top of page
312345.jpg

ปรับตัวขึ้นต่อมองเป็นโอกาสขาย


ลุ้นเฟดจะลดดอกเบี้ย !

แนวโน้มของตลาดหุ้นไทยยังคงอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นในระยะสั้นได้ หลังจากที่ได้แรงหนุนจากปัจจัยทั้งใน และนอกประเทศ โดยปัจจัยในประเทศ เป็นผลมาจากการที่ล่าสุดที่ประชุมรัฐสภามีมติเห็นชอบให้ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งคาดว่าจะจัดตั้งรัฐบาลได้ภายในเดือน มิ.ย. 2562 ส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติยังเข้าซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยต่อเนื่องมาตั้งแต่เมื่อวันที่ 28 พ.ค. 2562 มาแล้วมากกว่า 3 หมื่นล้านบาท

ขณะที่ปัจจัยนอกประเทศที่ช่วยหนุนทิศทางของตลาดหุ้นโลก และตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์ที่ผ่านมามาจากเรื่องที่ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ได้ออกมาส่งสัญญาณการ “ปรับลด” อัตราดอกเบี้ยหลังจากที่ตัวเลขเศรษฐกิจชะลอตัวลง โดยเฉพาะในส่วนของตลาดแรงงาน สะท้อนออกมาจากตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน หรือ Initial Jobless Claim ของสหรัฐในสัปดาห์ที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นที่ระดับ 218,000 ราย มากกว่าที่ Consensus คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 215,000 ราย สอดคล้องกับตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร หรือ ADP Nonfarm Employment ใน พ.ค. 2562 ที่เพิ่มขึ้นเพียง 27,000 ตำแหน่ง ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบกว่า 9 ปี หลังจากเพิ่มขึ้น 271,000 ตำแหน่งในเดือน เม.ย. 2562 และต่ำกว่าที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 173,000 ตำแหน่ง ขณะที่ในส่วนของภาคการผลิตพบว่าดัชนี Manufacturing PMI ของสหรัฐ ปรับตัวลงสู่ระดับ 50.5 ในเดือน พ.ค. 2562 ต่ำกว่าที่คาดว่าจะทรงตัวอยู่ที่ระดับ 50.6 เท่ากับเดือนก่อนหน้า

พร้อมกันกับ ดัชนี ISM Manufacturing PMI ลดลงสู่ระดับ 52.1 ในเดือน พ.ค. 2562 ในทิศทางเดียวกัน ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ ต.ค. 2559 และสวนทางนักวิเคราะห์ที่คาดว่าดัชนีจะขยายตัวสู่ระดับ 53.0 จากระดับ 52.8 ในเดือน เม.ย. 2562 ทั้งนี้จากตัวเลขที่อ่อนแอดังกล่าว จึงเป็นอีกปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดการคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในไม่ช้า สะท้อนออกมาจากการตีความ Fed Fund Futures ที่บ่งชี้ว่ามีโอกาสที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปีนี้อย่างน้อย 1 ครั้งในปีนี้อยู่ที่ 98% เพิ่มขึ้นจาก 91% ในสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่โอกาสปรับลดดอกเบี้ยครั้งที่ 2 และครั้งที่ 3 ในปีนี้ ก็เพิ่มมากขึ้นมากกว่า 84% และ 51% แล้ว ตามลำดับ

นอกจากนี้ประเด็นการค้าระหว่างสหรัฐ และจีน ส่งผลให้ล่าสุด Morgan Stanley หรือ MS มองว่า

โอกาสที่จะเกิดภาวะ Recession ในสหรัฐได้ภายใน 9 เดือน หากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์กำหนดอัตราภาษี 25% จากการส่งออกของจีนเพิ่มอีก 300,000 ล้านดอลลาร์ และจีนใช้มาตรการตอบโต้

Morgan Stanley กล่าวว่าตลาดกำลังประเมินผลกระทบของความตึงเครียดทางการค้าต่ำเกินไป รวมถึงคาดว่าหากความขัดแย้งยังคงดำเนินต่อไปการเติบโตจะยิ่งชะลอตัว เนื่องจากต้นทุนเพิ่มขึ้น ความต้องการของลูกค้าลดลง และบริษัทต่างๆจะต้องลด Capital spending ลง สอดคล้องกับการที่ JP Morgan Chase & Co. ประเมินความน่าจะเป็นของ Recession ของสหรัฐอเมริกาในช่วงครึ่งหลังของปี 2562 เพิ่มขึ้นเป็น 40% จาก 25% ในเดือนที่ผ่านมา

เหนือ 1,700 จุดดูยากมากที่จะไปต่อ : ในมุมมอง “นายหมูบิน” ทิศทางของตลาดหุ้นไทยที่ยังคงเป็นขาขึ้นในระยะสั้น น่าจะเป็นโอกาสในการขายมากกว่าซื้อ และโอกาสที่ SET จะปรับตัวขึ้นยืนเหนือว่า 1,700 จุดเป็นไปได้ยาก เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยได้ตอบรับปัจจัยบวกจากปัจจัยต่าง โดยเฉพาะปัจจัยบวกจากการเลือกนายกรัฐมนตรี และการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ไปค่อนข้างมากแล้ว ซึ่งหลังจากนี้คงต้องติดตามความคืบหน้าการจัดตั้งรัฐบาล ขณะที่มีเงินลงทุนจากต่างชาติไหลเข้าตั้งแต่ช่วงปลายเดือน พ.ค. 2562 อย่างต่อเนื่อง แต่ก็เริ่มเห็นการชะลอการซื้อลงแล้วในช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา บนปัจจัยลบจริงๆ จากแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่ไม่ร้อนแรงดังที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ได้ประเมินไว้

โดยที่ล่าสุดธนาคารโลก หรือ World Bank ได้ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปี 2562 ลงสู่ระดับ 2.6% ซึ่งลดลง 0.3% จากที่คาดการณ์ไว้ในเดือน ม.ค. 2562 ว่าเศรษฐกิจโลกจะขยายตัว 2.9% เนื่องจากผลกระทบของข้อพิพาทการค้าระหว่างสหรัฐ และจีน, ภาวะตึงตัวด้านการเงินที่เกิดขึ้นทั่วโลก และการชะลอตัวของเศรษฐกิจในประเทศขนาดใหญ่

นอกจากนี้กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF ได้ปรับคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจจีนในปี 2562 และ 2563 จะอยู่ที่ 6.2% และ 6.0% ตามลำดับ ซึ่งเป็นการตอกย้ำการหดตัวของเศรษฐกิจจีน จากมาตรการการปรับขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจีนโดยสหรัฐมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ ขณะที่ Goldman Sachs Group Inc. ได้ออกมาระบุว่าหากสหรัฐกำหนดอัตราภาษี 10% สำหรับการนำเข้ามูลค่า 300,000 ล้านเหรียญสหรัฐที่เหลือจากจีน และสินค้าจากเม็กซิโกทั้งหมด จะส่งผลให้มีการปรับลดการคาดการณ์การเติบโตในช่วงครึ่งปีหลังของสหรัฐเหลือเพียง 1.5-2 %

รวมถึงคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง ขณะที่ผลสำรวจความเชื่อมั่นของนักลงทุนสหรัฐจาก AAII ที่ระบุว่าในสัปดาห์ที่ผ่านมา สัดส่วนนักลงทุนที่เชื่อว่าตลาดหุ้นสหรัฐในระยะ 6 เดือนข้างหน้ายังคงเป็นขาขึ้น หรือ Bullish ลดลง 2.30% เมื่อเทียบจากสัปดาห์ที่ผ่านมามาอยู่ที่ 22.50% ลดลงต่ำกว่าสัดส่วนนักลงทุนที่เชื่อว่าตลาดหุ้นสหรัฐในระยะ 6 เดือนข้างหน้ากำลังกลับเป็นขาลง หรือ Bearish ที่เพิ่มขึ้น 2.50% เมื่อเทียบจากสัปดาห์ที่ผ่านมา มาอยู่ที่ 42.60%

ในส่วนของกลยุทธ์ สำหรับการลงทุนระยะสั้น (ไม่เกิน 1 สัปดาห์) ใช้โอกาสที่ SET ดีดตัวขึ้นไม่ผ่าน 1,700 (+/-5) จุด เป็นโอกาสในการ “ขายทำกำไร” ในลักษณะ “Short-Against” ไปรอ “เข้าซื้อสะสม” ในหุ้น PTTGC, PTTEP, BCP, EGCO, TISCO, SCC, HMPRO, AOT และ ADVANC อีกครั้ง สำหรับการลงทุนระยะกลาง (1-3 เดือน) ในลักษณะ Long-Only แนะนำ “คงสัดส่วนการลงทุนในหุ้นที่ระดับ 75% ของพอร์ต”

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ความเห็นส่วนตัวของผมนะครับ โปรดใช้วิจารณญาณ และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนการตัดสินใจลงทุนด้วยครับ สำหรับการพูดคุยกันระหว่างสัปดาห์นอกจากทาง Facebook ที่ www.facebook.com/wealthhuntersclub และ e-mail ที่ moobin.stockmania@gmail.com แล้ว แฟนๆยังสามารถติดตามมุมมองเกี่ยวกับการลงทุนจาก “นายหมูบิน” ได้ในรายการ ”เซียนเศรษฐกิจ” ทาง FM 97 ทุกวันอาทิตย์ เวลา 15.00-16.00 น.เช่นเดิมครับ

 

ภาพประกอบ : การวิเคราะห์ทิศทางตลาดหุ้นไทยในทางเทคนิครายวัน (Daily)

Source: Wealth Hunters Club

24 views
bottom of page