ดีแค่สหรัฐ !
ทิศทางของตลาดหุ้นโลกเริ่มเห็นสัญญาณของการพักตัวต่อเนื่องนะครับ ทั้งจากปัจจัยกดดันจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลง และสถานการณ์ความเสี่ยงทางการเมืองในอิตาลีที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น หลังพรรคการเมืองในอิตาลีไม่สามารถร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลได้ ส่งผลให้ในสัปดาห์ที่ผ่านมาดัชนี MSCI ACWI ของตลาดหุ้นโลกเปลี่ยนแปลง -0.16 % WoW โดยที่เมื่อพิจารณาดูในรายภูมิภาคพบว่ามีเพียงตลาดหุ้นสหรัฐเท่านั้นที่ยังคงปรับตัวขึ้นได้ โดยที่ดัชนี S&P 500 เปลี่ยนแปลง +0.55 % WoW ขณะที่ตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี Stoxx 600 เปลี่ยนแปลง -1.05 % WoW , ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ดัชนี TOPIX เปลี่ยนแปลง -2.27 % WoW , ตลาดหุ้นเอเชีย ดัชนี Asia ex-Japan เปลี่ยนแปลง -0.33 % WoW , ตลาดหุ้นจีน ดัชนี CSI300 เปลี่ยนแปลง -1.83 % WoW และตลาดหุ้นไทย ดัชนี SET เปลี่ยนแปลง -1.44 % WoW ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวที่ตลาดหุ้นสหรัฐยังคงดี แต่ตลาดหุ้นอื่นๆสถานการณ์ดูแย่ลง
สอดคล้องกับการที่ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนี VIX US ล่าสุดอยู่ที่ 12.53 เปลี่ยนแปลง -6.70% WoW (YTD +13.50%) โดยปัจจุบัน VIX US ต่ำกว่า SMA25 (14.7) สวนทางกับดัชนี VIX EU ล่าสุด 15.69 เปลี่ยนแปลง +19.91% WoW (YTD +16.13%) โดยปัจจุบัน VIX EU อยู่ สูงกว่า SMA25 (13.6) และดัชนี VIX HK ล่าสุด 17.56 เปลี่ยนแปลง +0.11% WoW (YTD +20.27%) โดยปัจจุบัน VIX HK อยู่ต่ำกว่า SMA25 (17.9) เล็กน้อยเท่านั้น
นอกจากนี้สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นคือในกรณีที่ในสัปดาห์นี้ตลาดหุ้นโลกมีการปรับตัวลงอีก จะเป็นสัญญาณที่ไม่ดี เพราะจะสะท้อนว่านักลงทุนในตลาดหุ้นโลกเริ่มที่จะยอมขายขาดทุน หรือ Cut Loss แล้ว เนื่องจากถ้าไปพิจารณาผลตอบแทนของตลาดหุ้นโลกตั้งแต่ต้นปี 2561 พบว่ามีเพียงตลาดหุ้นสหรัฐเท่านั้นที่ยังคงให้ผลตอบแทนที่เป็นบวกอย่างชัดเจน โดยที่ดัชนี S&P 500 ให้ผลตอบแทน +2.03% ขณะที่ตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี Stoxx 600 ให้ผลตอบแทน -0.35%, ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ดัชนี TOPIX ให้ผลตอบแทน -2.40%, ตลาดหุ้นเอเชีย ดัชนี Asia ex-Japan ให้ผลตอบแทน +0.12%, ตลาดหุ้นจีน ดัชนี CSI300 ให้ผลตอบแทน -4.94% และตลาดหุ้นไทย ดัชนี SET ให้ผลตอบแทน -1.42%
ขณะที่ในทางเทคนิคตราบใดที่ดัชนี SET ยังคงไม่สามารถกลับไปยืนปิดเหนือบริเวณ EMA 200 วันที่ 1,730 จุดได้ ทิศทางของตลาดหุ้นไทยในระยะสั้นยังคงเป็นการพักตัวลง โดยมีเป้าหมายระยะสั้นที่ 1,650 จุด
อาจเป็นแค่การพักระยะสั้นๆ : ในระยะสั้นดูเหมือนว่าทิศทางของตลาดหุ้นโลกอื่นๆจะไม่สามารถสู้กับทิศทางของตลาดหุ้นสหรัฐที่ยังคงมี Momentum ที่ Outperform ต่อเนื่องได้ สะท้อนออกมาจากการที่ในปีนี้ Relative Strength Indicator ของดัชนี S&P500 สหรัฐฯเมื่อเทียบกับดัชนี MSCI ACWI ของตลาดหุ้นโลกยังคง +1.66% YTD ขณะที่ดัชนีเอเชีย (MSCI Asia ex. Japan) -0.32% YTD, ตลาดหุ้นยุโรป (Stoxx600) -0.01% YTD, ตลาดหุ้นญี่ปุ่น (Nikkei225) -1.79% YTD,ตลาดหุ้นจีน (CSI300) -5.39% YTD และตลาดหุ้นไทย (SET) -1.56% YTD) ขณะที่ในสัปดาห์ที่ผ่านมาอัตราผลตอบแทน (Yield) ของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯอายุ 2, 10 ละ 30 ปีลดลง -2.72%, -4.18% และ -3.69% ตามลำดับซึ่งส่งผลให้ Term Spread ทั้งผลต่างของผลตอบแทนจากพันธบัตรอายุ 2 ปี กับ 10 ปี (Short-End Spread) ซึ่งมีความสัมพันธ์ในเชิงลบ หรือ Negative Correlation กับตลาดหุ้นสหรัฐลดลง -6 bps และเป็นปัจจัยบวกกับตลาดหุ้นสหรัฐ
อย่างไรก็ดีเรายังคงคาดหวังในการพักตัวลงในรอบนี้ของตลาดหุ้นโลก และไทยเป็นเพียงแค่การพักตัวลงในระยะสั้นๆได้ เนื่องจากในสัปดาห์ที่ผ่านมา Blomberg Consensus กลับมาปรับประมาณการมุลค่าเหมาะสม หรือ Target Price ของตลาดหุ้นโลกขึ้นอีกครั้ง โดยที่ตลาดหุ้นยุโรป มีการปรับ +0.34% WoW, ตลาดหุ้นจีน มีการปรับ +0.86% WoW, ตลาดหุ้นไทย มีการปรับ +0.31%, ตลาดหุ้นญี่ปุ่น มี การปรับ +0.29% WoW และตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีการปรับ +0.12% WoW ขณะที่ราคาเป้าหมายของทองคำ และน้ำมัน ไม่มีการเปลี่ยนแปลง
ในส่วนของกลยุทธ์ สำหรับการลงทุนระยะสั้น (ไม่เกิน 1 สัปดาห์) : ใช้โอกาสที่ SET ยังคงไม่กลับไปปิดเหนือ 1,850 (+/-5) จุดอีกครั้ง เป็นโอกาสในการ “เข้าซื้อสะสม” ในหุ้น PTTGC, PTTEP, BCP, EGCO,TISCO, SCC, HMPRO, AOT และ ADVANC อีกครั้ง สำหรับการลงทุนระยะกลาง (1-3 เดือน) ในลักษณะ Long-Only แนะนำ “คงสัดส่วนการลงทุนในหุ้นที่ระดับ 75% ของพอร์ต”
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ความเห็นส่วนตัวของผมนะครับ โปรดใช้วิจารณญาณ และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนการตัดสินใจลงทุนด้วยครับ สำหรับการพูดคุยกันระหว่างสัปดาห์นอกจากทาง Facebook ที่ www.facebook.com/wealthhuntersclub และ e-mail ที่ moobin.stockmania@gmail.com แล้ว แฟนๆยังสามารถติดตามมุมมองเกี่ยวกับการลงทุนจาก “นายหมูบิน” ได้ในรายการ ”เซียนเศรษฐกิจ” ทาง FM 101 ทุกวันอาทิตย์ เวลา 10.00-12.00 น. เช่นเดิมครับ
ภาพประกอบ : การวิเคราะห์ทิศทางตลาดหุ้นไทยในทางเทคนิครายวัน (Daily)
Source: Wealth Hunters Club