
มีแต่ปัจจัยลบ !
ในสัปดาห์ที่ผ่านมาตลาดหุ้นโลกในภาพรวมเริ่มมีการพักตัวที่ชัดเจนให้เห็นแล้ว สะท้อนออกมาจากการที่ ดัชนี MSCI ACWI เป็นดัชนีถ่วงน้ำหนักตลาดหุ้นทั่วโลก ซึ่งออกแบบมาเพื่อสะท้อนด้านเคลื่อนไหวของราคาตลาดตราสารทุนโดยรวม MSCI ACWI คิดคำนวณโดย Morgan Stanley Capital International (MSCI) และประกอบด้วยหุ้นจากตลาดที่พัฒนาแล้วและตลาดเกิดใหม่ ที่ในสัปดาห์ที่ผ่านมาปรับตัวลดลงราว 1.12%
ทั้งนี้แม้ว่าตลาดหุ้นโลกจะมีปัจจัยบวกจากความคืบหน้าในการเจรจาสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐมีผลลัพธ์เป็นเชิงบวก โดยที่สหรัฐอาจยกเลิกมาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าเกือบทั้งหมดที่ได้บังคับใช้กับจีนตั้งแต่ปีที่แล้ว และคาดว่าผู้นำของทั้งสองประเทศอาจจะบรรลุข้อตกลงการค้าอย่างสมบูรณ์ในการประชุมวันที่ 27 มี.ค. 2562 ซึ่งการเจรจาในครั้งนี้คาดว่าจะอยู่ในขั้นตอนสุดท้ายของการทำข้อตกลงการค้าแล้ว
นอกจากนี้ตลาดหุ้นจีนยังได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการที่ MSCI ซึ่งเป็นบริษัทจัดทำดัชนีระดับโลก จะเพิ่มน้ำหนักของหุ้นจีนเป็น 4 เท่าในการคำนวณดัชนีหุ้นโลกในปลายปีนี้ด้วย
อย่างไรก็ดีตลาดหุ้นโลกดูเหมือนจะไม่ให้น้ำหนักกับประเด็นดังกล่าวมานัก แต่กลับไปให้น้ำหนักกับปัจจัยลบอีกปัจจัยของจีนมากกว่า โดยเฉพาะกรณีที่รัฐบาลจีนประมาณการอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือ GDP ในปีนี้ไว้ที่ 6.0-6.5% ซึ่งถือว่าต่ำที่สุดในรอบหลายปี ซึ่งยิ่งเป็นการตอกย้ำถึงการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน
นอกจากนี้ยอดส่งออกในเดือน ก.พ. 2562 ของจีนลดลงถึง 20.7% ขณะที่ยอดนำเข้าลดลง 5.2% ส่งผลให้มูลค่าการค้าต่างประเทศของจีนในเดือน ก.พ. 2562 ลดลง 13.5% นอกจากนี้ตลาดหุ้นโลกยังคงได้รับปัจจัยกดดันจากฝั่งของยุโรปด้วย หลังจากที่ล่าสุดธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ที่ระดับ 0% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ตลาดกังวลในปัจจุบัน หลังจากตอนแรกมีการคาดการณ์ไว้ว่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในฤดูร้อนปีนี้ แต่ตลาดมองว่าการทำนโยบายในครั้งนี้อาจจะเป็นการประวิงเวลาในการขึ้นดอกเบี้ยจนถึง มิ.ย. 2563 หลังจากที่ธนาคารกลางยุโรปปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจยูโรโซนในปีนี้ สู่ระดับ 1.1% จากเดิมที่คาดการณ์ในเดือน ธ.ค. 2561 ว่าจะขยายตัว 1.7% ส่งผลให้ตลาดหุ้นยุโรปได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ สกุลเงินยูโรอ่อนค่าลงมากที่สุดในรอบ 2 ปีนับตั้งแต่ปี 2559
ในอีกด้านหนึ่ง หากมาดูที่ตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐ จะพบว่าเป็นไปในลักษณะเชิงลบช่นเดียวกัน โดยเฉพาะตัวเลข Markit Composite PMI และ Service PMI มีค่า 55.5 และ 56.0 ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดที่ 55.8และ 56.2 ตามลำดับ
ทั้งนี้ปัจจัยดังกล่าวที่กล่าวมา สอดคล้องกับตัวเลขในเชิง Tactical อย่างดัชนี VIX Index ซึ่งมีค่าสถิติความสัมพันธ์เป็นลบกับทิศทางของตลาดหุ้น โดยที่ในสัปดาห์ที่ผ่านมาดัชนี VIX Index ของสหรัฐ และยุโรป ปรับตัวขึ้น 12. 25% และ 2.06% ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางของดัชนี MSCI ACWI โดยปัจจุบันดัชนี VIX Index ของสหรัฐ และยุโรปยังคงเคลื่อนไหวอยู่สูงกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 25 วัน (SMA 25) สะท้อน Momentum การพักตัวของตลาดหุ้นสหรัฐ และยุโรปในระยะ 2-3 สัปดาห์เป็นอย่างดี
ความสามารถในการทำกำไรลดต่ำลง : ขณะที่มูลค่าการซื้อขายของนักลงทุนต่างชาติในกลุ่ม Emerging Market หรือ EM ในสัปดาห์ที่ผ่านมา พบว่าตลาดหุ้นไทยมีเงินทุนของนักลงทุนต่างชาติไหลออก 205.95 ล้านดอลลาร์ โดยในสัปดาห์ที่ผ่านมาจะพบว่าเงินทุนของนักลงทุนในกลุ่ม Emerging Market หรือ EM เป็นลักษณะไหลออก สอดคล้องกับปัจจัยในเชิงพื้นฐาน ตามรายงานของ Morgan Stanley หรือ EM ที่ระบุว่ากำไรของบริษัทในตลาดหุ้นกลุ่ม EM ในไตรมาส 4 ปีที่ผ่านมา ถูกรายงานออกมาต่ำกว่าที่ Consensus คาด หรือมี Negative Earnings Surprise ราว 3.9%
ขณะที่กำไรของบริษัทในตลาดหุ้นกลุ่ม Asia ex Japan ในไตรมาส 4 ปีที่ผ่านมา ถูกรายงานออกมาต่ำกว่าที่ Consensus คาด หรือมี Negative Earnings Surprise ราว 4.6% โดยที่ในจำนวนดังกล่าวตลาดหุ้นไทยมีระดับ Negative Earnings Surprise สูงที่สุดเป็นอันดับที่ 2 ในกลุ่ม Top 10 ของเอเชียที่ราว 13.0% เป็นรองเพียงตลาดหุ้นเกาหลีใต้ที่ระดับ 16.4% เท่านั้น ขณะที่เมื่อไปพิจารณาแนวโน้มของกำไรในปี 2562 พบว่าในสัปดาห์ที่ผ่านมา Bloomberg Consensus ได้ปรับประมาณการการขยายตัวของกำไรสุทธิตลาดหุ้นโลกลงเกือบทั้งหมด โดยที่ในส่วนของกำไรของตลาดหุ้นโลกถูกปรับประมาณการการขยายตัวของกำไรสุทธิลด 0.51% สู่ระดับ 10.3% ขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐถูกปรับลง 0.05% สู่ระดับ 9.9%, ตลาดหุ้นญี่ปุ่นถูกปรับลง 0.54% สู่ระดับ 3.6% และตลาดหุ้นไทยถูกปรับลง 0.21% สู่ระดับ 12.8%
ในส่วนของกลยุทธ์ สำหรับการลงทุนระยะสั้น (ไม่เกิน 1 สัปดาห์) ใช้โอกาสที่ SET ดีดตัวขึ้นไม่ผ่าน 1,670 (+/-5) จุด เป็นโอกาสในการ “ขายทำกำไร” ในลักษณะ “Short-Against” ไปรอ “เข้าซื้อสะสม” ในหุ้น PTTGC, PTTEP, BCP, EGCO,TISCO, SCC, HMPRO, AOT และ ADVANC อีกครั้ง สำหรับการลงทุนระยะกลาง (1-3 เดือน) ในลักษณะ Long-Only แนะนำ “คงสัดส่วนการลงทุนในหุ้นที่ระดับ 75% ของพอร์ต”
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ความเห็นส่วนตัวของผมนะครับ โปรดใช้วิจารณญาณ และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนการตัดสินใจลงทุนด้วยครับ สำหรับการพูดคุยกันระหว่างสัปดาห์นอกจากทาง Facebook ที่ www.facebook.com/wealthhuntersclub และ e-mail ที่ moobin.stockmania@gmail.com แล้ว แฟนๆ ยังสามารถติดตามมุมมองเกี่ยวกับการลงทุนจาก “นายหมูบิน” ได้ในรายการ ”เซียนเศรษฐกิจ” ทาง FM 101 ทุกวันอาทิตย์ เวลา 10.00-12.00 น.เช่นเดิมครับ
ภาพประกอบ : การวิเคราะห์ทิศทางตลาดหุ้นไทยในทางเทคนิครายวัน (Daily)

Source: Wealth Hunters Club