top of page
312345.jpg

ออมสินเผย GSI ไตรมาส 3 ดีขึ้น..ดัชนีเชื่อมั่น 6 เดือนต่อไปเกิน 50


ศูนย์วิจัยฯแบงก์ออมสินเปิดผลสำรวจความเชื่อมั่นคนฐานรากช่วงไตรมาส 3/59 ดัชนีเพิ่มขึ้นเป็น 49.0 ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นอีก 6 เดือนข้างหน้าพุ่งเป็น 51.8 สะท้อนภาพประชาชนมั่นใจเศรษฐกิจโตจากการลงทุนและการกระตุ้นของรัฐบาล พร้อมปรับประมาณการการเติบโตจีดีพีไทยปีนี้จาก 3.1% เป็น 3.2%

นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นเศรษฐกิจฐานราก (GSI) ประจำไตรมาส 3 ปี 2559 ได้ดำเนินการสำรวจจากกลุ่มตัวอย่างประชาชนที่มีรายได้ไม่เกิน 15,000 บาท ทั่วประเทศ จำนวน 1,526 ตัวอย่าง พบว่า GSI ประจำไตรมาสที่ 3/2559 ส่งสัญญาณดีขึ้น อยู่ที่ระดับ 49.0 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ 2/2559 ที่อยู่ระดับ 44.1 ประชาชนระดับฐานรากรู้สึกว่ามีความมั่นใจในสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองในอนาคตว่าจะปรับตัวดีขึ้น ประกอบกับการคาดหวังว่ารัฐบาลจะเน้นการใช้จ่ายเพื่อการลงทุนและกระตุ้นเศรษฐกิจมากขึ้นในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี จึงทำให้ดัชนีความเชื่อมั่นเศรษฐกิจฐานรากปรับตัวเพิ่มขึ้นเกือบใกล้เคียงปกติ (ระดับ 50)

“การที่ดัชนีความเชื่อมั่นเศรษฐกิจฐานรากต่อสถานการณ์ใน 6 เดือนข้างหน้าปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 45.9 ในไตรมาสที่ 2/2559 มาอยู่ที่ระดับ 51.8 ในไตรมาสที่ 3/2559 สะท้อนให้เห็นว่าประชาชนระดับฐานรากส่วนใหญ่มีความมั่นใจต่อภาวะเศรษฐกิจในช่วง 6 เดือนข้างหน้าในระดับที่ดี เนื่องจากคาดหวังว่ารัฐบาลจะเน้นการใช้จ่ายเพื่อการลงทุนและกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี เมื่อพิจารณาดัชนีความเชื่อมั่นในด้านต่างๆ เทียบกับไตรมาสที่ 2/2559 พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นด้านการจับจ่ายใช้สอย การหารายได้ การออม ภาวะเศรษฐกิจ และการหางานทำ ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น ส่วนด้านภาระหนี้สินปรับตัวลดลง” นายชาติชาย กล่าวและเผยต่อไปว่า

ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจ ธุรกิจ และเศรษฐกิจฐานราก คาดการณ์ว่าการบริโภคของภาคประชาชนน่าจะค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้น เนื่องจากการใช้จ่ายและการลงทุนของภาครัฐจะเป็นตัวกระตุ้นเศรษฐกิจที่สำคัญและเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวดีขึ้นเป็นลำดับ อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวของการบริโภคน่าจะค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้นในช่วงไตรมาสแรกของปี 2560 เป็นต้นไป ถ้าสถานการณ์ความผันผวนของเศรษฐกิจโลกคลี่คลายลง และประสิทธิภาพของการใช้จ่ายและการลงทุนของภาครัฐเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวขึ้นเป็นรูปธรรมอย่างต่อเนื่อง

นอกจากนี้ ศูนย์วิจัยฯ ยังได้สำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับพฤติกรรมและทัศนคติเกี่ยวกับการใช้จ่ายของประชาชนระดับฐานราก โดยเมื่อสอบถามถึงลักษณะของรายได้หลักในปัจจุบัน จากการสำรวจ พบว่า เกินกว่าครึ่งได้รับรายได้เป็นรายเดือน (ร้อยละ 60.9) รองลงมาได้รับรายได้ไม่แน่นอน (ร้อยละ 19.9) ได้รับรายได้แบบเป็นรายวัน (ร้อยละ 17.0) และรายสัปดาห์ (ร้อยละ 1.9) ในส่วนของความถี่ในการรับรายได้หลัก พบว่าส่วนใหญ่ได้รับรายได้สม่ำเสมอตลอดทั้งปี (ร้อยละ 79.0) ได้รับเมื่อมีผู้มาจ้าง (ร้อยละ 18.8 ) และได้รับตามฤดูกาล โดยเฉลี่ยปีละ 2-3 ครั้ง (ร้อยละ 2.2) ทั้งนี้ แหล่งที่มาของรายได้หลัก 3 อันดับแรก คือ รายได้ที่เป็นเงินค่าจ้าง (ร้อยละ 52.5) จากการค้าขาย (ร้อยละ 29.2) และจากการรับจ้างไม่ประจำ (ร้อยละ 11.3)

สำหรับในส่วนของพฤติกรรมการออม จากการสำรวจ พบว่า เกินกว่าครึ่งไม่มีการออม (ร้อยละ 58.4) ส่วนอีกร้อยละ 41.6 มีการเก็บออม โดยอัตราการออมเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 15.4 ของรายได้ เมื่อถามถึงการทำบัญชี รายรับ-รายจ่าย พบว่า ส่วนใหญ่ไม่มีการทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย (ร้อยละ 72.1) และมีเพียงร้อยละ 27.9 ที่มีการทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย และเมื่อสอบถามถึงการเป็นสมาชิกกองทุนที่เกี่ยวกับการออม พบว่า ครึ่งหนึ่งไม่ได้เป็นสมาชิกกองทุน ใดเลย (ร้อยละ 51.3) ส่วนกองทุนที่เป็นสมาชิกมากที่สุด คือ กองทุนประกันสังคม (ร้อยละ 37.3)

เมื่อถามถึงพฤติกรรมการใช้จ่ายในปัจจุบัน จากการสำรวจ พบว่า เกินกว่าครึ่งมีรายได้เพียงพอกับรายจ่าย (ร้อยละ 61.9) ส่วนอีกร้อยละ 38.1 มีรายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่าย โดยพฤติกรรมการใช้จ่าย 4 อันดับแรกคือ ค่าอาหารและเครื่องดื่ม (ร้อยละ 30.3) ค่าที่อยู่อาศัย (ผ่อน/เช่า ร้อยละ 18.5) ค่าสาธารณูปโภค (ร้อยละ 13.4) และค่าเดินทาง(ร้อยละ 11.4) ทั้งนี้ เมื่อสอบถามวิธีการแก้ไข

กรณีที่รายได้ไม่เพียงพอกับรายจ่าย 4 อันดับแรก คือ ลดค่าใช้จ่าย (ร้อยละ 32.8) หารายได้เสริม (ร้อยละ 25.2) กู้ยืมนอกระบบ (ร้อยละ 17.8) และกู้ยืมในระบบ (ร้อยละ 14.8) โดยวิธีการลดค่าใช้จ่าย 3 อันดับแรก คือ ค่าใช้จ่ายที่มาจากอาหารและเครื่องดื่ม (ร้อยละ 28.2) ค่าไฟฟ้า/ค่าน้ำ (ร้อยละ 15.2) และค่าเดินทาง (ร้อยละ 12.1)

ผลสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับความต้องการให้รัฐบาลดำเนิน การช่วยเหลือในเรื่องของการเพิ่มรายได้/ลดค่าใช้จ่าย จากการสำรวจ พบว่า 3 อันดับแรกที่ต้องการให้รัฐบาลช่วยดำเนินการ คือ ควบคุมราคาสินค้าจำเป็น (ร้อยละ 39.4) การหาอาชีพเสริมให้ (ร้อยละ 27.0) และการให้สวัสดิการแก่ผู้มีรายได้น้อย (ร้อยละ 13.8)

ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน กล่าวว่า สำหรับเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2559 คาดการณ์ว่าจะขยายตัวอยู่ที่ร้อยละ 3.1 โดยศูนย์วิจัยฯ ประเมินว่าปัจจัยสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังของปี 2559 มาจากกำลังซื้อของครัวเรือนที่ทยอยปรับตัวขึ้น คาดการท่องเที่ยวยังคงขยายตัว เม็ดเงินการใช้จ่ายและการลงทุนของภาครัฐขยายตัวดีต่อเนื่อง ในขณะที่ภาคการส่งออกสินค้ายังคงชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้า (แต่มีสัญญาณดีขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงครึ่งแรกของปี 2559) สำหรับปัจจัยต่างประเทศ กรณีนโยบายของประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่ นายโดนัลด์ เจ. ทรัมป์ จากพรรครีพับลิกัน คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจการเงินและการค้าระหว่างประเทศระดับหนึ่ง จากปัจจัยข้างต้น ศูนย์วิจัยฯ จึงได้ปรับประมาณการการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปี 2559 เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 3.2 ต่อปี จากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัวอยู่ที่ร้อยละ 3.1

ทั้งนี้ ปัจจัยที่มีส่วนสนับสนุนเศรษฐกิจไทยในปี 2559 ประกอบด้วย ด้านการบริโภคภาคเอกชนที่มีการขยายตัวได้ดีขึ้นทั้งจากครัวเรือนในภาคการเกษตรและนอกภาคการเกษตร ด้านการอุปโภคและลงทุนของภาครัฐยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยสามารถลงทุนในโครงการต่างๆ ได้ตามเป้าหมาย และมีเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจเข้าสู่ระบบอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวยังคงมีแนวโน้มขยายตัว

สำหรับข้อจำกัดและปัจจัยเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทยในปี 2559 ปัจจัยภายนอกประกอบด้วย ภาคการส่งออกสินค้าที่ยังคงหดตัวตามภาวะเศรษฐกิจของประเทศ คู่ค้าและการใช้นโยบายการเงินของประเทศคู่ค้าที่แตกต่างกันส่งผลทำให้ค่าเงินบาทเกิดความผันผวน รวมทั้งผลกระทบจากนโยบายด้านการค้าของสหรัฐอเมริกา ตลอดจนนโยบายด้านการเงินที่คาดว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นนัยสำคัญ ขณะที่ยังคงมีปัจจัยเสี่ยงภายในประเทศจากเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนภาคใต้ ซึ่งส่งผลกระทบให้จำนวนนักท่องเที่ยวลดลง สำหรับการลงทุนภาคเอกชนค่อนข้างทรงตัว ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการส่งออกที่มีการขยายตัว ในบางอุตสาหกรรมและหากภาคเอกชนกลับมาเป็นผู้นำในการลงทุนอีกครั้ง เศรษฐกิจไทยจะสามารถขยายตัวได้แข็งแกร่งมากขึ้น

20 views
bottom of page