Interview: ศ.ดร.ตีรณ พงศ์มฆพัฒน์
นักเศรษฐศาสตร์ชั้นนำไทยมองปี 2562 โลกมีความเสี่ยง ความไม่แน่เพิ่มมากขึ้น จากปัจจัยการเมืองความขัดแย้งและปัจจัยเศรษฐกิจถดถอย ภูมิภาคเอเชียน่าห่วงสุด ได้รับผลกระทบแรงจากเศรษฐกิจจีน โตช้าลง/ค่าเงินหยวนตกลงไปเยอะ ขณะที่ค่าเงินบาทแข็งสวนทาง กลายเป็นชาติน่าเป็นห่วง เตือนปีใหม่ 2562 เป็นปีที่ยากลำบากทั้งการเมือง/เศรษฐกิจ ส่งผลกระทบต่อการเมือง/เศรษฐกิจ/การลงทุน การจัดทำงบต่างๆ ต้องใช้ความระมัดระวังเพราะเศรษฐกิจไทยโตไม่ถึง 4% ชี้ชีวิตความเป็นอยู่ชาวบ้านคนส่วนใหญ่จะหนักกว่าปีที่แล้ว เพราะไม่มีกลไกรัฐมาช่วยได้หรือช่วยได้มากไปกว่าแค่ให้อาคม ไม่ได้ช่วยให้หายป่วยจากการเจ็บไข้แต่อย่างใด
ปีใหม่ 2562 นี้โลกกับเศรษฐกิจโดยรวมเป็นอย่างไร
ความเสี่ยง...ความไม่แน่นอนมีมากขึ้นเรื่อยๆ สิ่งที่น่าเป็นห่วงมากที่สุด คือ ความขัดแย้งทางเศรษฐกิจและการค้าสหรัฐและจีน แม้ว่าขณะนี้ดูผ่อนคลายบ้างแต่ภาพโดยทั่วไปมองว่าเป็นช่วงระยะสั้นเท่านั้นคงไม่กี่ไตรมาส แต่ได้หลายไตรมาสก็ดีแล้ว กลัวว่าจะมีปัญหาต่อไปหลังจากเดือนมีนาคมค่อยคุยกัน แต่โอกาสที่จะเลื่อนไปมีสูงแต่ทั้ง 2 ฝ่ายอยากให้เบาบางลง
ทุกวันนี้กระทบตลาดทุนค่อนข้างมากทั้ง 2 ประเทศ ทางทรัมป์คงรู้สึกอย่างนั้นเหมือนกันแต่ขณะนี้ท่าทียังออกมาในระดับของคนที่ต่ำกว่าทรัมป์อยู่ ซึ่งก็ยังขัดแย้งอยู่ระหว่างทางการค้า ทางคลังมองว่าน่าจะผ่อนคลายลงแต่ทางการค้าบอกไม่ได้ต้องเข้มขึ้น แต่ทรัมป์ยังไม่บอกอะไร ถ้าคิดว่าสบายใจทรัมป์คงอยากให้ไม่ผันผวนมากนักเพราะถ้าสถานการณ์ผันผวนมากก็กระทบฐานเสียงของประธานาธิบดีทรัมป์ ตรงนี้ก็เป็นปัจจัยที่ใหญ่สุด ส่วนอื่นคงไม่น่ากังวลมากเท่าไหร่ แต่ก็ยังเป็นสภาพความไม่แน่นอนค่อนข้างเยอะ แกว่งไปแกว่งมาแบบนี้ไปเรื่อยๆ
อย่างท่าทีของเฟดที่ออกมาอย่างเรื่องดอกเบี้ยปีนี้จะไม่แรงเท่าปีที่แล้ว
ก็เบาลงจริงๆ คิดว่ามีการคุยกันในระดับล่างกับเจ้าหน้าที่ ถึงแม้ทรัมป์และพาวเวลอาจจะไม่ได้เจอกัน แต่ระดับล่างอาจจะมีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นต่างๆ คงจะพยายามปรับให้เข้ากับกระแสตลาดมากขึ้น คิดว่าโดยทั่วไปคงปรับลงมาไม่มาก จากที่คาดคะเน 3 ครั้งในปีนี้ก็จะเหลือแค่ 2 ครั้ง เพราะว่าที่ผ่านมาเฟดอาจจะพลาดที่ไปขึ้นครั้งที่ 4 ที่ผ่านมา ถ้าขึ้น 3 ครั้งแรงกดดันก็จะน้อย พอขึ้นครั้งที่ 4 ก็สร้างกระแสกดดันค่อนข้างเยอะในปี 2018
และกรณีที่เกิดเรื่องหัวเหว่ยเป็นตัวสำคัญที่ทำให้การประเมิณสภาพตลาดเปลี่ยนแปลงไปมาก จากเดิมที่คิดว่าสหรัฐจะชนะแบบใสสะอาดอย่างรวดเร็วกลายเป็นไม่ง่ายแล้วและเริ่มบานปลาย เพราะฉะนั้นตลาดหุ้นต่างๆในสหรัฐ ก็ลงรุนแรงมากตั้งแต่เรื่องหัวเหว่ย หลังจากนั้นก็สร้างสภาพมาไม่ดีนักในสหรัฐ สนามบินคนก็น้อยลงเพราะเหตุผลนี้ ถ้าจะสามารถฟื้นขึ้นมาในตลาดหุ้นก็จะต้องสร้างความเชื่อมั่น
คิดว่าทรัมป์คงอยากให้หุ้นกลับมาขึ้นใหม่ ทีมงานคงคิดวิธีให้หุ้นสหรัฐขึ้นมาในอีกระดับไม่ให้ลงไปแรง
Government shutdown จะมีผลต่อเศรษฐกิจไหม
ก็มีผลพอสมควร เพราะตัวเลขเศรษฐกิจต่างๆ ออกไม่ได้ การทำงานของเจ้าหน้าที่ก็ลำบากขึ้น ครั้งนี้ก็เป็นครั้งที่ยาวกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา ที่ผ่านมามากที่สุดก็ 20-21 วัน ขณะนี้ก็ไปกว่า 20 วัน ทางคณะทรัมป์ก็เป็นคนที่แนวเล่นกีฬาจัดมวยต่างๆ เป็นแนว Fighter ในวงการ จัดประกวดนางงาม เขาไปอยู่ในแวดวงแบบนั้นมากกว่าอยู่แวดวงของธุรกิจด้านการผลิต ก็เป็นลักษณะว่าพยายามคาดคะเนเกทับก็อาจจะไม่ยอมง่ายๆ พอจะยืดไปก็จะกระทบความไม่มั่นใจในระดับหนึ่ง
ก็เป็นหนึ่งเหคุผลที่ทำให้สหรัฐต้องยอมเจรจากับจีนผ่อนเบาขึ้น เช่น ภาษีที่จะเก็บเพิ่มก็ต้องชะลอออกไป อาจจะเลื่อนแบบไม่มีกำหนดหรือไม่ก็อาจจะเป็นแบบนั้น ถ้าเป็นแบบนี้ภาวะตลาดหุ้นก็อาจจะปรับดีขึ้นมาหน่อย แต่ก็อาจจะเป็นช่วงสั้นๆ เพราะความขัดแย้งของสหรัฐและจีนไม่ได้จำกัดแค่ภาษีศุลกากรหรือเรื่องการค้าเท่านั้น ยังรวมถึงผลประโยชน์ต่างๆที่อยู่ในเอเชียตะวันออกฉียงใต้ อย่างในทะเลจีนใต้เป็นที่ทราบดีเริ่มตึงเครียด
ในแง่ของคนที่ดูเรื่องการลงทุนต่างๆ อย่านิ่งนอนใจอย่าไปมองว่าสถานการณ์ดูได้เฉพาะการค้าอย่างเดียว จุดที่มีการสร้างความขัดแย้งต่างๆ ไม่ได้จำกัดเฉพาะการค้าเท่านั้นสามารถบานปลายเรื่องอื่นได้ ขณะนี้เบานิดหน่อยตั้งแต่ปลายปีเพราะทางสหรัฐ มีท่าทีอยากให้หุ้นสหรัฐขึ้น ของเอเชียไม่เป็นไรแต่ของสหรัฐ ลง เพราะทำให้ทางทีมของทรัมป์กังวล ต้องมีทีมพิเศษมาดูว่าทำอย่างไรถึงจะสร้างความเชื่อมั่นให้ดีขึ้น
ดีไม่ดีกลายเป็นว่าทรัมป์อาจต้องไปซะก่อน...เป็นไปได้ไหม
อาจจะแพ้เลือกตั้ง แต่ฐานเสียงของทรัมป์ยังมั่นคง คนที่เลือกทรัมป์ก็ยังนิยมอยู่เพราะรู้สึกว่าทรัมป์ดีกว่านักการเมืองทั่วไปที่ไม่ทำอะไรเลย มีบทบาท เป็นคนตัดสินใจดีกว่าแบบโอบาม่าที่มีแต่วาทะกรรม รู้สึกว่าทำอะไรให้เขา เพราะฉะนั้นคนที่อยู่ในแนวชาตินิยมก็ต้องรักษาทรัมป์ไว้
เขาจะประสบความสำเร็จไหมในการทำให้หุ้นขึ้น
คิดว่าหุ้นก็ขึ้นมาพอสมควร แต่จะทำได้มากน้อยแค่ไหน คิดว่ายากที่จะขึ้นไปที่ไฮเดิม คิดว่าขึ้นไปครึ่งหนึ่งก็เข้าเป้าแล้ว อย่าให้มันลงมากเหมือนที่ผ่านมา ลงเดือนเดียวกว่า 10% ลงเหมือนเศรษฐกิจเจอวิกฤต เขารู้ว่าอันนี้ไม่มีผลดีต่อฐานเสียงของเขา พยายามปรับขึ้นมา
แต่เราก็ควรระมัดระวังก็อย่าเข้าไป ถ้าเข้าไปเราก็ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไรเพราะว่าจีนจะมีลักษณะคล้ายกัน คือ ไม่ยอมแน่ๆ เป็นลูกไล่ของสหรัฐ การเข้าไปอยู่ในวงเจรจาของสหรัฐ เป็นการบีบให้จีนเข้าไปอยู่ภายใต้การเป็นอาณัตินิคมให้กับสหรัฐ เพราะฉะนั้นจีนท่าทีไม่ยอมเพียงแต่สิ่งที่อ่านยาก คือ ขณะนี้อำนาจของจีนไปอยู่ที่สี จิ้นผิงคนเดียว ซึ่งอันนี้ก็จะเป็นจุดอ่อนด้วยไม่ใช่แค่จุดแข็ง
หมายความว่าการตัดสินใจขึ้นอยู่กับคนๆเดียว เหมือนกับสหรัฐ ขณะนี้อ่อนแอเพราะขึ้นอยู่กับทรัมป์คนเดียว ก็เป็นดาบ 2 คม ไม่สามารถประเมินได้ว่าถึงเวลาสี จิ้นผิงจะตามคณะกรรมพรรคอมมิวนิสต์หรือไม่ หรือจะตัดสินใจเองแล้วพรรคมคอมมิวนิสต์จะต้องทำตามสี จิ้นผิง
ตั้งแต่ปีใหม่มาทีท่าจีนจะอ่อนข้อให้สหรัฐอเมริกาใช่ไหม
โดยพื้นฐานแล้ว...ไม่ เพราะว่าจีนมีประสบการณ์ด้านการต่างประเทศกับทุนนิยมมานาน เขาจะไม่ยอมในเรื่องสิทธิต่างๆของจีน จะเห็นว่าในขณะนี้จีนรู้แล้วว่าแรงกดดันของสหรัฐ มาที่ทะเลจีนใต้ จีนก็รับน้ำหนักเร็วกว่ากำหนดไม่ต้องรอให้สหรัฐบุก จีนต้องรับการรุกใหม่ด้วยการพูดถึงกรณีที่ยอมไม่ได้ที่ไต้หวันจะเป็นอิสระออกไป ต้องกลับเข้ามาเป็นจีนเดียว ก็เป็นการเปิดเกมรับไม่ใช่เปิดเกมรุก รับล่วงหน้าก่อนที่ทรัมป์จะเปิดเกมเร็ว เพราะฉะนั้นก็คือทันกัน การทำแบบนี้ทำให้สหรัฐหาเหตุที่จะเข้าไปวุ่นวายในทะเลจีนใต้ลำบากขึ้น เพราะจีนได้เปิดประเด็นไปแล้วว่าไต้หวันเป็นของจีน ไต้หวันไม่ใช้ประเทศเอกราช
กรณีที่ทรัมป์จะเจอกับคิมยังมีอิทธิพลไหม
ก็มีผลเพราะว่ามีเรื่องของการสร้างเซนติเมนต์ของตลาด แต่โดยพื้นฐานคิดว่าทางเกาหลีเหนือและจีนเป็นพันธมิตรกันอยู่แล้ว ที่ผ่านมาสหรัฐไม่สามารถโจมตีหรือชะงักโจมตีเกาหลีเหนือก็เป็นที่จีน และจีนก็ประสบความสำเร็จในการซื้อเวลาให้กับเกาหลีเหนือ เพราะฉะนั้นทำให้สหรัฐจำเป็นต้องรับสภาพยอมรับตัวเองชั่วคราวไปก่อน เพราะถือว่าเป็นเกมเล็กแล้วหันไปเล่นเกมใหญ่กับจีนแทน ตอนนั้นยังญาติดีกับจีนคุยกับจีนให้ช่วยหน่อย จีนก็บอกว่าให้ไปคุยในระดับโลก คิดว่าจีนกับเกาหลีเหนือยังไงก็ถือเป็นพันธมิตรมานาน โอกาสที่สหรัฐจะกลืนจีนไม่ง่าย และยังมีรัสเซียที่คอยสร้างความปั่นป่วนสหรัฐที่ไม่หมู และเราต้องระวังเป็นหมูเหมือนกัน เราเป็นประเทศเล็กพยายามหลบ
ไม่ต้องมาประชุมซัมมิทสหรัฐ-เกาหลีเหนือที่เมืองไทยก็ได้
ใช่ ไม่ต้องยุ่งมาก ประเทศที่มีอำนาจมากๆ อย่าใกล้ สหรัฐอย่าไปใกล้ชิดมาก
ปัญหา Brexit ขณะนี้ จะส่งผลกระทบต่อโลกมากน้อยแค่ไหน
ความจริงก็ส่งผลไปมากแล้ว ตอนนี้เข้าไปอยู่ในระดับที่ว่าจะเป็น Brexit มากน้อยแค่ไหน โอกาสมากสุดเป็นแบบออกไปบางๆ ขณะนี้อยู่ในขั้นการต่อรอง โอกาสที่มากที่สุด คือ การเลื่อนเวลาในการเจรจาต่อรองกับ EU เพื่อออกไปมากขึ้น โอกาสที่จะเข้าไปรบกับ EU น้อย
ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับนายกรัฐมนตรีเมย์มี 2 ส่วน ส่วนหนึ่งอยากออกจริงๆเลย แต่อีกส่วนไม่อยากออกเลย ส่วนนี้อยากจะให้กลับไปทำประชามติใหม่ เชื่อว่าประชามติใหม่คนอังกฤษหันกลับมาไม่ออกจาก Brexit แต่ว่ากลุ่มที่ทำ Brexit ตอนนี้เป็นกลุ่มที่ใจไม่อยากได้ Brexit แต่อีกใจต้องทำตามประชามติที่กำหนดไปแล้ว ไม่อยากทำประชามติใหม่ คนกลุ่มนี้คิดว่าถ้ารวมแล้วน่าจะทำให้เกิด Brexit อยู่ดี
โอกาสทำประชามติใหม่คิดว่าไม่ง่าย
ตอนนี้ทั้งส.ส.ฝ่ายค้านและรัฐบาลอีกส่วนหนึ่งไปชุมนุม ชูสโลแกนออกเป็นออก
ใช่ เป็นการต่อรองกับ EU แต่ EU ก็ทำได้ไม่มากเพราะว่าถ้าจะให้เยอะเดี๋ยวคนอื่นเรียกบ้าง เขาก็ยังมีอีกหลายประเทศ ก็เป็นบทเรียนของประเทศรวมกลุ่มเศรษฐกิจว่าการรวมตัวสิ่งที่ดีมันได้แค่ระดับหนึ่ง ถ้าทำแบบประเทศเดียวคงทำได้ยาก จะไปทำแบบสหรัฐคงทำได้ยาก ความจริงทำแค่ยูเนี่ยนถือว่าเก่งแล้ว แต่พอทำแบบสกุลตราเงินเดียวไม่ง่ายแล้ว เวลาเกิดปัญหาขึ้นมาแก้ปัญหาภายในยากของแต่ละประเทศ
ก็เป็นบทเรียนเมื่อเข้าไปง่ายแต่ออกยาก ตอนเข้าสบายใจแต่ตอนออกยุ่งยาก
แต่ละประเทศก็มีความแตกต่างกันเยอะในสังคม มีคนสูงบ้างเตี้ยบ้างตัวใหญ่บ้าง
คนนี้ถนัดซ้าย คนนี้ถนัดขวา คนนี้มีสภาพคล่องเยอะ คนนี้ไม่มีสภาพคล่องเลย มันจะไปอยู่โดยใช้เงินตราสกุลเดียวเป็นเรื่องที่กำหนดตัวเองการเมืองมากกว่าเศรษฐกิจ เศรษฐกิจยังไม่ฮาร์ดคอร์ที่จะเป็น Single Europe เหตุผลทางการเมืองเท่านั้นที่ทำให้ไปถึงจุดนั้น
คิดว่า Brexit มาถึงจุดที่รออีกไม่กี่เดือนเริ่มเห็นภาพชัดและจะออกในระดับไม่เป็น Custom Union
Brexit 29 มีนาคม จะมีผลกระทบต่อไทยไหม
ก็ไม่มาก ไม่มีอะไร ขณะนี้ยุโรปไม่ใช่แหล่งการส่งออกหลักของไทย ที่น่าห่วงที่สุดเป็นจีนมากกว่า ถ้าจีน Slowdown มากๆ ก็จะกระทบเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้ก็ต้องเฝ้าดู สหรัฐคงไม่มีวิกฤตหรือไม่มีถดถอยคงแค่โตช้าหน่อย 2% เมื่อเทียบกับ 3% ที่คิดไว้ ของสหรัฐยังพอไปได้อยู่ แต่ของเอเชียน่าเป็นห่วงตรงที่จีนอาจจะโตช้าลง และค่าเงินจีนก็ตกลงไปมากตรงนี้ทำให้ประเทศที่ค่าเงินแข็งอย่างไทยน่าเป็นห่วง
ไทยจะเป็นอย่างไรนับจากนี้
ปีนี้เป็นปีที่ลำบากทั้งเศรษฐกิจและการเมือง
คิดว่าตัวเลขเศรษฐกิจเริ่มสะท้อนแล้วว่าไม่ดีอย่างที่คาดคะเนไว้ เดิมที่คิดว่าจีดีพีจะถึง 4.5-4.7% กัน อาจจะแค่ 4.3% ในปีที่ผ่านมา ปีนี้คาดคะเนกันว่าได้ประมาณ 4% เอาเข้าจริงก็อาจจะ 3% กว่าใกล้ 4% ถ้ายิ่งใกล้ 3.5% เท่าไหร่อาการน่าจะเป็นห่วง เศรษฐกิจไทยปีนี้ต้องถือว่าลำบาก
ส่วนการเมืองเหมือนกับว่าถ้าเลือกตั้งก็วุ่นวายไม่เลือกตั้งก็ลำบาก คิดว่ายังไม่ง่ายเหมือนที่คนมองว่าทำอย่างนั้นแล้วจะดีแบบนี้ ความไม่มั่นคงทางการเมือง ความไม่แน่นอนทางการเมือง ความที่เราไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับการเมืองมันจะมาผสมกัน ทำให้การตัดสินใจทางเศรษฐกิจ การเมือง การลงทุน การจัดงบประมาณเพื่อลงทุนก็ต้องระมัดระวังมากๆ
เศรษฐกิจไทยโดยภาพรวมโตไม่มาก คือ ไม่ถึง 4% ส่วนชาวบ้านปีนี้จะหนักกว่าปีที่แล้วเพราะไม่มีกลไกลจากรัฐบาลมาช่วยได้ นโยบายที่รัฐบาลทำมาหลายปีที่ผ่านมาเป็นเพียงการช่วยให้ประเทศหายใจคล่องเท่านั้น เหมือนให้ยาดม เช่น ธุรกิจใหญ่ก็ให้คุณนิดหน่อยให้สบายใจกัน แต่ว่ายาแก้ปวดตรงนี้ไม่สามารถทำให้ประชาชนไม่หายป่วยจากโรค ไม่มีศักยภาพที่ดีขึ้น โอกาสทางการตลาดไม่ได้มีมาก เพราะฉะนั้นตรงนี้เป็นตัวที่คิดว่านโยบายต่างๆของรัฐบาลที่ต้องสังคายนาทั้งระบบ แต่เนื่องจากทุกวันนี้ไม่ทราบว่าเกิดจากอะไร เกิดจากสนใจการเมืองมากกว่าเศรษฐกิจทำให้นโยบายออกมาเป็นชิ้นๆ แบบนี้ ต้องดูว่าในปีนี้จะเกิดอะไรขึ้น
ปีนี้เป็นปีที่มีความไม่แน่นอนทางการเมืองสูง แต่ไม่ได้ความว่าจะร้ายแรง มันไม่แน่นอน คือ ทายไม่ได้ ทายยาก สิ่งที่เกิดขึ้นทางการเมืองข้อมูลที่ประชาชนได้รับไม่รู้เป็นข้อมูลที่ช่วยได้จริงหรือไม่ การตัดสินใจของนักลงทุนโดยเฉพาะตลาดหลักทรัพย์คิดว่าต้องระวังมากๆ อย่าคิดว่าข้อมูลที่ได้หรือเห็นเป็นข้อมูลบอกอะไรเราได้
คนไทยยังไม่มั่นใจ แล้วต่างชาติจะคิดอย่างไร
ต่างประเทศก็จะรู้น้อยกว่าเรา ฉะนั้นเราอย่าเอาต่างประเทศเป็นตัวชี้นำ และต่างประเทศลงทุนเป็นกองทุนเวลาจะซื้อทั้ง Region ก็ซื้อทั้ง Region ไทยก็ติดหางเลขไปด้วย แต่ไม่ได้หมายความว่าเป็นการสะท้อนความมั่นใจ ไม่ใช่ว่าเขามั่นใจแต่เป็นลักษณะการลงทุนที่เปลี่ยนแปลงจากระบบเก่า ตรงนี้เราไม่สามารถเอาตัวเลขนักลงทุนต่างประเทศที่เข้ามาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์เป็นตัวชี้นำได้ ขณะนี้ก็ไม่มีตัวไหนที่ชี้ได้ ข่าวยังไม่ได้คนเขียนข่าวยังไม่กล้าเขียนว่าคิดยังไง เราไปอ่านบทวิเคราะห์ต่างๆ ของตลาดหลักทรัพย์หรือบริษัทหลักทรัพย์ทั้งหลาย
คือมีแต่คำว่าแต่…
ไม่มีใครกล้าพูดจริงๆ มีแต่คนพูดถึงแต่ว่าข่าวพูดแบบนี้แต่ไม่สามารถวิเคราะห์ข่าวได้ เป็นปีที่มีทั้งหมอกฝุ่นและหมอกควัน