top of page
312345.jpg

ความเสี่ยงยังคงมีอยู่มาก... หวังได้แค่การเจรจาการค้า!


แม้ว่าในสัปดาห์ที่ผ่านมาตลาดหุ้นโลกโดยเฉลี่ยจะปรับตัวขึ้นมาได้บ้าง โดยที่ดัชนี MSCI ACWI ปรับตัวขึ้น 0.83% นำโดยตลาดหุ้นสหรัฐ, จีน และยุโรปที่ปรับตัวขึ้น 0.94%, 1.58% และ 1.40% ตามลำดับ โดยได้รับปัจจัยหนุนจากความคืบหน้าในการเจรจาการค้าระหว่างจีนและสหรัฐ หลังจากประธานาธิบดี Donald Trump กล่าวว่าการเจรจากับรองนายกรัฐมนตรีจีนได้บรรลุข้อตกลงการค้าที่สำคัญขั้นแรกไปแล้ว คือ บรรลุข้อตกลงในด้านการเกษตร, การปกป้องสิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญา, อัตราแลกเปลี่ยน, บริการทางการเงิน, การขยายความร่วมมือทางการค้า, การถ่ายโอนเทคโนโลยี และการระงับข้อพิพาท

ทั้งนี้เบื้องต้นดีลการค้าจะแบ่งเป็น 3 เฟสด้วยกัน เฟสแรกจะถูกเขียนรายละเอียดในอีกสามสัปดาห์ข้างหน้า ซึ่งจีนตกลงที่จะซื้อสินค้าเกษตรจากสหรัฐราคา 4-5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ ในทางกลับกันสหรัฐตกลงที่จะยังไม่ขึ้นภาษีน้ำเข้าสินค้าจากจีนที่กำลังจะมีผลในวันที่ 15 ต.ค. 2562

นอกจากนี้ประเด็นเรื่องค่าเงิน ทรัพย์สินทางปัญญา และบริการทางการเงินก็เกือบจะเจรจาตกลงเสร็จแล้ว โดยที่ประธานาธิบดี Donald Trump กล่าวว่าถ้ามีการจรดปากกาเซ็นข้อตกลงในเฟสแรกเมื่อไหร่ก็จะเริ่มคุยเฟสที่สองทันที

ขณะเดียวกันนักลงทุนในตลาดยังคงให้น้ำหนักกับปัจจัยหนุนจากการที่ Jerome Powell ประธานธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟดได้ส่งสัญญาณถึงโอกาสในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก เพื่อสกัดกั้นความเสี่ยงของเศรษฐกิจโลก โดยได้เปรียบเทียบสถานการณ์ปัจจุบันกับตอนปี 2533 ที่ได้มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยถึง 3 ครั้ง ซึ่งในท้ายที่สุดการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในครั้งนั้นก็สามารถทำให้เศรษฐกิจขยายตัวต่อไปได้

Jerome Powell ยังย้ำว่าเฟดจะดำเนินการที่เหมาะสม ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มจะขยายตัวต่อเนื่อง รวมถึงจะเริ่มเพิ่มงบดุลของเฟดในเร็วๆนี้ อย่างไรก็ตาม “นายหมูบิน” ยังคงมองว่าทิศทางของตลาดหุ้นโดยเฉพาะในภูมิภาคยังคงมีความเสี่ยง เพราะมองว่าผลลัพธ์ในการเจรจาระหว่างจีนและสหรัฐครั้งนี้เป็นไปในเชิงบวกน้อยกว่าที่ตลาดคาดการณ์ หลังจากที่ตลาดมองว่าข้อตกลงการค้าที่สำคัญขั้นแรกที่บรรลุได้นั้น บอกเป็นนัยได้ว่ายังต้องมีการเจรจาอีกมาก และมีประเด็นอื่นๆที่จะต้องถกเถียงกันต่อไป

อย่างไรก็ตามการเจรจาดูเหมือนจะไม่ง่ายอย่างที่คิด จากการที่ล่าสุดบริษัทเทคโนโลยีจีน 8 แห่งได้ถูกขึ้นบัญชีดำ โดยคณะบริหารของประธานาธิบดี Donald Trump ซึ่งกล่าวหาว่าบริษัทเหล่านั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อชนกลุ่มน้อยชาวมุสลิมในเขตซินเจียงทางตะวันตกของจีน

นอกจากนี้บริษัทดังกล่าวรวมถึงบริษัทกล้องวงจรปิด 2 แห่ง ได้แก่ Hangzhou Hikvision Digital Technology Co. และ Zhejiang Dahua Technology Co. ซึ่งครองตลาดมากถึง 1 ใน 3 ของตลาดโลกสำหรับกล้องวงจรปิดและตลาดกล้องทั่วโลก ในขณะที่เจ้าหน้าที่สหรัฐระบุว่าการประกาศดังกล่าวไม่เกี่ยวข้องกับการกลับมาเจรจาการค้ากับจีนในสัปดาห์นี้

ด้านคณะทำงานของประธานาธิบดี Donald Trump ประกาศระงับการออกวีซ่าให้กับเจ้าหน้าที่จีนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกดขี่ข่มเหงและจับกุมชาวมุสลิมเป็นจำนวนมากในมณฑลซินเจียง ซึ่งความเสี่ยงดังกล่าวส่งผลให้ตลาดหุ้นในภูมิภาคทั้งในส่วนของตลาดหุ้นไทย, ญี่ปุ่น และ Asia ex Japan ปรับตัวขึ้นน้อยกว่า หรือ Underperform ในสัปดาห์ที่ผ่านมา

แนวโน้มเศรษฐกิจโลกเป็นความเสี่ยงหลัก : ปัจจัยที่ทำให้ “นายหมูบิน” ยังคงมองว่าตลาดหุ้นโลกยังคงมีความเสี่ยง คือประเด็นของแนวโน้มทางเศรษฐกิจที่อ่อนแอกว่าที่ตลาดเคยคาดไว้ เพราะนอกจากในส่วนของสหรัฐที่ตัวเลขเศรษฐกิจเริ่มส่งสัญญาณชะลอลง โดยล่าสุดตัวเลข Headline CPI ยังคงทรงตัวในเดือน ก.ย. 2562 ซึ่งเป็นการปรับตัวที่อ่อนแอที่สุดนับตั้งแต่เดือน ม.ค. 2562 หลังจากเพิ่มขึ้น 0.1% ในเดือน ส.ค. 2562

ทั้งนี้การชะลอตัวของดัชนี Headline CPI ได้รับแรงกดดันจากการดิ่งลงของราคาพลังงาน และรถยนต์ ขณะที่ตัวเลข Core CPI เพิ่มขึ้นเพียง 0.1% ในเดือน ก.ย. 2562 ซึ่งต่ำกว่าที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.2% หลังจากเพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือน ส.ค.2562 ขณะที่ในภาพใหญ่ของโลกล่าสุดธนาคารโลก หรือ World Bank ได้ออกมาระบุว่าแนวโน้มเศรษฐกิจโลกกำลังถดถอยลงท่ามกลางความไม่แน่นอนที่เกี่ยวข้องกับการถอนตัวของอังกฤษออกจากสหภาพยุโรป (Brexit), ความตึงเครียดทางการค้าและการชะลอตัวในยุโรป

การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในขณะนี้ดูเหมือนอ่อนแอกว่าที่ World Bank ไว้ในเดือน มิ.ย. 2562 ที่ระดับ 2.6% ในปี 2562 ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่วิกฤติการเงิน ปัจจัยหลักมาจากการขยายตัวของการค้าในระดับโลกประสบภาวะชะงักงัน ท่ามกลางความตึงเครียดทางการค้า ซึ่งส่งผลให้การผลิตและการลงทุนทั่วโลกชะลอตัวลง

อย่างไรก็ดีในระยะ 1 สัปดาห์ข้างหน้าหุ้นในกลุ่มพลังงานอาจเข้ามาช่วยจำกัด Downside Risk ของตลาดหุ้นโลกได้ หลังจากที่ราคาน้ำมันดิบโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 2.14% ในสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากเหตุโจมตีเรือบรรทุกน้ำมันอิหร่านด้วยขีปนาวุธ ซึ่งกระแสข่าวลือว่าเป็นฝีมือซาอุดีอาระเบีย ส่งผลให้เกิดความกังวลความตึงเครียดระหว่างทั้งสองประเทศเพิ่มขึ้น ล่าสุดโอเปกได้บรรลุข้อตกลงกับรัสเซีย และผู้ผลิตน้ำมันนอกกลุ่มโอเปกอีก 9 ประเทศในการประชุมเมื่อเดือน ก.ค. 2562 ที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย เพื่อขยายเวลาปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันออกไปอีก 9 เดือน จนถึงสิ้นเดือน มี.ค. 2563 จากเดิมที่มีกำหนดสิ้นสุดในเดือน มิ.ย. 2562 โดยจะปรับลดกำลังการผลิตในอัตราเดิมที่ระดับ 1.2 ล้านบาร์เรล/วัน

ในเชิงปัจจัยพื้นฐานยังคงอ่อนแอ หลังจากสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐเพิ่มขึ้น 2.9 ล้านบาร์เรลต่อสัปดาห์ มากกว่าที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 1.4 ล้านบาร์เรลต่อสัปดาห์ นอกจากนี้โอเปกปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของอุปสงค์น้ำมันในช่วงที่เหลือของปีนี้ สู่ระดับ 0.98 ล้านบาร์เรล/วัน โดยลดลง 40,000 บาร์เรล/วันจากตัวเลขคาดการณ์ในเดือน ก.ย. 2562 อย่างไรก็ดี โอเปกยังคงตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวของอุปสงค์น้ำมันในปีหน้าที่ระดับ 1.08 ล้านบาร์เรล/วัน

ในส่วนของกลยุทธ์ สำหรับการลงทุนระยะสั้น (ไม่เกิน 1 สัปดาห์) กรณีที่ SET ยังคงไม่สามารถกลับไปปิดในกรอบ 1,680-1,700 จุด เน้น “ดีดขึ้นขาย” ในลักษณะ “Short Against” เพื่อรอกลับมาทยอยสะสมหุ้น PTTGC, PTTEP, BCP, EGCO, TISCO, SCC, HMPRO, AOT และ ADVANC อีกครั้ง สำหรับการลงทุนระยะกลาง (1-3 เดือน) ในลักษณะ Long-Only แนะนำ “ลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นมาอยู่ที่ระดับ 50% ของพอร์ต”

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ความเห็นส่วนตัวของผมนะครับ โปรดใช้วิจารณญาณ และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนการตัดสินใจลงทุนด้วยครับ สำหรับการพูดคุยกันระหว่างสัปดาห์นอกจากทาง Facebook ที่ www.facebook.com/wealthhuntersclub และ e-mail ที่ moobin.stockmania@gmail.com แล้ว แฟนๆยังสามารถติดตามมุมมองเกี่ยวกับการลงทุนจาก “นายหมูบิน” ได้ในรายการ “เซียนเศรษฐกิจ” ทาง FM97 ทุกวันอาทิตย์ เวลา 14.00-16.00 น.เช่นเดิมครับ

 

ภาพประกอบ : การวิเคราะห์ทิศทางตลาดหุ้นไทยในทางเทคนิครายสัปดาห์ (Weekly)

Source: Wealth Hunters Club

7 views
bottom of page