แค่สหรัฐอเมริกากับเกาหลีเหนือทำสงครามกวนประสาท สาดน้ำลายข่มขวัญใส่กัน ส่งผลกระทบตลาดเงิน, ตลาดหุ้น, ตลาดการค้าการลงทุนกระเทือน ค่าใช้จ่ายเพิ่มพรวด ต้องซื้อประกันความเสี่ยงเพิ่ม/ค่าระวางเรือเพิ่มพรวดตาม นักธุรกิจไทยฟันธง! โลกยังไร้สงคราม แต่ค่าเงินบาทแข็งค่าน่ากลัวกว่าขีปนาวุธโสมแดงเป็นไหนๆ ถ้าลากยาวเงินบาทมีโอกาสหลุด 33 บาท/เหรียญสหรัฐ
นายพรศิลป์ พัชรินทร์ตนะกุล รองประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และนายกสมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย กล่าวผ่านรายการ “เซียนเศรษฐกิจ” จัดโดยทีมข่าวหนังสือพิมพ์ “ดอกเบี้ยธุรกิจ” ถึงความกังวลของผู้ประกอบการไทยต่อสถานการณ์สหรัฐอเมริกากับเกาหลีเหนือที่เกิดขึ้นว่า ผู้ประกอบการไทยให้ความเป็นห่วงมาก ณ วันนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว คือความไม่แน่นอน และมองในทางที่ดีว่าไม่น่าจะเกิด หรือเกิดยาก ในลักษณะปกติก็ไม่ง่ายอยู่แล้ว แต่สิ่งที่เกิดขึ้น เพราะเรามองว่าความไม่แน่นอนมันปรากฏชัดเจน จะเกิดหรือไม่เกิด แล้วแต่คนจะคิด
“ยกตัวอย่างในทางการค้า จะเห็นว่าอัตราแลกเปลี่ยนได้เปลี่ยนแล้วและหวือหวาด้วย ขณะที่เงินดอลลาร์อ่อนลง หุ้นที่สหรัฐอเมริกาก็ตกลง จากที่นับตั้งแต่ โดนัลด์ ทรัมป์ ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีขึ้นตลอด เมื่อ 3 อาทิตย์ที่แล้วฮีททาร์เก็ต เพราะเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาดีขึ้น แต่ก็เป็นผลมาจากของเดิม และค่อยๆ ไต่ขึ้น การจ้างงานเพิ่มขึ้น แต่เมื่อมาเจอปัญหาเกาหลีเหนือ ทำให้ทุกอย่างมันพลิก คนก็กลัวกัน ฉะนั้นเงินก็จะไหลออกจากสหรัฐอเมริกา ส่วนไทยเราได้รับอานิสงส์ในทางที่ไม่ดีสำหรับผู้ส่งออก เมื่อดูแนวโน้มของค่าเงินบาท น่าจะแข็งค่าต่อไป
การเดินเรือสมุทรในการส่งสินค้าระหว่างไทยกับจีน ญี่ปุ่นกับจีน หรือญี่ปุ่นกับเกาหลีแถวแปซิฟิกนี้มีปัญหาแน่ คือบริษัทเรือจะไวมาก หากมีความเสี่ยงอะไร ค่าระวางจะเพิ่มขึ้นเป็นต้นทุนของผู้ประกอบการ ถ้าเงินบาทแข็งค่า และค่าระวางเพิ่ม ตรงนี้หนักแล้ว และอีกเรื่องคือการประกันภัย โดยเฉพาะเบี้ยประกันภัยความเสี่ยง ถ้าสถานการณ์ระหว่างสหรัฐอเมริกาและเกาหลีเหนือมันลากยาว ก็น่าเป็นห่วง
“ทำให้การส่งออกไทยเหนื่อย เพราะถ้าสถานการณ์เป็นแบบนี้ ทำให้อารมณ์ไม่มี อะไรก็ตามที่ไม่จำเป็นต้องซื้อก็เอาไว้ก่อน และเอาที่จำเป็น เพราะฉะนั้นเรื่องของอาหารเรื่องอะไรต่อมิอะไร ก็กลัวจะตีกลับขึ้นมา ตรงนี้คือส่วนประเทศที่กำลังมีปัญหาอยู่ อย่างญี่ปุ่นตอนนี้ ไม่ทราบว่าคนญี่ปุ่นกลัวขนาดไหน แต่ท่าทางก็ไม่ดี และมีการเตรียมรบเต็มที่ ส่วนเกาหลีใต้ก็ไม่สบายใจ เพราะห่างกันแค่ 30 กิโลเมตร แต่เกาหลีใต้ก็พร้อมรบมาหลายสิบปีแล้ว”
นายพรศิลป์เปิดเผยความสัมพันธ์การค้าระหว่างไทยกับเกาหลีเหนือ ที่ผ่านมาถือว่าน้อยมาก มูลค่าที่นับได้ไม่น่าจะกี่ร้อยล้านบาท หรืออาจจะไม่ถึงด้วยซ้ำ ในทางธุรกิจตอนนี้จากที่เกาหลีเหนือถูกแซงชั่น ขณะที่ไทยเองก็ไม่มีอะไรต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ จีนมีธุรกิจที่ลงทุนในเกาหลีเหนือมากสุดประมาณ 3 พันล้านเหรียญที่เกาหลีเหนือส่งออกไปประมาณ 80-90% ไปที่จีน คนงานเกาหลีเหนือส่วนใหญ่ไปทำงานที่จีน เพราะฉะนั้นการแซงชั่นครั้งนี้ จะเป็นเรื่องของเกาหลีเหนือและจีนค่อนข้างเยอะ แต่ว่าจะทำได้แค่ไหน อย่างไร เพราะมีการแซงชั่นเกาหลีเหนือมาหลายครั้งแล้ว มีมติจากสหประชาชาติมา 2 ครั้ง และครั้งนี้ครั้งที่ 3 คือเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในครั้งแรกๆ อาจจะไม่มีอะไรมาก อาจจะไม่ช่วยเหลือ แต่ครั้งสุดท้ายนี้หนักขึ้น
“ส่วนตัวมองว่า ไม่น่าจะมีการลงไม้ลงมือกัน แต่ก็ไม่สบายใจอยู่เรื่องคือ โดนัลด์ ทรัมป์เขาเป็นประธานาธิบดี ที่มีสไตล์ชอบแบบนี้ คือชอบออกตัวมาก่อน แต่ในความเป็นจริง คือควรออกมาเป็นคนสุดท้าย แต่ว่าจะเอาหรือไม่เอาหรือจะทำอะไรอย่างนี้ แต่เขาก็ออกมาอยู่เรื่อย และพอออกมา รัฐมนตรีกลาโหมก็ไปกันไม่เป็นเลย คือมันแรงไป พอคนที่ตำแหน่งต่ำกว่าก็พูดอะไรไม่ถูกแล้ว แต่จะทำอย่างไรไม่ให้เสียหน้า ช่วงหลังทางจีนก็ออกมาพูด แต่จะหาทางลงกันอย่างไร แต่ก็กลัวในเรื่องที่จะเสียหน้ากัน ทางสหรัฐอเมริกาก็ควรฉวยโอกาสนี้ที่ทางจีนได้ออกมาพูด แต่ในทางกว้างระดับโลก เมื่อทางสี จิ้น ผิง ประธานาธิบดีจีนได้ออกมาพูดล่าสุด ก็เหมือนกับสหรัฐอเมริกามันเตี้ยลง กลายเป็นเด็กให้ผู้ใหญ่มาสอนว่าให้เบาๆ หน่อย ศักดิ์ศรีพญาอินทรีย์หายไปเลย”
ส่วนเรื่องค่าเงินบาทที่แข็งค่า นายพรศิลป์มองว่ายังคงเป็นปัญหาระยะยาว เรื่องค่าเงินบาทกับการค้า เราต้องดูคู่แข่งขันด้วย อย่างมาเลเซียค่าเงินจะอ่อน ส่วนเวียดนามแข็งค่าขึ้นมาเล็กน้อย ไทยต้องดูรอบๆ ข้าง เงินบาทแข็งค่ามันไม่ดีอยู่แล้ว เรามีปัญหาหลายด้าน ดังนั้นถ้าค่าเงินบาทหลุดไปที่ 33 บาทต่อดอลลาร์ จะยิ่งเสียหายหนัก ไม่อยากให้หลุดจากตรงนี้ และถ้าเหตุการณ์ที่เป็นอยู่อย่างนี้ลากยาวไป ก็มีสิทธิ์เหมือนกัน เท่ากับเงินบาทแข็งค่าตั้ง 10% ถือว่าเยอะมาก
นายพรศิลป์ยังได้กล่าวถึงไข่ไก่อียู ที่เจอปัญหาสารปนเปื้อนยาฆ่าแมลงในขณะนี้ว่า อียูตอนนี้มีการส่งออกไข่แข่งกับไทยที่ตะวันออกกลาง ส่วนทางฮ่องกงตอนนี้ก็ไม่มีแล้ว เพราะว่าจีนได้ส่งไปขายเป็นที่เรียบร้อย การส่งออกไข่ไปไทยอาจจะกลับมา แต่ว่าตลาดไข่ไทยก็ไม่แน่นอนเท่าไหร่ เพราะในอดีตที่ผ่านมา ไทยแข่งขันกับใครไม่ได้อยู่แล้ว ต่างประเทศมีการอุดหนุนสินค้าส่งออก ทำให้ไทยสู้เขาไม่ได้ และไข่ก็ไม่ใช่สินค้าส่งออกของไทยหรือเป็นเป้าหมาย
“เราบริโภคภายในเสียส่วนใหญ่ ในอดีตที่ผ่านมากับการส่งออกไข่ เมื่อเราวางแผนแล้วไข่ล้นออกมา พอล้นก็วางแผนส่งออก แต่พอส่งออกก็ไปเจอปัญหาแข่งกับไข่ของยุโรป เราก็ได้บ้างไม่ได้บ้างแล้วแต่จังหวะ ช่วงนี้ยุโรปมีปัญหา จะเปิดโอกาสให้เรา แต่ก็ต้องมาดูว่าเรามีไข่หรือไม่ เพราะเราก็พยายามโปรโมทให้กินไข่ในประเทศอย่างน้อยวันละ 1 ฟอง ดังนั้น การส่งออกไข่ไปยุโรป ไม่ใช่เป้าหมายหลักของการส่งออกไข่ไทย”