลได้รับการยอมรับและเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย มูลค่าของ Stablecoin ที่ใหญ่ที่สุดสามเหรียญ ได้แก่ Tether, USD Coin และ Binance USD ซึ่งรวมกันอยู่ที่ประมาณ 1 แสนล้านล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจากประมาณ 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์ในปีที่แล้ว
ทั้งนี้หลังได้รับข่าวการเรียกประชุมของนางเยลเลนดังกล่าว ได้เกิดการเทขายเงินคริปโตออกมามากในวันที่ 19 กรกฎาคม 2564 โดยบิตคอยน์ถูกขายจนหลุด 30,000 ดอลลาร์อีกครั้งในรอบ 1 เดือน คือดิ่งลง 3.21% สู่ระดับ 29,743 ดอลลาร์ ทำให้เมื่อตีค่าเป็นเงินบาท บิตคอยน์ได้ปรับลดลงต่ำกว่า 1,000,000 บาทลงมาปิดที่แถวๆ 976,000 บาท ขณะที่เหรียญคริปโตเคอร์เรนซีชนิดอื่นๆ ก็ปรับแรงเช่นกัน Ethereum ปรับลง 3.33% Binance Coin ปรับลง 0.05% และ Dogecoin ปรับลง 4.33%
การปรับลดลงครั้งนี้ ส่งผลให้นักลงทุนเกิดความเสียหายอย่างหนัก หากเมื่อเทียบกับราคาบิตคอยน์ที่ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อเดือนเมษายน 2564 เกือบ 65,000 ดอลลาร์ เท่ากับเกิดความเสียหายแล้วถึง 50%
ทั้งนี้แม้มีความพยายามดันบิตคอยน์ให้กลับมายืนเหนือ 30,000 ดอลลาร์ อย่างไรก็ตามยังคงมีการประเมินว่า เป็นการขึ้นเพื่อลงต่อมากกว่า และการลงทุนในบิตคอยน์มีความเสี่ยงที่สูงมากในช่วงเวลานี้ โดยผู้ที่ตามตลาดคริปโตมานานสังเกตว่าการขึ้นของบิตคอยน์เมื่อต้นปี 2564 จนทำนิวไฮนั้น พบว่ามีนักลงทุนระดับสถาบัน/กองทุนต่างๆ แห่เข้ามาลงทุนในคริปโตกันมากกว่าปกติ และการลงรอบนี้บรรดากองทุนต่างๆ เป็นฝ่ายขายคนสำคัญ และเป็นแรงกดดันตลาดคริปโตซ้ำเติมจากความกังวลใจของนักลงทุนที่รับข่าวการเข้าดูแลสเตเบิลคอยน์ของนางเยลเลน
ขณะที่ นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด กล่าวกับฝ่ายนิติบัญญัติในระหว่างการแถลงต่อสภาคองเกรสว่า Stablecoin กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่เขาได้บ่งชี้ให้เห็นถึงการขาดกฎระเบียบที่เหมาะสมซึ่งเป็นประเด็นที่น่ากังวล
“หากเราจะมีบางอย่างที่ดูเหมือนกองทุนตลาดเงินหรือเงินฝากธนาคาร…เราก็ควรมีกฎระเบียบที่เหมาะสมจริงๆ และในวันนี้ เรายังไม่มีกฎระเบียบนั้น”
ก่อนหน้านี้ นางอาลิซาเบธ วอร์เรน วุฒิสมาชิกสหรัฐได้ส่งจดหมายถึง นายแกรี เจนสเลอร์ ประธานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต.ของสหรัฐ เพื่อขอให้เขาจัดการกับความเสี่ยงของสกุลเงินคริปโตที่มีต่อผู้บริโภคและตลาดการเงิน
留言