top of page
312345.jpg

ตลาดหุ้นเอเชียและไทย ในภาวะที่เปราะบางมาก


ตัวเลขเศรษฐกิจอ่อนแอระเบิดลูกใหม่ !

ในสถานการณ์ปัจจุบันนอกจากตลาดหุ้นไทยจะยังคงได้รับความกดดันจากความไม่ชัดเจนเกี่ยวกับที่มาของเงินในการดำเนินโครงการดิจิทัลวอลเล็ต 1 หมื่นบาทของรัฐบาลแล้ว ยังมีปัจจัยเพิ่มเติมจากการที่ล่าสุดกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้ออกมาปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปี 2566 และ 2567 ลงอีก โดยในปี 2566 ลดลงเหลือ 2.7% จากตัวเลขคาดการณ์เดิมที่ระดับ 3.4% และได้ปรับลดคาดการณ์ในปี 2567 ลดลงสู่ระดับ 3.2% จากระดับ 3.6% โดยระบุถึงความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นทั่วโลก ซึ่งรวมถึงการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน และความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์ รวมทั้งราคาน้ำมันในตลาดโลกที่พุ่งขึ้นเนื่องจากความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์นั้นมีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลก และทำให้อัตราเงินเฟ้อทั่วโลกพุ่งขึ้นด้วย เป็นปัจจัยทำให้มีการปรับลดคาดการณ์ GDP โดยที่ IMF เตือนว่าความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์อาจจะทำให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้น 10% ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลกและทำให้อัตราเงินเฟ้อทั่วโลกพุ่งขึ้น แม้ว่าสำหรับประเทศไทยนั้น IMF มองว่าอัตราเงินเฟ้อของไทยยังคงอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในกลุ่มอาเซียนก็ตาม นอกจากนี้ตลาดหุ้นไทยยังคงได้รับแรงกดดันจากแนวโน้มเศรษฐกิจในภูมิภาคด้วย โดยเฉพาะหลังจากที่ IMF ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจจีนในปี 2566 และ 2567 ลงอีก

IMF คาดการณ์ว่าจีนจะขยายตัว 5% ในปี 2566 และขยายตัว 4.2% ในปี 2567 ซึ่งลดลงจากตัวเลขคาดการณ์เดิมที่ระบุว่าจะขยายตัว 5.2% ในปี 2566 และขยายตัว 4.5% ในปี 2567 ทั้งนี้ผลกระทบดังกล่าวนี้อาจจะทำให้ตัวเลขการขยายตัวของเศรษฐกิจของจีนปรับตัวลงมากถึง 1.6% ภายในปี 2568 และอาจจะฉุดการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกลดลงราว 0.6% ขณะที่ IMF คาดว่าการขยายตัวของเศรษฐกิจในเอเชียแปซิฟิกจะชะลอตัวลงสู่ระดับ 4.2% ในปี 2567 และคาดว่าในระยะกลางนี้ GDP จะชะลอตัวลงแตะระดับ 3.9% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 20 ปีโดยไม่นับรวมปี 2563 เนื่องจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนและประสิทธิภาพด้านการผลิตที่อ่อนแอลงในหลายประเทศ จะสร้างแรงกดดันต่อภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ขณะที่ล่าสุดสำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) รายงานว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 3 ปี 2566 ของจีนขยายตัว 4.9% เทียบกับที่รัฐบาลจีนกำหนดเป้าหมายการเติบโตของเศรษฐกิจในปี 2566 ไว้ที่ระดับ 5.0% หลังรัฐบาลจีนประกาศใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ซึ่งช่วยให้เศรษฐกิจจีนเริ่มมีเสถียรภาพ โดยที่ตัวเลขการผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือน ก.ย. 66 ของจีนปรับตัวขึ้น 4.5% เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งเป็นการขยายตัวในระดับเดียวกับเดือน ส.ค. 66 และแข็งแกร่งกว่าที่นักวิเคราะห์ในโพลสำรวจของสำนักข่าวรอยเตอร์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 4.3% ขณะที่ตัวเลขยอดค้าปลีก ซึ่งเป็นมาตรวัดการอุปโภคบริโภค ปรับตัวขึ้น 5.5% ในเดือน ก.ย. 66 ซึ่งดีกว่าในเดือน ส.ค. 66 ที่เพิ่มขึ้น 4.6% และแข็งแกร่งกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 4.9% เนื่องจากมาตรการสนับสนุนของรัฐบาลจีน

อย่างไรก็ดีวิกฤตการณ์ในภาคอสังหาริมทรัพย์ รวมทั้งความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการจ้างงานและรายได้ของภาคครัวเรือน ประกอบกับความเชื่อมั่นที่อ่อนแอลงในกลุ่มบริษัทเอกชน ยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะในภาคอสังหาริมทรัพย์ ที่ตัวเลขการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ของจีนในช่วง 9 เดือนแรกปีนี้ ลดลง 9.1% เมื่อเทียบเป็นรายปี ลดลงต่อเนื่องจากที่ลดลง 8.8% ในช่วง 8 เดือนแรกของปีนี้ ขณะที่ตัวเลขการลงทุนในสินทรัพย์ถาวร ปรับตัวขึ้น 3.1% ในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าอาจเพิ่มขึ้น 3.2%

สหรัฐก็แย่ในระยะสั้น เหลือลุ้นแค่จีนเป็นตัวช่วย ! ชัดเจนว่าในระยะสั้นการดีดตัวกลับของตลาดหุ้นเอเชียและไทย ปัจจัยสำคัญจะอยู่ที่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจบนความหวังกับผลของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลจีน โดยเฉพาะจากการที่ล่าสุดธนาคารกลางจีน (PBOC) อัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบการเงินจำนวนสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 7.33 แสนล้านหยวน (1 แสนล้านดอลลาร์) โดยดำเนินการผ่านทางสัญญาซื้อคืน (Reverse Repurchase Contracts) ซึ่งเป็นเครื่องมือทางการเงินระยะสั้นของจีน นอกจากนี้ PBOC ยังได้ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าชั้นดี (LPR) ประเภท 1 ปีที่ระดับ 3.45% และคงอัตราดอกเบี้ย LPR ประเภท 5 ปีไว้ที่ระดับ 4.20% ในวันนี้เช่นกัน ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวบ่งชี้ว่าจีนมีเป้าหมายที่จะรักษาต้นทุนการกู้ยืมให้อยู่ในระดับต่ำเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ บนความคาดหวังของทางการจีนว่า การกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งล่าสุดนี้จะช่วยให้จีนสามารถบรรลุเป้าหมายการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ระดับ 5% ในปีนี้ได้ โดยเฉพาะภาคอสังหาริมทรัพย์ เพื่อพยายามกระตุ้นความเชื่อมั่นของผู้ซื้อบ้าน หลังจากที่ล่าสุดราคาบ้านใหม่ของจีน เดือน ก.ย. 66 ลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3 บ่งชี้ว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ของจีนยังคงซบเซา แม้โดยปกติแล้วเดือน ก.ย. 66 จะเป็นเดือนที่ความต้องการซื้อบ้านในตลาดจีนจะเป็นไปอย่างคึกคักก็ตาม

ทั้งนี้ภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีนซึ่งเป็นหนึ่งในแรงขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจนั้น ได้รับแรงกดดันจากกฎระเบียบเข้มงวดที่รัฐบาลจีนบังคับใช้ตั้งแต่ปี 2563 เนื่องจากรัฐบาลต้องการควบคุมหนี้สินที่อยู่ในระดับสูงเกินไป โดยกฎระเบียบดังกล่าวส่งผลให้บรรดาบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เผชิญกับปัญหาสภาพคล่องตึงตัวและมีความเสี่ยงที่จะผิดนัดชำระหนี้มากขึ้นด้วย ขณะที่ในระยะสั้นเรายังคงไม่สามารถคาดหวังปัจจัยบวกจากฝั่งสหรัฐได้มากนัก เนื่องจากความเชื่อมั่นของนักลงทุนกลับมาลดลงอีกครั้ง หลังจากที่รัฐบาลสหรัฐเปิดเผยตัวเลขขาดดุลงบประมาณในปีงบประมาณ 2566 พุ่งขึ้น 23% จากปี 2565 เนื่องจากรัฐบาลมีรายได้ลดลง ขณะที่ค่าใช้จ่ายด้านประกันสังคม, ประกันสุขภาพ และอัตราดอกเบี้ยหนี้สินของรัฐบาลเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งยอดขาดดุลงบประมาณดังกล่าวนั้นเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2564

นอกจากนี้แม้ว่าตัวเลขเศรษฐกิจในภาคการบริโภค และการจ้างงานยังคงทรงตัวในระดับสูง แต่ในภาคการผลิตและภาคอสังหาริมทรัพย์ยังคงอ่อนแอมาก สะท้อนออกมาจากการที่ดัชนีภาคการผลิตในภูมิภาคมิด-แอตแลนติก ยังคงอยู่ที่ระดับ -9.0 ในเดือน ต.ค. 66 และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ -6.8 ขณะที่ในอสังหาริมทรัพย์พบว่า เมื่อเทียบรายปีตัวเลขการเริ่มต้นสร้างบ้านดิ่งลง 7.2% ในเดือน ก.ย. 66 และตัวเลขยอดขายบ้านมือสองลดลง 2% สู่ระดับ 3.96 ล้านยูนิตในเดือน ก.ย. 66 ซึ่งเป็นปรับตัวลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 4 ขณะที่ในส่วนของแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในทางเทคนิคถ้า SET จะกลับมาสร้าง Momentum ของการปรับตัวขึ้นในระยะสั้นอีกครั้งได้ SET จะต้องกลับมายืนเหนือ 1,520 จุดให้ได้อีกครั้งก่อน

ในส่วนของกลยุทธ์ สำหรับการลงทุนระยะสั้น (ไม่เกิน 1 สัปดาห์) กรณี SET ยังคงแกว่งตัวต่ำกว่า 1,520 จุด เน้น “Wait and See” สำหรับการลงทุนระยะกลาง (1-3 เดือน) ในลักษณะ Long-Only แนะนำ “คงสัดส่วนการลงทุนในหุ้นที่ระดับ 50% ของพอร์ต”

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ความเห็นส่วนตัวของผมนะครับ โปรดใช้วิจารณญาณ และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนการตัดสินใจลงทุนด้วยครับ สำหรับการพูดคุยกันระหว่างสัปดาห์นอกจากทาง Facebook ที่ www.facebook.com/hippowealththailand และ e-mail ที่ hippowealththailand@gmail.com แล้ว แฟนๆ ยังสามารถติดตามมุมมองเกี่ยวกับการลงทุนจาก “นายหมูบิน” ได้ในรายการ “เซียนเศรษฐกิจ” ทาง FM 97 ทุกวันอาทิตย์ เวลา 14.00-16.00 น. เช่นเดิมครับ


ภาพประกอบ : การวิเคราะห์ทิศทางตลาดหุ้นไทยในทางเทคนิครายวัน (Daily)

Source: TradingView


27 views
bottom of page