ยังน่าประทับใจ ! ถ้าพิจารณาจากตัวเลขผลตอบแทนจากการลงทุนของตลาดหุ้นเอเชียในปี 2560 นี้ (นับจนถึง 18 ธ.ค.2560) ต้องยอมรับว่าถ้าเทียบเฉพาะ Performance ของตลาดหุ้นอย่างเดียวตลาดหุ้นเอเชียที่ปรับตัวขึ้นมาราว 7.7% ดูเหมือนจะสู้ตลาดหุ้นสหรัฐที่ปรับตัวขึ้นมาถึง 19.5% ไม่ได้เลย แต่ถ้ามองให้ลึกลงไปมากกว่านั้นในส่วนของผลตอบแทนรวม หรือ Total Return โดยเอาประเด็นเรื่องของค่าเงินเข้ามาพิจารณาด้วย จะพบว่าการที่ค่าเงินของเอเชียที่พิจารณาจากดัชนี JP Morgan Asia Dollar Index แข็งค่าขึ้นมาราว 5.5% สวนทางกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่พิจารณาผ่านดัชนี US Dollar Index ที่อ่อนค่าลงราว 8.2% จะพบว่า Total Return
สำหรับการลงทุนในตลาดหุ้นเอเชียในปี 2560 นี้จะอยู่ที่ระดับ 13.2% ซึ่งถือว่าสูงกว่า Total Return จากการลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐในปีนี้ที่ระดับ 11.3% พอสมควร ดังนั้น จึงพอสรุปได้ว่าการลงทุนในตลาดหุ้นเอเชียปีนี้ของ Global Fund Manager ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าตลาดหุ้นสหรัฐชัดเจน และการลงทุนในตลาดหุ้นเอเชียในปีนี้ไม่ได้แย่กว่าตลาดหุ้นสหรัฐอย่างที่คนส่วนใหญ่เข้าใจ ขณะที่ถ้าพิจารณาไปในตลาดหุ้นรายประเทศจะพบว่าตลาดหุ้นไทยเฉพาะผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นอย่างเดียวจะอยู่ที่ 11.4% ซึ่งแม้ว่าจะสูงกว่าผลตอบแทนเฉลี่ยของตลาดหุ้นเอเชียที่ 7.7% แต่อยู่ในอันดับที่ 8 เลยทีเดียวในกลุ่มตลาดหุ้น Top10 ของเอเชีย โดยที่ดีกว่าเพียงแค่ตลาดหุ้นจีน และมาเลเซียที่ให้ผลตอบแทนเฉพาะตลาดหุ้นราว 5.3% และ 6.7% ตามลำดับเท่านั้น รวมทั้งยังน้อยกว่าตลาดหุ้นฮ่องกงที่ให้ผลตอบแทนเฉพาะตลาดหุ้นสูงที่สุดในกลุ่ม Top10 ที่ราว 31.7% เกือบ 3 เท่า
อย่างไรก็ดี ถ้าเราไปพิจารณาในด้านของผลตอบแทนรวม หรือ Total Return โดยเอาประเด็นเรื่องของค่าเงินเข้ามาพิจารณาด้วย จะพบว่าการที่ค่าเงินบาทของไทยแข็งค่าขึ้นมาราว 9.1% ในปี 2560 ซึ่งถือว่าเป็นสกุลเงินที่แข็งค่าขึ้นมามากที่สุดเป็นอันดับที่ 2 ในกลุ่ม Top10 ของเอเชียรองจากค่าเงินวอนของเกาหลีใต้ที่แข็งค่าขึ้นมาราว 9.7% เท่านั้น ส่งผลให้ Total Return จากการลงทุนในตลาดหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นมาที่ 20.5% ขยับขึ้นมาอยู่ในอันดับที่ 6 ของกลุ่ม Top10 ของเอเชีย ซึ่งถือว่าเป็นผลตอบแทนจากการลงทุนที่ดีที่เดียวสำหรับตลาดหุ้นไทยในปีนี้
ดีที่สุดมาแล้วในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา : คำถามคือแล้วตลาดหุ้นไทยในปีหน้า หรือปี 2561 ตลาดหุ้นไทยจะไปต่อได้หรือไม่ ? คำตอบของ “นายหมูบิน” คือมองว่าสามารถไปต่อได้ในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นโลก ที่ยังคงมีแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกเป็นปัจจัยสำคัญในการสนับสนุนอยู่ แต่ถ้าถามว่า SET จะกลับมาดีกว่าชาวบ้าน หรือ Outperform แรงๆ ได้อีกหรือไม่ในปี 2561 ผมมองว่ายากมากเพราะถ้ากลับไปพิจารณาผลตอบแทนจาการลงทุนในตลาดหุ้นไทยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาในปี 2559-2560 ที่ทั้งตลาดหุ้น และค่าเงินให้ผลตอบแทนสูงที่สุดในกลุ่มตลาดหุ้น Top10 ของเอเชียทั้งหมด โดยที่ตลาดหุ้นให้ผลตอบแทน 33.5% และค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นมาราว 9.6% ส่งผลให้ผลตอบแทนรวม หรือ Total Return ของตลาดหุ้นไทยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 43.0% สูงที่สุดในกลุ่มตลาดหุ้น Top10 ของเอเชีย และสูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหุ้นเอเชีย และตลาดหุ้นสหรัฐที่ 13.1% และ 25.2% ค่อนข้างมาก ทำให้โอกาสที่ตลาดหุ้นไทยจะกลับมา Outperform แรงๆ อีกครั้งมีความเป็นไปได้ค่อนข้างน้อย แม้ว่าเราจะมี Story เรื่องการเลือกตั้งก็ตาม เพราะถ้าไปพิจารณากันในทางสถิติจริงๆ ตลาดหุ้นไทยแทบไม่ได้ประโยชน์จากการเลือกตั้งมากนัก
ทั้งนี้ถ้าพิจารณาจากสถิติการเลือกตั้ง 8 ครั้งหลังสุดตั้งแต่ 2538-2557 พบว่าโดยเฉลี่ยการเลือกตั้งส่งผลกับตลาดหุ้นไทยในด้านบวกไม่มากอย่างที่หลายคนเข้าใจ โดยที่ก่อนการเลือกตั้ง 3 และ 1 เดือน SET จะปรับตัวขึ้นโดยเฉลี่ย 1.8% และ 2.5% เท่านั้น ขณะที่หลังการเลือกตั้ง 1 เดือน SET จะปรับตัวขึ้นโดยเฉลี่ยเพียง 1.0% ก่อนที่หลังการเลือกตั้ง 3 และ 6 เดือน SET จะปรับตัวลงโดยเฉลี่ยถึง 7.0% และ 4.9% ตามลำดับ
อย่างไรก็ดีในเชิงเทคนิค ถ้ามองภาพใหญ่ไปที่ตลาดหุ้นโลกก่อน “นายหมูบิน” ยังคงยืนยันมุมมองเดิมว่าตราบใดที่ดัชนี S&P500 ของสหรัฐ, Euro Stoxx50 ของยุโรป และ NIKKEI ของญี่ปุ่นยังคงยืนเหนือค่าเฉลี่ย EMA 75 วันที่ 23123, 3564 และ 21584 จุดตามลำดับได้ ทิศทางของตลาดหุ้นโลกในทางเทคนิคน่าจะยังคงอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นในระยะ 1-3 เดือนต่อไปได้ ขณะที่ในส่วนของตลาดหุ้นไทย “นายหมูบิน” ยังคงเชื่อว่า SET จะแกว่งตัวอยู่ในกรอบ 1,720-1,670 จุดในช่วงที่เหลือของปีนี้ได้ และจะค่อยขยับกรอบการแกว่งตัวขึ้นมาอยู่ในกรอบใหม่ที่ 1,720-1,800 จุดในช่วงไตรมาสที่ 1 ของปี 2561
ในส่วนของกลยุทธ์ สำหรับการลงทุนระยะสั้น (ไม่เกิน 1 สัปดาห์) : ตราบใดที่ SET ยังคงไม่สามารถกลับไปปิดเหนือกว่า 1,720 (+/-5) จุดได้ ใช้เป็นโอกาสในการ “เข้าซื้อสะสม” ในหุ้น PTTGC, PTTEP, BCP, EGCO,TISCO, SCC, SAWAD, HMPRO, AOT และ ADVANC อีกครั้ง สำหรับการลงทุนระยะกลาง (1-3 เดือน) ในลักษณะ Long-Only แนะนำ “คงสัดส่วนการลงทุนในหุ้นที่ระดับ 75% ของพอร์ต”
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ความเห็นส่วนตัวของผมนะครับ โปรดใช้วิจารณญาณ และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนการตัดสินใจลงทุนด้วยครับ สำหรับการพูดคุยกันระหว่างสัปดาห์นอกจากทาง Facebook ที่ www.facebook.com/wealthhuntersclub และ e-mail ที่ moobin.stockmania@gmail.com แล้ว แฟนๆ ยังสามารถติดตามมุมมองเกี่ยวกับการลงทุนจาก “นายหมูบิน” ได้ในรายการ ”เซียนเศรษฐกิจ” เวลา 10.00-12.00 น. ทุกวันอาทิตย์ ทาง FM 101 เช่นเดิมครับ
ภาพประกอบ : สรุปผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดหุ้นภูมิภาคในปี 2560
Source: Wealth Hunters Club
ภาพประกอบ : สรุปผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดหุ้นภูมิภาคในปี 2559-2560
Source: Wealth Hunters Club
ภาพประกอบ : การวิเคราะห์ทิศทางตลาดหุ้นไทยในทางเทคนิครายวัน (Daily)
Source: Wealth Hunters Club