
เตือนภัยโลกเข้าสู่ยุควิกฤต สหรัฐอเมริกายุคประธานาธิบดีทรัมป์มาแรงสุดๆ ไทยต้องรู้จักหลบหลีกไม่คบจีน-ญี่ปุ่นออกนอกหน้า กับไม่ทำตัวเด่นเกิน อีกผลเลือกตั้งผู้นำใหม่ฝรั่งเศส “มารีน เลอ แปน” มาแรงแซงผู้ชายอกสามศอก ไม่เป็นผลดีต่อไทย จับตา “3 เรื่อง 3 มิติ โดนัลด์ ทรัมป์” ในไตรมาส 2 ส่งผลกระทบดี/ร้ายต่อโลก-เมืองไทย
ผศ.ดร.บุญธรรม รจิตภิญโญเลิศ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เปิดเผยกับ “ดอกเบี้ยธุรกิจ” ถึงสถานการณ์โลกในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2560 นี้ มองว่าภาพใหญ่มีภาพรวมดูไม่ค่อยสวยนัก โดยปัจจัยในช่วงไตรมาส 2 หลักๆ จะมีอยู่ด้วยกัน 3 เรื่องคือ 1. เป็นเรื่องเดิมๆ คือธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาหรือเฟดจะคงเรทไว้ในเดือนพฤษภาคมนี้หรือไม่ หรือจะขึ้นดอกเบี้ย เมื่อถึงตอนนี้มองว่าเฟดจะยังคงเรทคงอัตราดอกเบี้ยไว้มีสูงกว่า จากที่บอกจะปรับขึ้น 3 ครั้ง โอกาสที่จะเหลือ 2 ครั้งจะสูงขึ้น
“วันนี้โอกาสประเมินว่า 2 ใน 3 ที่เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ และประมาณ 1 ใน 3 ที่จะขึ้นดอกเบี้ย คือโอกาสที่จะคงเรทไว้มีมากขึ้นจากเมื่อช่วง 1 เดือนที่ผ่านมามองว่าโอกาสขึ้นดอกเบี้ยมีเกินครึ่ง ทั้งนี้การคงเรทคงดอกเบี้ยของเฟด ถือว่าเป็นผลไม่ดีนักต่อตลาดทุนไทยและทั่วโลก เพราะความไม่แน่นอนของนโยบายการเงินของประเทศอื่นๆ อย่างอีซีบีกับธนาคารกลางยุโรป ญี่ปุ่น มันจะดูยากขึ้นมาก และเกิดความผันผวนในตลาดเงินตลาดทุนค่อนข้างสูง”
ส่วนปัจจัยเรื่องที่ 2. คือประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ดร.บุญธรรมมอง โดนัลด์ ทรัมป์ มี 3 มิติ ที่ไทยเราต้องโฟกัสคือ เรื่องสงครามเป็นการเบี่ยงเบนความสนใจค่อนข้างชัดเจนว่า ความล้มเหลวนโยบายในประเทศของสหรัฐอเมริกา นำไปสู่การบอมบ์ที่ต่างๆ ทำให้ลืมความล้มเหลวไป ต้องบอกว่าเป็นกลยุทธ์ที่ใช้ได้สมบูรณ์แบบจริงๆ ส่วนมิติที่สองคือ เรื่องนโยบายการค้า ซึ่งก็มีแนวโน้มที่ไม่ดี ประเทศไทยเป็นประเทศที่ถือว่าจะเข้าข่ายการบิดเบือนค่าเงินหรือไม่ ส่วนมิติที่สามคือ เรื่องภาษี จะผ่านการลดภาษีหรือไม่ เหล่านี้คือ 3 มิติของ โดนัลด์ ทรัมป์ ในไตรมาสที่ 2 นี้
“โอกาสในเรื่องของสงคราม มันสูงขึ้นมาก จากที่เคยมองว่า 50:50 โดยที่ผ่านมาสหรัฐอเมริกาบอมบ์ที่ซีเรียและจะไปต่อที่อื่น ขณะนั้นยังมองครึ่งๆ แต่ตอนนี้มาบอมบ์ต่อที่อัฟกานิสถาน และยังไม่แน่ใจจะมาต่อที่เกาหลีเหนือหรือไม่ ตรงนี้เรื่องสงคราม ถือว่าเป็นข่าวร้ายต่อนโยบายการคลังของสหรัฐอเมริกา เพราะแทนที่จะใช้เงิน 1 ล้านล้านดอลลาร์อินฟาสตัคเจอร์ที่ว่าตัวโครงสร้างพื้นฐานจะไปในตัวโครงการต่างๆ ที่ดี ทำให้กระเป๋าของสหรัฐอเมริกาไม่มีเงิน ก็คือนโยบายการคลังทำได้ลำบากขึ้น ตรงนี้เป็นผลเสีย จากสงครามเป็นผลชัดเจน และส่งผลต่อเฟดที่จะคงเรทไว้คงดอกเบี้ยไว้มีโอกาสสูงมาก”
ดร.บุญธรรมกล่าวถึงภาพที่สวยงามของสหรัฐอเมริกาคือ 1. เฟดขึ้นดอกเบี้ย 2. ไฟเขียวภาษีผ่านได้ ซึ่งโอกาสน้อยมาก และ 3. การเลือกตั้งฝรั่งเศสโดย เอมมานูเอล มาครอง คือเป็นพรรคที่เน้นยูโร ชนะการเลือกตั้ง เหล่านี้จะทำให้ตลาดเงินตลาดทุนค่อนข้างสดใส “แต่ทั้ง 3 เรื่องนี้ โอกาสเกิดขึ้นน้อยมากแล้ว คือไม่ถึง 10% ส่วนอีกมุมหนึ่งที่ออกไปตรงข้ามค่อนข้างชัดเจน คือเฟดคงดอกเบี้ยไว้ สหรัฐอเมริกายังยิงขีปนาวุธต่อไป และ มารีน เลอ แปน ชนะการเลือกตั้งที่ฝรั่งเศส โอกาสสูงกว่า ตรงนี้โอกาส 20% จริงๆ โอกาสทั้ง 2 นั้น เมื่ออาทิตย์ก่อนยังประเมินว่าโอกาสจะออกมาทางโลกสวยจะสูงหน่อย โอกาสที่ เลอ แปน จะแพ้สงครามที่ โดนัลด์ ทรัมป์ จะไปต่อโอกาสครึ่งๆ และอาจจะมีการขึ้นดอกเบี้ย แต่ตอนนี้ภาพมันกลับกันแล้ว โดยมองว่าตลาดเงินตลาดทุนในไตรมาสสอง ไม่สวยงามเท่าไหร่ เมื่อเทียบกับไตรมาสที่หนึ่ง”
สำหรับการเลือกตั้งประธานาธิบดีของฝรั่งเศส โพลตอนนี้ที่เป็นกระแสหลักจะมีรอบหนึ่งกับรอบที่สอง รอบที่หนึ่งแข่งกัน 5 คนหลักๆ และคัดเหลือ 2 คน ส่วนใหญ่คนมองว่า เอมมานูเอล มาครอง ค่อนข้างเป็นคนที่เน้นเรื่องยุโรป อยากให้ยุโรปอยู่ต่อ ยังคงยูโรไว้ ส่วน มารีน เลอ แปน จะไม่เอายุโรป ถ้าได้รับการเลือกตั้งจะเอาเงินฟรังก์คู่กับยูโรสักพักหนึ่ง และจะทำเหมือนเบรกซิท ทำประชามติ คาดว่าระยะเวลาหลังจาก มารีน เลอ แปนชนะ จนถึงการทำเบรกซิท น่าจะใช้เวลา 9 เดือน
“โอกาสทำเบรกซิทของฝรั่งเศส จะแตกต่างจากเบรกซิทของอังกฤษมาก เพราะฝรั่งเศสเรียกว่าเป็นคู่หูของเยอรมันเป็นผู้นำยุโรปชัดเจนมาก ถ้าเกิดเบรกซิทขึ้นมา ค่าเงินยุโรปและนโยบายการค้าไทยกับยุโรปก็ตาม จะเปลี่ยนไปมาก ค่อนข้างมีผลเสีย อย่างไรก็ตามภาพการเลือกตั้งของฝรั่งเศส เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาจะเปลี่ยนไปเล็กน้อย โฟกัสการเลือกตั้งได้ไปอยู่ที่อันดับ 3 และ 4 แล้วจะมีผล สมมุติว่าผลการเลือกตั้งรอบแรก มารีน เลอ แปน และเอมมานูเอล มาครองชนะขึ้นมา เสียงคนที่ 3 และ 4 จะกระจายให้กับ 2 คนนี้ ซึ่งการวิเคราะห์เดิมมองว่า ที่ 3 และ 4 จะให้เอมมานูเอล มาครองหมด เพราะ มารีน เลอ แปน สุดโต่ง” ดร.บุญธรรมกล่าว “อย่างไรก็ตาม เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว มีเปลี่ยนแปลงที่ 3 และ 4 สลับกันแล้ว โดยที่ 3 เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน คือฟิลิป เชอลอน ที่มีปัญหาเรื่องเอาภรรยามาทำงานรับเงินเดือน ส่วนอีกคนที่โพลแรงมาก คือ ฌอง ลุค เมลองชอง คนนี้เป็นคนที่พูดเก่งมากอายุ 60 กว่า แต่จุดเด่นคือการดีเบต โดยล่าสุดชนะอันดับ 1 ขณะที่อันดับ 1 แซงอันดับ 2 ขาดเลย คนนี้มีโอกาสขึ้นมาแทนอันดับ 2 คือฟิลิป เชอลอน แต่ถ้าฟิลิป เชอลอนเป็นอันอับ 4 ซึ่งเขาเคยขึ้นอยู่ที่ 3 ก็จะใกล้เคียงกับเอมมานูเอล มาครอง เหมือนกับเป็นพันธมิตรกัน”
ดร.บุญธรรมกล่าวว่าหาก เอมมานูเอล มาครองได้ เสียงรอบสองของฟิลิป เชอลอนจะให้ เอมมานูเอล มาครองหมด แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่าได้ที่ 4 ซึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาก็โจมตีเอมมานูเอล มาครองตลอด แล้วมองว่าโอกาสที่จะไปจับคู่กับ มารีน เลอ แปน สูงมาก ภาพเลยเปลี่ยนว่ารอบสองโอกาส มารีน เลอ แปนขยับขึ้นมานิดหนึ่งแล้ว จากเดิมที่มองว่าอย่างไรก็แพ้มา เอมมานูเอล มาครอง แน่ เพราะเสียง มารีน เลอ แปน เหมือนเสียงโดดๆ มีประมาณ 30% ก็เลยกลายเป็นว่า การเลือกตั้งประธานาธิบดีฝรั่งเศสครั้งนี้ ถ้าสมมุติว่า ฌอง ลุค เมลองชอง คนที่พูดเก่งๆ พลิกชนะมาครอง โอกาสก็มี เพราะเอมมานูเอล มาครองเป็นคนค่อนข้างหนุ่ม แต่ฐานเสียงไม่ค่อยแน่น คือมีเยอะแต่เปลี่ยนได้ตลอด
“สรุปแล้วการเลือกตั้งประธานาธิบดีฝรั่งเศสจะมี 2 รูปแบบที่เกิดขึ้น คือ 1. มารีน เลอ แปน ชนะอันดับหนึ่งและสอง เอมมานูเอล มาครอง ตามฟอร์ม หรือ ฌอง ลุค เมลองชองพลิกล็อกเป็นม้ามืดมาแข่งกับมารีน เลอ แปนในรอบที่สอง” ดร.บุญธรรมกล่าวและพูดถึงนโยบายของมารีน เลอ แปน ตัวเต็งจ๋า ผู้นำใหม่ฝรั่งเศสว่า ค่อนข้างจะเป็นผลเสียต่อไทยค่อนข้างเยอะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องค่าเงิน เรื่องการปกป้องผลประโยชน์ฝรั่งเศสให้แก่คนไทยที่ไปทำงานที่ฝรั่งเศส จะเป็นผลเสียทั้งสิ้น ขณะที่เอมมานูเอล มาครอง จะกลับกัน คล้ายๆ กับ ฟรองซัวส์ ออลลองด์ ประธานาธิบดีคนปัจจุบันแต่จะดีกว่านิดหน่อย ยังเน้นเรื่องยุโรปค่อนข้างเยอะ “ดังนั้น ภาพฝรั่งเศสตอนนี้ มีความไม่แน่นอนสูงมาก โดยเดิม มารีน เลอ แปน จากที่โอกาสร้อยละ 30 ตอนนี้เชื่อว่าจะขยับขึ้นเป็นร้อยละ 40 แล้ว”
ดร.บุญธรรม กล่าวถึงประเทศไทยในเรื่องผลกระทบการค้าที่สหรัฐอเมริกามีลิสต์ว่าเกินดุลการค้า คิดว่าตัวสินค้าส่งออกของไทยที่ส่งไปสหรัฐอเมริกาจะมี 3 กลุ่ม คือ 1.กลุ่มอาหาร เช่นกุ้งสดแช่แข็ง อาหารกระป๋อง อาหารแปรรูปต่างๆ ซึ่งแต่ละปีไทยส่งออกไปปีละหลายหมื่นล้านดอลลาร์ ถือเป็นสินค้าที่สหรัฐอเมริกาจับตามาก เพราะเมื่อเทียบสัดส่วนกับจีน จีนเป็นคู่ค้าหลักกับสหรัฐอเมริกา ของไทยก็ส่งออกเรียกว่ามีนัยยะสำคัญ เป็นสัดส่วนถือว่าสูง เมื่อเทียบกับจีนไม่ได้ต่างกันมากนัก โอกาสที่ไทยจะโดนลักษณะที่ว่าเราอยู่กลุ่มที่สอง รายงานการค้ามนุษย์ และมาตรการแทรกแซงสินค้าด้านเกษตรกรรม โอกาสที่ไทยจะโดนมีสูงมาก เนื่องจากไทยส่งออกไปค่อนข้างมาก
ส่วนหมวดที่สองที่น่าจับตาคือ กลุ่มสินค้าคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์ส่วนประกอบ ของไทยคิดเป็นมูลค่าร้อยละ 17 โดยจีนส่งออกไปสหรัฐอเมริกาเป็นร้อยละ 6 ของมูลค่าส่งออกจีนทั้งหมด แต่ของไทยเกือบ 1 ใน 5 คือจีนส่งไป 100 แต่ไทยส่งไป 17 ถือว่าค่อนข้างจะเยอะเหมือนกัน เพราะไทยเป็นประเทศส่งออกคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์ติดท็อปเท็นของโลก ดังนั้น สิ่งที่พออยู่ได้ในหมวดนี้คืออุปกรณ์แอกเซสซอรี่ หลักๆ คือโรงงานแอปเปิ้ลคงกลับไปสหรัฐอเมริกาค่อนข้างเยอะ ส่วนกลุ่มที่สามที่โดนแน่คือกลุ่มที่ไทยได้จีเอสพี คือกลุ่มส่วนประกอบเครื่องใช้ไฟฟ้า กลุ่มอัญมณี กลุ่มยานยนต์ กลุ่มอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มเหล่านี้มีโอกาสโดนค่อนข้างมาก
“ในทางกลับกันอินฟาสตัคเจอร์ของสหรัฐอเมริกา จะให้ประโยชน์กับการส่งออกของเรา 4 กลุ่ม คือ 1. ยาง 2. อุปกรณ์ทีวีและไฟฟ้า 3. เครื่องนุ่งห่ม และ 4. เหล็ก เหล่านี้จะได้ผลบวก ถ้า โดนัลด์ ทรัมป์ ไม่เน้นสงครามมากนัก” ดร.บุญธรรมกล่าวและพูดถึงไทยจากนี้ไปควรทำอย่างไรนั้น “หนึ่ง อย่าแทรกแซงค่าเงินมาก ส่วนเรื่องที่สองคือ ในเรื่องการเมือง อย่าออกนอกหน้าเป็นพันธมิตรกับจีนมากนักในช่วงนี้ เพราะสหรัฐอเมริกาแรงมาก แรงจนเราต้องหลบ และอย่างไปสร้างความสัมพันธ์ดิวใหญ่ๆ กับจีนและญี่ปุ่นในช่วงนี้ อย่าทำตัวเด่นมาก ส่วนอีกมุมคือให้ระวังเรื่องยุโรปให้ดี จากที่อีก 1 เดือน ผลเลือกตั้งฝรั่งเศสจะไม่เป็นใจกับไทยมากนัก โดยโอกาสของ มารีน เลอ แปน จะมีมากทีเดียวที่จะขึ้นเป็นประธานาธิบดีของฝรั่งเศส”