top of page
312345.jpg

เน้นดีดขึ้นทยอยขายในกรอบ 1,680-1,700 จุด


ในเชิงของ Momentum สะท้อนว่าทิศทางของตลาดหุ้นโลกในระยะ 1 สัปดาห์ข้างหน้ายังคงมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อได้ ต่อเนื่องจากในสัปดาห์ที่สองของเดือนกันยายนที่ผ่านมา ที่ดัชนี MSCI ACWI ของตลาดหุ้นโลก ปรับตัวขึ้น 1.34% หลังจากที่ดัชนี VIX Index ของตลาดหุ้นสหรัฐ, ยุโรป และฮ่องกงปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญราว 12.60%, 7.04% และ 9.61% ตามลำดับ ส่งผลให้ล่าสุดดัชนี VIX Index ของตลาดหุ้นสหรัฐ, ยุโรป และฮ่องกงกลับมาเคลื่อนไหวต่ำกว่ากว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 25 วัน (SMA 25) สะท้อนให้เห็นถึงความกลัวของนักลงทุนในตลาดหุ้นโลกที่ลดลงชัดเจน สอดคล้องกับผลสำรวจความเชื่อมั่นของนักลงทุนสหรัฐจาก AAII ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ที่ระบุว่าสัดส่วนนักลงทุนที่เชื่อว่าตลาดหุ้นสหรัฐในระยะ 6 เดือนข้างหน้ายังคงเป็นขาขึ้น หรือ Bullish เพิ่มขึ้น 4.53% WoW มาอยู่ที่ 33.13%

ขณะที่สัดส่วนนักลงทุนที่เชื่อว่าตลาดหุ้นสหรัฐในระยะ 6 เดือนข้างหน้ากำลังกลับเป็นขาลง หรือ Bearish ลดลง 8.25% WoW มาอยู่ที่ 31.25% ปัจจัยสนับสนุนสำคัญ นอกจากความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐ และจีนได้ผ่อนคลายลงอย่างต่อเนื่อง หลังจากประธานาธิบดี Donald Trump ประกาศเลื่อนการปรับขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนวงเงิน 2.50 แสนล้านดอลลาร์ จากวันที่ 1 ต.ค.2562 ไปเป็นวันที่ 15 ต.ค.2562 และรัฐบาลจีนได้ประกาศรายชื่อสินค้าจำนวน 16 รายการของสหรัฐที่จะได้รับการยกเว้นภาษีนำเข้า โดยจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 17 ก.ย.2562 เป็นเวลา 1 ปีจนถึงวันที่ 16 ก.ย.2563 และความคืบหน้าล่าสุดดูเหมือนว่าประธานาธิบดี Donald Trump กำลังจะพิจารณาการทำข้อตกลงการค้าฉบับชั่วคราวกับจีน นอกจากนี้บริษัทของจีนได้เริ่มสอบถามราคาสินค้าเกษตรของสหรัฐ ซึ่งรวมทั้งถั่วเหลือง และเนื้อสุกร หลังจากที่จีนได้ระงับการซื้อสินค้าดังกล่าวจากสหรัฐในเดือนที่แล้ว เพื่อตอบโต้ต่อการที่ประธานาธิบดี Donald Trump ประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนก่อนหน้านี้

นอกจากความผ่อนคลายของสหรัฐกับจีนดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึง Sentiment เชิงบวกค่อนข้างมากแล้ว ทิศทางของราคาน้ำมันดิบโลกมีโอกาสปรับตัวขึ้น และจะส่งผลในด้านบวกกับหุ้นในกลุ่มพลังงานด้วย หลังจากที่แหล่งน้ำมันดิบในซาอุดีอาระเบียถูกโจมตีด้วยโดรน 10 เครื่อง ซึ่งเป็นการโจมตีขั้นรุนแรงใส่โรงน้ำมัน (Oil Facility) ที่เตรียมส่งออกน้ำมันของซาอุดีอาระเบีย 2 แห่งจนเกิดไฟใหม้ ทั้งนี้เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้การผลิตน้ำมันของซาอุดีอาระเบียหยุดไป 50% โดยที่ปัจจุบันกำลังการผลิตน้ำมันดิบของซาอุดีอาระเบียมีมากที่สุดของกลุ่ม OPEC ราว 9.8 ล้านบาร์เรล หรือ 33%ของกลุ่ม OPEC และส่งออกน้ำมันมากที่สุดในโลกราว 6.8 ล้านบาร์เรล/วัน

ประเด็นดังกล่าวข้างต้นคาดว่าจะส่งผลให้ตลาดหุ้นโลกจะยังคงรักษา Momentum ของการปรับตัวขึ้นต่อได้ โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ตลาดหุ้นสหรัฐ, ยุโรป และญี่ปุ่นยังคงมี Momentum ขาขึ้นในระยะสั้น สะท้อนออกมาจากการที่ดัชนี S&P500 ของตลาดหุ้นสหรัฐ, Stoxx 50 ของตลาดหุ้นยุโรป และ NIKKEI ของตลาดหุ้นญี่ปุ่น ยังคงแกว่งตัวอย่างเหนือเส้นค่าเฉลี่ยทุกเส้นได้

ตลาดหุ้นไทยจะ Underperform ต่อไป : นอกจากนี้ตลาดหุ้นโลกยังได้แรงหนุนจากการที่ธนาคารกลางสำคัญของโลก เริ่มทยอยออกมาเปิดเผยมาตรการในการผ่อนคลายนโยบายการเงิน หรืออัดฉีดสภาพคล่องเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจมากขึ้น โดยที่ล่าสุดธนาคารกลางยุโรป (ECB) แถลงว่าจะรื้อฟื้นโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ในเดือน พ.ย.2562 ซึ่ง ECB จะซื้อพันธบัตรในวงเงิน 2 หมื่นล้านยูโร/เดือน โดยยังไม่มีกำหนดเวลาสิ้นสุดโครงการ ซึ่งการดำเนินนโยบายการเงินเชิงรุกของ ECB ครั้งนี้ มีขึ้นท่ามกลางสัญญาณทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัว โดยอัตราเงินเฟ้อในยูโรโซนยังคงเคลื่อนตัวต่ำกว่าระดับเป้าหมาย ขณะที่ตัวเลขสำคัญทางเศรษฐกิจอย่างดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิต (Manufacturing PMI) ของยุโรปก็มีแนวโน้มหดตัวอย่างต่อเนื่อง (ต่ำกว่าระดับ 50) ขณะที่ในฝั่งของเอเชีย ธนาคารกลางจีนประกาศลดสัดส่วนการกันสำรองของสถาบันการเงิน (RRR) ลง 0.50% โดยจะมีผลตั้งแต่วันที่ 16 ก.ย.2562 เป็นต้นไป ซึ่งถือเป็นความพยายามล่าสุดที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจ

นอกจากนี้ธนาคารกลางจีนจะปรับลด RRR ของธนาคารบางแห่งลงถึง 1.00% ทั้งนี้ธนาคารกลางจีนปรับลด RRR เป็นครั้งที่ 3 ในปีนี้ และเป็นครั้งที่ 7 นับตั้งแต่ต้นปี 2561 สะท้อนให้เห็นว่าจีนพยายามใช้มาตรการเพื่อพยุงเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง หลังจากได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าที่ยืดเยื้อ

อย่างไรก็ตามในส่วนของตลาดหุ้นไทย แม้ว่าจะมีความคืบหน้าสงครามการค้าระหว่างสหรัฐ และจีน แต่ดัชนี SET ของตลาดหุ้นไทย ยังคงมีโอกาสที่จะ Underperform ต่อไป เนื่องจาก Valuation อยู่ในระดับที่ค่อนข้างแพง เพราะตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา EPS Growth ของตลาดหุ้นไทยถูกปรับประมาณการลงอย่างต่อเนื่องถึง 13.91% YTD ขณะที่ระดับ PE Ratio ของตลาดหุ้นไทย ณ ปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 19.15 เท่า เคลื่อนไหวอยู่เหนือค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 ปีที่ระดับ 16.99 เท่า หรือมี Premium ที่ราว 12.71%

ในส่วนของกลยุทธ์ สำหรับการลงทุนระยะสั้น (ไม่เกิน 1 สัปดาห์) กรณีที่ SET ยังคงไม่สามารถกลับไปปิดในกรอบ 1,680-1,700 จุด เน้น “ดีดขึ้นขาย” ในลักษณะ “Short Against” เพื่อรอกลับมาทยอยสะสมหุ้น PTTGC, PTTEP, BCP, EGCO,TISCO, SCC, HMPRO, AOT และ ADVANC อีกครั้ง สำหรับการลงทุนระยะกลาง (1-3 เดือน) ในลักษณะ Long-Only แนะนำ “ลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นมาอยู่ที่ระดับ 50% ของพอร์ต”

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ความเห็นส่วนตัวของผมนะครับ โปรดใช้วิจารณญาณ และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนการตัดสินใจลงทุนด้วยครับ สำหรับการพูดคุยกันระหว่างสัปดาห์นอกจากทาง Facebook ที่ www.facebook.com/wealthhuntersclub และ e-mail ที่ moobin.stockmania@gmail.com แล้ว แฟนๆยังสามารถติดตามมุมมองเกี่ยวกับการลงทุนจาก “นายหมูบิน” ได้ในรายการ ”เซียนเศรษฐกิจ” ทาง FM 97 ทุกวันอาทิตย์ เวลา 14.00-16.00 น.เช่นเดิมครับ

 

ภาพประกอบ : การวิเคราะห์ทิศทางตลาดหุ้นไทยในทางเทคนิครายวัน (Daily)

Source: Wealth Hunters Club

19 views
bottom of page