กับดักเสี่ยงเล่นงาน SME ไทย...วอนรัฐช่วยแก้ปัญหา
- Dokbia Online

- Jul 9
- 1 min read


ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยวันนี้ตกอยู่ในกับดักความเสี่ยง 9 ประการ แต่กับดักที่หนักสุดคือกับดักหนี้ ที่ทำให้ไม่สามารถเดินหน้าพัฒนาศักยภาพการผลิต-ศักยภาพฝีมือแรงงาน-ศักยภาพในการแข่งขัน ปัญหาของกับดักหนี้คือการไม่สามารถเข้าถึงแหล่งทุนในระบบและภาระดอกเบี้ยที่ทับถม จี้ภาครัฐเร่งแก้ปัญหาด้วยการกระตุ้นเศรษฐกิจ กระจายรายได้สู่ท้องถิ่น จัดหาแหล่งงานให้ผู้ประกอบการรวมถึงประชาชนรายย่อย พัฒนาทักษะฝีมือแรงงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและยกระดับผลการประกอบการให้ดีขึ้น
Interview : คุณแสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานยุทธศาสตร์สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย
ล่าสุดสหรัฐอเมริกาเข้าร่วมรบกับอิสราเอล ในด้านเอสเอ็มอีจะมีผลกระทบจากนี้อย่างไร
ปัจจุบันเอสเอ็มอีประสบกับความท้าทาย แล้วต้องเจอกับเรื่องความเสี่ยงรวม 9 ปัจจัย ปัจจัยแรกคือเผชิญเรื่องหนี้ จะเป็นโซ่ตรวนยึดเหนี่ยวให้เอสเอ็มอีไม่สามารถจะก้าวเดินไปข้างหน้าได้อย่างคล่องแคล่ว การเข้าถึงแหล่งต้นทุนต่ำก็มีปัญหาในระบบ ซึ่งจริงๆ แล้วเอสเอ็มอีได้รับสินเชื่อในการที่จะไปเพิ่มสภาพคล่องน้อยมาก เราจะเห็นว่าเอสเอ็มอีจำนวนมาก 90% มีปัญหาเรื่องสภาพคล่อง ต้องการสินเชื่อเงินทุนหมุนเวียน
เรื่องที่สองคือเรื่องกับดักคน หรือที่เรียกว่าการยกระดับขีดความสามารถของผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ซึ่งเราอยากจะเห็นกระบวนการการยกระดับทักษะขีดความสามารถผู้ประกอบการให้มีมาตรฐาน แล้วให้ได้รับการจ้างงานที่มีประสิทธิภาพสูง ตรงนี้จะทำให้เราไม่ต้องพูดในเรื่องค่าแรง 400 บาท เพราะคนของเรามันเกินกว่า 400 บาท
ส่วนเรื่องที่สามคือกับดักเทคโนโลยี ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล AI และนวัตกรรม รวมถึงความสร้างสรรค์ ทำอย่างไรที่จะให้ผู้ประกอบการที่ใช้นวัตกรรมใช้เทคโนโลยีในการขับเคลื่อนธุรกิจมากขึ้น เพราะวันนี้ผู้ประกอบการโตไม่ได้ เขาจะกลายเป็นผู้ประกอบการที่ไม่ทันต่อโลก ทำให้เขาปรับตัวไม่ได้ และส่งผลให้มีรายได้ลดลง
เรื่องที่สี่คือเศรษฐกิจพอเพียง เรื่องของภัยธรรมชาติ จริงๆ แล้วคือเรื่องของโลกเดือด กับดักโลกเดือดเรื่องภัยธรรมชาติเป็นภัยคุกคามที่เราเองจะต้องมาช่วยกันในเรื่องของการเฝ้าระวัง รวมถึงมาตรการในการรองรับการค้าในยุคเศรษฐกิจสีเขียว ที่อาจจะต้องมีเรื่องของการจัดระเบียบโลกใหม่มาตรฐานสีเขียวขึ้นมา
เรื่องที่ห้าคือเรื่องความเสี่ยงกับดักสงครามการค้า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดุลการค้า กำแพงภาษี ความผันผวน และต้นทุน ที่จะผันแปรเปลี่ยนไป
เรื่องที่หกคือเรื่องความเชื่อมั่นเศรษฐกิจ กับดักสงครามภูมิรัฐศาสตร์ที่เกี่ยวกับเรื่องความมั่นคงความปลอดภัย วันนี้เราจะเห็นสงครามคู่ใหม่อย่างอินเดีย ปากีสถาน และคู่ล่าสุดอย่างอิสราเอลและอิหร่าน และที่เรากำลังภาวนาไม่ให้เกิดคือระหว่างไทยกับกัมพูชา
ส่วนเรื่องที่เจ็ดคือเรื่องกับดักทุน ที่จะมาพร้อมเรื่องของเศรษฐกิจนอกระบบ ขณะที่เรื่องที่แปดคือเรื่องกับดักรัฐ ที่เกี่ยวข้องในเรื่องกฎหมาย อุปสรรคต่างๆ กับกฎระเบียบ จะทำอย่างไรที่จะยกระดับบริการภาครัฐให้รวดเร็ว ต้นทุนต่ำ
สุดท้ายคือกับดักเรื่องเสถียรภาพทางการเมือง
กับดักไหนที่หนักหนาที่สุดของเอสเอ็มอีไทย
เรื่องกับดักหนี้น่าจะหนักที่สุด ณ เวลานี้ เพราะดอกเบี้ยมันไม่มีวันหยุด และสถานการณ์ยิ่งปล่อยให้เลยไปมากๆ ก็จะยิ่งทำให้จำนวนผู้ประกอบการเอสเอ็มอี หรือแม้ประชาชนรายย่อยเองก็ยากที่จะฟื้นตัวได้โดยง่าย
เราเห็นสิ่งที่สะท้อนออกมาจากการสำรวจของ สสว. ช่วงเวลาปีกว่าที่ผ่านมา เราพบตัวเลขสัดส่วนที่น่าตกใจ ณ ปัจจุบัน คือในอดีตไตรมาส 4 ปี 2566 ที่ สสว.เริ่มจับตัวเลข เราพบว่าสินเชื่อในระบบสถาบันการเงินมีอยู่ประมาณ 57% และสินเชื่อนอกระบบมีอยู่ 22% แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจนถึงปัจจุบันปรากฏว่าสินเชื่อในระบบเหลืออยู่ 23% หายไปเกินครึ่ง เอสเอ็มอีที่ใช้สินเชื่อทั้งในระบบและนอกระบบผสมผสานกันมีอยู่ 45% ที่เหลืออีก 32% เป็นนอกระบบล้วนๆ
รัฐบาลควรเข้ามาช่วยเหลืออย่างไร
ในตอนที่ประกาศนโยบายมีความต้องการช่วยเอสเอ็มอีอย่างมากเลย แต่ในปัจจุบันการนำนโยบายมาทำมาตรการรวมถึงงบประมาณต่างๆ ที่จะมาใช้ในเรื่องของการกระตุ้นการใช้จ่าย กระตุ้นเศรษฐกิจ จากที่ดูก็ยังไม่เห็นผลลัพธ์ที่ดีพอ รวมถึงภาวะหนี้สินและแหล่งเงินทุนในการที่จะทำให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเข้าถึง แล้วนำไปใช้ในการเพิ่มสภาพคล่อง หมุนเวียน และปรับเปลี่ยนธุรกิจ ซึ่งตอนนี้เราเห็นแล้วว่าต้นทุนค่าใช้จ่ายสูงขึ้น
ขณะเดียวกัน เอสเอ็มอียากต่อการที่จะผลักภาระ เพราะจะกระทบต่อผู้บริโภค โดยเอสเอ็มอีเองต้องการที่จะเพิ่มศักยภาพ ขีดความสามารถในการแข่งขัน ส่งเสริมธุรกิจให้เติบโต ซึ่งเรามีหน่วยงานภาครัฐหลายหน่วยงานที่ช่วยส่งเสริมผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ไม่ว่าจะเป็นโครงการของ สสว. มาตรการเสริมสร้างของภาครัฐสินค้าเอสเอ็มอี แล้วก็ระบบ BDS (Business Development Service) หรือเรียกว่า SME ปัง ตังได้คืน ความช่วยเหลือของกรมอุตสาหกรรม กรมการค้าระหว่างประเทศ ในการช่วยเหลือธุรกิจจากการออกงานต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงส่งเสริมระหว่างประเทศ แล้วยังมีเรื่องของการพัฒนานวัตกรรมในส่วน สวทช. ฯลฯ แล้วก็ระดับภูมิภาค แต่สิ่งสำคัญเลยคือการเพิ่มการเข้าถึงของเอสเอ็มอีให้ได้มากยิ่งขึ้น
เรื่องของภูมิรัฐศาสตร์ ถือว่ามีสำคัญมีผลต่อเอสเอ็มอีมาก อย่างกรณีสงครามอิหร่านกับอิสราเอลล่าสุดนี้
เป็นปัจจัยที่ส่งผลลบอย่างยิ่งต่อความเชื่อมั่น รวมถึงกระทบต่อเศรษฐกิจการค้าการลงทุนแน่นอน และจะมีผลกระทบต่อราคาน้ำมัน ราคาพลังงาน ที่สำคัญคู่สงครามระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน มีสัญญาณส่อเค้าบานปลายที่จะขยายวงออกไป หากจีนกับรัสเซียเข้ามาร่วมวงด้วยน่าจะเกิดเหตุที่เราไม่อยากให้เกิด
แต่เหนืออื่นใด มองว่าคู่นี้ในวงนี้ได้รับผลกระทบแน่นอน ซึ่งสิ่งที่เรากระทบอยู่ตอนนี้ไม่ได้มาจากสงครามอิสราเอลกับอิหร่าน แต่มาจากเศรษฐกิจ ซึ่งมีเอสเอ็มอีที่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจพอสมควร แต่เราก็เข้าใจเรื่องอธิปไตยและความมั่นคง
เรื่องไทยกับกัมพูชา
เรากังวลใจเรื่องนักลงทุนไทยในกัมพูชา โดยมูลค่าการลงทุนที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันอยู่ที่พันกว่าล้านเหรียญ ขณะเดียวกันเราก็มีแรงงานกัมพูชาที่อยู่ในไทยและอยู่ในระบบประมาณแสนกว่าคน และยังมีแรงงานนอกระบบอีกต่างหาก ทั้งนี้ เราก็กังวลใจในเรื่องของความมั่นคง แต่เราก็เข้าใจดีว่ากองทัพไทยก็ทำหน้าที่ได้อย่างดีที่สุดในการที่จะปกป้องอธิปไตย แต่เหนือสิ่งอื่นใดการที่เราจะใช้สันติวิธีในการเจรจา เพื่อที่เราจะสร้างความเข้าใจอันดี และไม่มีการทำสงครามหรือสู้รบกัน จะดีกว่า เราก็จะไม่เกิดการสูญเสีย เพราะเราเห็นแล้วว่าอิหร่านถล่มอิสราเอลสภาพเป็นอย่างไร และอิสราเอลถล่มอิหร่านสภาพเป็นอย่างไร ดังนั้น เราไม่อยากให้เกิดกับประเทศของเราและกัมพูชาด้วย
จากที่สหรัฐอเมริกาจะขึ้นภาษี ในส่วนเอสเอ็มอีไทยเราเป็นอย่างไร
ตอนนี้กระทบในส่วนเบื้องต้น ยังถือว่ายังอยู่ในช่วงของการเจรจากันอยู่ สำหรับไทยเรามีการส่งออกไปสหรัฐอเมริกา ถ้าเราดูเป็นรายประเทศ เรามีสัดส่วนอยู่ประมาณ 18% ของการส่งออกทั้งหมด รองลงมาคือจีนกับญี่ปุ่น ขณะเดียวกันเราส่งออกไปมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 5.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งตอนนี้ในส่วนการส่งออก คาดว่าในส่วนเอสเอ็มอีที่ได้รับผลกระทบจะมี 2 กลุ่มด้วยกัน ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์และอุปกรณ์ ธัญพืช ผลิตภัณฑ์ยาง เฟอร์นิเจอร์ เครื่องประดับ ทำจากโลหะและอะลูมิเนียม
จริงๆ แล้วเอสเอ็มอีเองก็มีมูลค่าการส่งออกที่ได้รับผลกระทบในกลุ่มนี้ก็ประมาณ 3,000 ล้านเหรียญ ถือว่าเยอะ ที่สำคัญคือมีผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ได้รับผลกระทบประมาณกว่า 3,000 ราย ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มเครื่องประดับ กลุ่มอุปกรณ์ไฟฟ้า เฟอร์นิเจอร์ที่ทำด้วยเหล็กกล้าอะลูมิเนียม พืชผักผลไม้ ยานยนต์และชิ้นส่วน กลุ่มยาง ธัญพืช กลุ่มเสื้อผ้าแฟชั่น กลุ่มแปรรูป
รัฐบาลควรทำอะไรเป็นการเร่งด่วน
เราอยากจะให้มองในเรื่องของสามคู่ขนาน คือต้องทำเรื่องของการกระตุ้นเศรษฐกิจ มาตรการกระจายรายได้สู่ท้องถิ่น คู่ขนานต่อมาที่ไปกับเรื่องเศรษฐกิจคือกับดักหนี้ เรื่องการเข้าถึงแหล่งทุนให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี รวมถึงประชาชนรายย่อยด้วย ส่วนคู่ขนานที่สามคือเรื่องการพัฒนากำลังคน เรามองว่าเรื่องคน เป็นสิ่งที่ต้องทำอย่างเร่งด่วน เพราะเมื่อผู้ประกอบการเอสเอ็มอีมีแหล่งทุน เขาจะมีขีดความสามารถในการที่เขาจะใช้ทักษะต่างๆ ที่ได้รับการยกระดับไปทำผลประกอบการให้ดีขึ้น






Comments