top of page
312345.jpg

ถ้ายังต่ำกว่า 1,700 จุด มองดีดขึ้นต่อให้ขายก่อน


ยังคงต้องตามการประชุม G20 !

ในสัปดาห์ที่ผ่านมาตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวดีขึ้นหลังจากตลาดคลายความกังวลจากการที่รัฐบาลสหรัฐได้ระงับการจัดเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากเม็กซิโก เนื่องจากทั้ง 2 ประเทศสามารถตกลงกันได้เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาผู้อพยพผิดกฎหมายจากเม็กซิโก

ทั้งนี้การจัดเก็บภาษีต่อสินค้านำเข้าจากเม็กซิโกจะถูกระงับต่อไปโดยไม่มีกำหนด ซึ่งประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แสดงความเชื่อมั่นว่า เม็กซิโกจะดำเนินการกวาดล้างต่อผู้อพยพผิดกฎหมายจากอเมริกากลางได้ ประกอบกับการที่สหรัฐได้รายงานตัวเลขดัชนีอัตราเงินเฟ้อทั่วไป หรือ CPI ที่ปรับตัวขึ้นเพียง 0.1% ในเดือน พ.ค. 2562 ซึ่งถือว่าชะลอตัวจากเดือนก่อนหน้าที่ขยายตัว 0.3% ขณะที่ดัชนีอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน หรือ Core CPI ขยับขึ้น 0.1% ในเดือน พ.ค. 2562 ต่ำกว่าที่ Consensus คาดการณ์ว่าจะขยายตัว 0.2% ทำให้การคาดการณ์ที่ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้มีน้ำหนักมากขึ้นไปอีก ส่งผลให้ดัชนี MSCI ACWI ตลาดหุ้นทั่วโลก ซึ่งออกแบบมาเพื่อสะท้อนด้านเคลื่อนไหวของราคาตลาดตราสารทุนโดยรวม MSCI ACWI คิดคำนวณโดย Morgan Stanley Capital International (MSCI) และประกอบด้วยหุ้นจากตลาดที่พัฒนาแล้วและตลาดเกิดใหม่ ในสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับตัวขึ้น 1.60% และตั้งแต่ต้นปีดัชนี MSCI ACWI ปรับตัวขึ้นมาแล้วถึง 13.27 YTD

ขณะที่ปัจจัยหนุนในระยะสั้น จะยังคงหนุน Momentum ของตลาดหุ้นโลกต่อไปอย่างน้อย 1 สัปดาห์ได้ จากการที่ธนาคารกลางยุโรป หรือ ECB มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ที่ระดับ 0% พร้อมกับคงอัตราดอกเบี้ย Deposit Facility Rate ที่ระดับติดลบ 0.40% นอกจากนี้ ECB ยังประกาศว่าพร้อมจะออกมาตรการรับมือปัจจัยที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจยูโรโซน และพร้อมที่จะใช้เครื่องมือทั้งหมดที่มีอยู่ เพื่อสร้างความมั่นใจว่าเงินเฟ้อจะยังคงปรับตัวใกล้เป้าหมายของ ECB อย่างมีเสถียรภาพ

หลังจากที่ ECB ได้ทบทวนปรับเพิ่มตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจของยูโรโซน สู่ระดับ 1.2% ในปีนี้ จากเดิมที่คาดการณ์ในเดือน มี.ค. 2562 ที่ระดับ 1.1%

อย่างไรก็ดี ECB ได้ปรับลดตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวในปีหน้า สู่ระดับ 1.4% ในปีนี้ จากเดิมที่ระดับ 1.6% ดี Momentum ในการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นโลกยังคงจะดำเนินต่อไปได้อย่างจริงจังหรือไม่ ขึ้นอยู่กับปัจจัยประกอบการตัดสินใจที่รออยู่จากการประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่ม G20 ที่ประเทศญี่ปุ่นในวันที่ 28-29 มิ.ย.2562 ซึ่งคาดว่าประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ และประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ของจีน จะพบปะกันนอกรอบการประชุมดังกล่าว

โดยความคืบหน้าล่าสุดประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐระบุว่าพร้อมจะเก็บภาษีลงโทษรอบใหม่ต่อสินค้านำเข้าจากจีน หากไม่สามารถสร้างความคืบหน้าในการเจรจากับประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ของจีน ณ การประชุมสุดยอด G20 หลังจากที่การเจรจาแก้ปัญหาความขัดแย้งทางการค้าสหรัฐ-จีนในเดือนที่ผ่านมา ณ กรุงวอชิงตัน สิ้นสุดลงโดยไร้ความคืบหน้า ส่งผลให้นักวิเคราะห์หลายคนประเมินว่าการที่สหรัฐได้ระงับการจัดเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากเม็กซิโกจะเป็นปัจจัยบวกเพียงระยะสั้น

ไปต่อได้บนปัจจัยระยะสั้นเท่านั้น : ในส่วนของตลาดหุ้นเอเชีย และตลาดหุ้นไทยในระยะ 1 สัปดาห์ข้างหน้า ที่จะยังคงได้รับปัจจัยหนุนจาก Momentum ของตลาดหุ้นโลก ที่ล่าสุดดัชนี VIX Index ซึ่งเป็นดัชนีที่สะท้อนความผันผวนของนักลงทุนในตลาดของสหรัฐ และยุโรป ที่ปรับตัวลดลง 0.69% และ 8.09% สะท้อนให้เห็นถึงความกลัวของนักลงทุนที่ลดลงแล้ว น่าจะได้รับปัจจัยหนุนจากทิศทางค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลงด้วย โดยที่ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนี US Dollar Index อ่อนค่าลง 0.33% และทิศทางของตลาดหุ้นจีนที่กลับมา Outperform มากที่สุดเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นโลก และเอเชียในสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากที่ธนาคารกลางจีนได้กำหนดอัตราอ้างอิงรายวันสกุลเงินหยวนสูงกว่าคาดการณ์ที่ระดับ 6.8930 ต่อดอลลาร์ ภายหลังจากที่ค่าเงินหยวนเริ่มอ่อนค่าลงในช่วงต้นเดือน พ.ค. 2562 ซึ่งเป็นช่วงที่สงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐตึงเครียดมากยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ธนาคารกลางจีน (PBOC) วางแผนที่จะออกพันธบัตรในฮ่องกง ในช่วงปลายเดือน มิ.ย. 2562 หลังจากที่ได้ออกพันธบัตรไปแล้ว 3 ครั้งนับตั้งแต่เดือน พ.ย.ปีที่แล้ว ซึ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุน Offshore Rate โดยส่งผลให้ค่าเงินหยวนแข็งค่าขึ้นราว 0.33% ขณะที่อัตราเงินเฟ้อของจีนยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในเดือน พ.ค. 2562 โดยดัชนีราคาผู้บริโภคเพิ่มขึ้น 2.7% YoY และ Factory Prices เพิ่มขึ้น 0.6%

ดังนั้นในเชิงของแนวโน้มทางเทคนิคตราบใดที่ SET ยังคงแกว่งตัวเหนือ 1,650 จุดได้ SET ยังคงมีโอกาสแกว่งตัวขึ้นไปทดสอบบริเวณ 1,700 จุดได้ไม่ยาก บนกระแสการเก็งกำไรจากปัจจัยการเมืองภายในประเทศ จากการความเป็นไปได้ที่สูงมากที่จะมีการเข้ามาเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณอย่างเร่งด่วนของคณะรัฐมนตรีชุดใหม่

อย่างไรก็ตาม ในมุมมอง “นายหมูบิน” ทิศทางของตลาดหุ้นไทยที่ยังคงเป็นขาขึ้นในระยะสั้น น่าจะเป็นโอกาสในการขายมากกว่าซื้อ และโอกาสที่ SET จะปรับตัวขึ้นยืนเหนือว่า 1,700 จุดเป็นไปได้ยาก เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยได้ตอบรับปัจจัยบวกจากปัจจัยต่าง โดยเฉพาะปัจจัยบวกจากการเลือกนายกรัฐมนตรี และการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ไปค่อนข้างมากแล้ว

ขณะที่หลังจากนี้คงต้องติดตามความคืบหน้าการจัดตั้งรัฐบาล ขณะที่มีเงินลงทุนจากต่างชาติไหลเข้าตั้งแต่ช่วงปลายเดือน พ.ค. 2562 อย่างต่อเนื่อง แต่ก็เริ่มเห็นการชะลอการซื้อลงแล้วต่อเนื่องจากสัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่บริเวณ 1,700 จุด ปัจจุบันเป็นบริเวณเส้น Uptrend Line เดิม ที่ SET หลุดลงมาจนเกิดการเปลี่ยนแนวโน้มจากขึ้นเป็นลงในรอบที่ผ่านมาตั้งแต่ 9 พ.ค. 2562 ซึ่งในเบื้องต้นถ้า SET ไม่สามารถทะลุผ่านขึ้นไปได้ และถอยตัวลงมาอีกครั้ง จะเกิดสัญญาณ “แตะกันเท่ากับตัดกัน” และเป็นสัญญาณขายอีกครั้ง

ในส่วนของกลยุทธ์ สำหรับการลงทุนระยะสั้น (ไม่เกิน 1 สัปดาห์) ใช้โอกาสที่ SET ดีดตัวขึ้นไม่ผ่าน 1,700 (+/-5) จุด เป็นโอกาสในการ “ขายทำกำไร” ในลักษณะ “Short-Against” ไปรอ “เข้าซื้อสะสม” ในหุ้น PTTGC, PTTEP, BCP, EGCO, TISCO, SCC, HMPRO, AOT และ ADVANC อีกครั้ง สำหรับการลงทุนระยะกลาง (1-3 เดือน) ในลักษณะ Long-Only แนะนำ “คงสัดส่วนการลงทุนในหุ้นที่ระดับ 75% ของพอร์ต”

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ความเห็นส่วนตัวของผมนะครับ โปรดใช้วิจารณญาณ และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนการตัดสินใจลงทุนด้วยครับ สำหรับการพูดคุยกันระหว่างสัปดาห์นอกจากทาง Facebook ที่ www.facebook.com/wealthhuntersclub และ e-mail ที่ moobin.stockmania@gmail.com แล้ว แฟนๆยังสามารถติดตามมุมมองเกี่ยวกับการลงทุนจาก “นายหมูบิน” ได้ในรายการ ”เซียนเศรษฐกิจ” ทาง FM 97 ทุกวันอาทิตย์ เวลา 15.00-16.00 น.เช่นเดิมครับ

 

ภาพประกอบ : การวิเคราะห์ทิศทางตลาดหุ้นไทยในทางเทคนิครายวัน (Daily)

Source: Wealth Hunters Club

12 views
bottom of page