top of page
312345.jpg

นโยบายภาษีสหรัฐ ทำตลาดหุ้นโลกพักฐานต่อ


ทรัมป์ทำป่วน! ต้องยอมรับว่าถ้าพิจารณาจากปัจจัยทางเทคนิคในระยะสั้นรายสัปดาห์ หรือ Weekly ตลาดหุ้นโลกยังคงตกอยู่ในภาวะของการพักฐานอยู่ หลังจากที่ล่าสุดดัชนี S&P500 ของสหรัฐ, ดัชนี Stoxx50 ของยุโรป และดัชนี NIKKEI ของญี่ปุ่นยังคงแกว่งตัวอยู่ต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ย EMA 25 วันอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ในเชิงของ Momentum การที่ล่าสุด VIX Index ของสหรัฐ และ HSI VIX Index ของฮ่องกงยังคงเคลื่อนไหวอยู่เหนือเส้นค่าเฉลี่ย EMA 25 วัน บ่งบอกให้เห็น Momentum การดีดตัวกลับที่อ่อนแอของตลาดหุ้นโลก และภูมิภาคอย่างชัดเจน สะท้อนออกมาจากการวิเคราะห์ในเชิงเปรียบเทียบ หรือ Comparison Analysis กับสินทรัพย์เสี่ยงกลุ่มอื่นๆเช่น Soft Commodity, Gold, Oil และ Copper ที่พบว่าตลาดหุ้นโลกในระยะ 1 เดือนข้างหน้ามีโอกาสที่จะมีแนวโน้มที่แย่กว่า หรือ Underperform สินทรัพย์เสี่ยงกลุ่มดังกล่าวข้างต้นขัดเจน

ทิศทางดังกล่าวมีโอกาสที่เพิ่มขึ้นไปอีกในมุมมองของ “นายหมูบิน” เมื่อพิจารณาไปที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐที่กลับมาปรับตัวขึ้นอีกครั้ง และที่แย่ไปกว่านั้นคือเมื่อวิเคราะห์ทิศทางของตลาดหุ้นไทย หรือ SET ในเชิงเปรียบเทียบ หรือ Comparison Analysis เช่นกันกับดัชนี S&P500 ก็พบว่าทิศทางของ SET ในระยะ 1 เดือนข้างหน้ามีโอกาสที่จะมีแนวโน้มที่แย่กว่า หรือ Underperform ตลาดหุ้นสหรัฐในฐานะของตัวแทน หรือ Proxy ของตลาดหุ้นโลกชัดเจน

คำถามคือสถานการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นจากอะไร ซึ่งถ้าไปพิจารณาในเชิงของปัจจัยที่เข้ามากระทบ Sentiment ของตลาดหุ้นโลกในระยะสั้นจริงๆ ก็คงต้องเป็นประเด็นที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐ ออกมาระบุว่ามีนโยบายเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็กในอัตรา 25% และภาษีนำเข้าอะลูมิเนียมในอัตรา 10% ซึ่งจะครอบคลุมถึงญี่ปุ่น และประเทศคู่ค้าหลักๆของสหรัฐ ยกเว้นแคนาดาและเม็กซิโกที่อาจจะได้รับการยกเว้นจากมาตรการดังกล่าว เนื่องจากเขามองว่าการนำเข้าโลหะดังกล่าวส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของสหรัฐ โดยความเคลื่อนไหวดังกล่าวได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก ไม่ว่าจะเป็นจากผู้นำพรรครีพับลิกัน หรือพันธมิตรทางการค้าของสหรัฐอย่างจีน ญี่ปุ่น และสหภาพยุโรป (EU)

ทั้งนี้นโยบายดังกล่าวของผู้นำสหรัฐ ทำให้นักวิเคราะห์ในสหรัฐมองว่าการเรียกเก็บภาษีฝ่ายเดียวอาจทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกต้องหยุดชะงัก และบั่นทอนระบบการค้าโลกที่กำกับดูแลด้วยกฎระเบียบ

นักวิชาการจากสถาบันบรูกคิงส์ ซึ่งเป็นองค์กรด้านนโยบายสาธารณะของสหรัฐ ระบุว่าหากทั่วโลกเกิดสงครามการค้าย่อมๆ จากการปรับขึ้นภาษี 10% แล้ว ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของประเทศส่วนใหญ่ น่าจะปรับตัวลงระหว่าง 1-4.5% โดย GDP สหรัฐน่าจะลดลง 1.3%

นอกจากนี้ หากภาษีถูกปรับขึ้นเป็น 40% เศรษฐกิจโลกก็จะถดถอยในระดับลึก ขณะที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้ออกมาเตือนว่าสหรัฐจะประกาศแผนเก็บภาษีนำเข้านั้น ไม่ได้จะสร้างความเสียหายต่อประเทศอื่นๆเพียงเท่านั้น แต่ยังจะกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐเองด้วย ซึ่งรวมถึงภาคการผลิตและก่อสร้างที่ต้องใช้เหล็กและอลูมิเนียมเป็นจำนวนมาก

ดังนั้นจากผลกระทบที่หนักมากๆอย่างที่ “นายหมูบิน” ได้เล่าให้ฟังนี้ จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมตลาดหุ้นโลกจึงยังคงมีแนวโน้มที่จะผันผวนต่อไปตราบใดที่ยังคงไม่มีความชัดเจนออกมาจากสหรัฐในประเด็นดังกล่าว

ฝรั่งขายต่อ : ความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบด้านลบจากนโยบายเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็ก และภาษีนำเข้าอลูมิเนียมของสหรัฐ ส่งผลให้ผลสำรวจความเชื่อมั่นของนักลงทุนสหรัฐในสัปดาห์ที่ผ่านมาพบว่าสัดส่วนของนักลงทุนที่เชื่อว่าตลาดหุ้นสหรัฐในระยะ 6 เดือนข้างหน้ายังคงเป็นขาขึ้น หรือ Bullish ปรับตัวลดลง 7.4% มาอยู่ที่ 37.3% สวนทางกับสัดส่วนของนักลงทุนที่เชื่อว่าตลาดหุ้นสหรัฐในระยะ 6 เดือนข้างหน้าจะกลับเป็นขาลงแล้ว หรือ Bearish ที่ปรับตัวขึ้น 0.6% มาอยู่ที่ 23.4% ซึ่งสถานการณ์ดูเหมือนจะยิ่งไปกันใหญ่ในมุมมองของ “นายหมูบิน” หลังจากที่ล่าสุดนายแกรี่ โคห์น ได้ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจประจำทำเนียบขาว หลังจากที่ไม่สามารถกล่อมให้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยกเลิกความคิดที่จะเดินหน้าแผนการเรียกเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียมได้

ในส่วนของทิศทางของตลาดหุ้นไทย หรือ SET เองนั้น แนวโน้มการดีดตัวขึ้นยังคงเปราะบาง โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวชองนักลงทุนต่างชาติยังคงเป็นแรงกดดันหลัก เนื่องจากในระยะสั้นยังคงมีแนวโน้มที่นักลงทุนต่างชาติจะยังคงอยู่ในฝั่งขายต่อไป หลังจากที่ล่าสุด Indicator อย่าง MACD ของดัชนี Accumulated Foreign Fund Flow ยังคงมีสัญญาณ “Negative Convergence” ต่ำกว่า Zero-Line สะท้อนให้เห็นว่าโอกาสที่นักลงทุนต่างชาติจะยังคงอยู่ฝั่งขายอย่างต่อเนื่องในระยะ 1-2 สัปดาห์ข้างหน้า โดยที่ปัจจัยสนับสนุนที่ขายของนักลงทุนต่างชาติที่สำคัญมี 2 ประเด็นคือ ในส่วนของทิศทางดอกเบี้ยของสหรัฐ ที่ล่าสุดนายโรเบิร์ต แคปแลน ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาดัลลัส ออกมาสนับสนุนให้เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีนี้ และเฟดควรรีบปรับขึ้น มากกว่าที่จะปล่อยให้ล่าช้าออกไป

ทั้งนี้ล่าสุดจากการใช้เครื่องมือ FedWatch พบว่านักลงทุนคาดการณ์ว่ามีโอกาสมากที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนนี้ ซึ่งเป็นครั้งแรกในปีนี้ และมีโอกาสที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งที่ 2 ในเดือน มิ.ย.2561 และครั้งที่ 3 ในเดือน ก.ย.2561

นอกจากนี้ประเด็นสุดท้ายที่ทำให้ต่างชาติยังคงขายสุทธิออกมาอย่างต่อเนื่องคงหนีไม่พ้นเรื่องความชัดเจนที่การเมืองของไทย โดยเฉพาะประเด็นการเลือกตั้ง

ในส่วนของกลยุทธ์ สำหรับการลงทุนระยะสั้น (ไม่เกิน 1 สัปดาห์) : ใช้โอกาสที่ SET ยังคงไม่กลับไปปิดเหนือ 1,850 (+/-5) จุดอีกครั้ง เป็นโอกาสในการ “เข้าซื้อสะสม” ในหุ้น PTTGC, PTTEP, BCP, EGCO,TISCO, SCC, SAWAD, HMPRO, AOT และ ADVANC อีกครั้ง สำหรับการลงทุนระยะกลาง (1-3 เดือน) ในลักษณะ Long-Only แนะนำ “คงสัดส่วนการลงทุนในหุ้นที่ระดับ 75% ของพอร์ต”

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ความเห็นส่วนตัวของผมนะครับ โปรดใช้วิจารณญาณ และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนการตัดสินใจลงทุนด้วยครับ สำหรับการพูดคุยกันระหว่างสัปดาห์นอกจากทาง Facebook ที่ www.facebook.com/wealthhuntersclub และ e-mail ที่ moobin.stockmania@gmail.com แล้ว แฟนๆยังสามารถติดตามมุมมองเกี่ยวกับการลงทุนจาก “นายหมูบิน” ได้ในรายการ ”เซียนเศรษฐกิจ” เวลา 10.00-12.00 น. ทุกวันอาทิตย์ทาง FM 101 เช่นเดิมครับ

 

ภาพประกอบ : การวิเคราะห์ทิศทางตลาดหุ้นไทยในทางเทคนิครายวัน (Daily)

Source: Wealth Hunters Club

43 views
bottom of page