top of page
312345.jpg

เก็งกำไรโดยมีจุดถอยที่ 1,680 จุด


ขึ้นต่อตามหุ้นโลก !

ตราบใดก็ตามที่ SET ยังคงไม่ปรับตัวลงมาต่ำกว่ากรอบแนวรับ 1,680-1,700 จุด “นายหมูบิน” ยังคงมองว่าทิศทางของตลาดหุ้นไทยในระยะสั้นไม่เกิน 1 เดือนยังคงอยู่ในแนวโน้มของการแกว่งตัวขึ้นต่อไปได้ โดยมีปัจจัยหนุนหลักจากการที่ธนาคารกลางหลายประเทศส่งสัญญาณเชิงผ่อนคลายนโยบายการเงิน ทั้งในส่วนของธนาคารกลางสหรัฐ, ยุโรป และอังกฤษ รวมถึงธนาคารกลางออสเตรเลีย ส่งผลให้ล่าสุดตลาดหุ้นสหรัฐทำสถิติปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หลังจากคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐมีมติ 9-1 เสียงในการคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นที่ระดับ 2.25-2.50% ในการประชุม และเน้นย้ำถึงความไม่แน่นอน

ขณะที่ Fed Fund Futures บ่งชี้ว่ามีโอกาสปรับลดอัตราดอกเบี้ยอย่างน้อย 2 ครั้งในปีนี้อยู่ที่ 97% เพิ่มขึ้นจาก 84% ก่อนการประชุม FOMC และโอกาสปรับลดอัตราดอกเบี้ยอย่างน้อย 3 ครั้งในปีนี้อยู่ที่ 70% เพิ่มขึ้นจาก 48% ก่อนการประชุม FOMC ท่ามกลางความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจ และการคาดการณ์เงินเฟ้อที่ลดลง ยิ่งไปกว่านั้นมีการคาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐในปีนี้จะขยายตัวอยู่ที่ระดับ 1.5% จาก 1.8% ที่ถูกคาดการณ์ไว้ในเดือน มี.ค. 2562

ซึ่งในแถลงการณ์หลังการประชุมครั้งล่าสุดนี้ ธนาคารกลางสหรัฐระบุว่าจะดำเนินการตามความเหมาะสมเพื่อรักษาการขยายตัวทางเศรษฐกิจให้ดำเนินต่อไป ซึ่งธนาคารกลางสหรัฐได้ตัดคำว่า "จะใช้ความอดทน หรือ patient ก่อนที่จะมีการตัดสินใจปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย" ออกไป ซึ่งแตกต่างจากที่เคยปรากฏใน FOMC Statement ฉบับก่อนหน้านี้ ส่งผลให้ตลาดตีความว่าเป็นการส่งสัญญาณว่าธนาคารกลางสหรัฐมีความพร้อมที่จะผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติม โดยเฉพาะหลังจากที่นาย Jerome Powell ประธานธนาคารกลางสหรัฐออกมาระบุการผ่อนคลายนโยบายการเงินเพิ่มเติมนั้นมีแนวโน้มอย่างมากที่จะเกิดขึ้น เนื่องจากมีความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์การค้าและแนวโน้มเศรษฐกิจโลก ขณะที่ภาคธุรกิจมีความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้า และผลกระทบที่มีต่อเศรษฐกิจโลก

นอกจากนี้ยังย้ำว่าอัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับต่ำ และยังไม่เห็นสัญญาณใดๆที่บ่งชี้ว่าอัตราเงินเฟ้อจะสามารถเร่งตัวขึ้นในเร็วๆนี้ รวมถึงตลาดแรงงานอาจยังไม่ได้ตึงตัวมากพอที่จะเร่งอัตราเงินเฟ้อได้ตามที่ธนาคารกลางสหรัฐต้องการ ถึงแม้ว่าในขณะนี้อัตราการว่างงานจะอยู่ที่ระดับ 3.6% ต่ำที่สุดในรอบ 49 ปี สอดคล้องกับตัวเลข Initial Jobless Claims ที่ลดลงสู่ระดับ 216,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งลดลงมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 220,000 ราย

สงครามการค้าอาจนำไปสู่การกลับมาของ QE : Momentum ที่เป็นบวกของตลาดหุ้นโลกน่าจะยังคงอยู่ได้ สะท้อนออกมาจากการที่ในสัปดาห์ที่ผ่านมาดัชนี VIX Index ของตลาดหุ้นสหรัฐ ยุโรป และฮ่องกงปรับตัวลดลงทั้งหมดราว 6.76%, 7.09% และ 3.54% ตามลำดับ สะท้อนให้เห็นถึงระดับการยอมรับความเสี่ยง หรือ Risk Tolerance ของนักลงทุนที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับผลสำรวจความเชื่อมั่นของนักลงทุนสหรัฐจาก AAII ที่ระบุว่าในสัปดาห์ที่ผ่านมา สัดส่วนนักลงทุนที่เชื่อว่าตลาดหุ้นสหรัฐในระยะ 6 เดือนข้างหน้ายังคงเป็นขาขึ้น หรือ Bullish เพิ่มขึ้น 2.70%

ขณะที่สัดส่วนนักลงทุนที่เชื่อว่าตลาดหุ้นสหรัฐในระยะ 6 เดือนข้างหน้ากำลังกลับเป็นขาลง หรือ Bearish ลดลง 2.10% โดยปัจจัยหนุนน่าจะยังคงเป็นความเป็นไปได้ที่ธนาคารกลางสหรัฐจะนำมาตรการ QE กลับมาใช้อีกครั้ง หลังจากที่ล่าสุด Morgan Stanley หรือ MS ออกมาระบุว่าธนาคารกลางสหรัฐอาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยกลับมาที่ระดับใกล้ 0% อีกครั้ง ภายในกลางปี 2563 หรือปีหน้านี้ ถ้าหากความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐ และจีนยังคงย่ำแย่ลง ซึ่งอาจส่งผลกระทบทำให้เศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอย นอกจากนี้ MS ยังระบุว่า หากเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว ดัชนี S&P 500 ของตลาดหุ้นสหรัฐมีโอกาสที่จะปรับตัวลดลงสู่ระดับ 2,400 จุด หรือลดลง 17% จากระดับปัจจุบัน ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีจะลดลงสู่ระดับ 1.75% ในปีนี้ โดยปรับตัวลง 0.33% จากระดับปัจจุบัน

ทั้งนี้มุมมองดังกล่าวมีน้ำหนักมากขึ้น หลังจากที่ตัวเลขความเชื่อมั่นด้านธุรกิจและอุตสาหกรรมของสหรัฐล่าสุดอยู่ในระดับที่แย่กว่าที่คาดการณ์ สะท้อนออกมาจากการที่ดัชนี The New York Fed Empire State Manufacturing Survey’s Main Index ลดลงสู่ระดับ -8.6 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน ต.ค.2559 ต่ำกว่าที่คาดว่าจะชะลอตัวที่ระดับ 11 จาก 17.8 ในเดือนก่อนหน้า ซึ่งผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่าสภาพธุรกิจแย่ลง ขณะที่ดัชนีย่อย หรือ Sub-Indexes เกือบทั้งหมดปรับตัวลดลง

ในส่วนของกลยุทธ์ สำหรับการลงทุนระยะสั้น (ไม่เกิน 1 สัปดาห์) กรณีที่ SET ยังคงไม่ปรับตัวลงมาต่ำกว่ากรอบแนวรับ 1,680-1,700 จุด เน้น “อ่อนตัวเข้าซื้อสะสม” ในหุ้น PTTGC, PTTEP, BCP, EGCO, TISCO, SCC, HMPRO, AOT และ ADVANC อีกครั้ง สำหรับการลงทุนระยะกลาง (1-3 เดือน) ในลักษณะ Long-Only แนะนำ “คงสัดส่วนการลงทุนในหุ้นที่ระดับ 75% ของพอร์ต”

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ความเห็นส่วนตัวของผมนะครับ โปรดใช้วิจารณญาณ และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนการตัดสินใจลงทุนด้วยครับ สำหรับการพูดคุยกันระหว่างสัปดาห์นอกจากทาง Facebook ที่ www.facebook.com/wealthhuntersclub และ e-mail ที่ moobin.stockmania@gmail.com แล้ว แฟนๆยังสามารถติดตามมุมมองเกี่ยวกับการลงทุนจาก “นายหมูบิน” ได้ในรายการ ”เซียนเศรษฐกิจ” ทาง FM 97 ทุกวันอาทิตย์ เวลา 14.00-16.00 น.เช่นเดิมครับ

 

ภาพประกอบ : การวิเคราะห์ทิศทางตลาดหุ้นไทยในทางเทคนิครายวัน (Daily)

Source: Wealth Hunters Club

7 views
bottom of page