top of page
40_ดอกเบี้ยออนไลน์-603-x-230.jpg
image.png

ความคืบหน้าภาษีสหรัฐ หนุนตลาดหุ้นโลกไปต่อ


ree

สหรัฐเจรจายุโรปสำเร็จ! 

           

ปัจจัยบวกใหม่ในระยะสั้นของตลาดหุ้นโลก คือการที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐประกาศว่า สหรัฐได้บรรลุข้อตกลงการค้ากับสหภาพยุโรป (EU) แล้ว โดยจะเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจาก EU ในอัตรา 15% ลดลงจากก่อนหน้านี้ที่ขู่ว่าจะเรียกเก็บในอัตรา 30% หลังการเจรจาระดับสูงกับ อัวร์ซูลา ฟอน แดร์ ไลเอิน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป (EC) โดยฝ่าย EU ตกลงจะจัดซื้อพลังงานจากสหรัฐมูลค่า 7.5 แสนล้านดอลลาร์ และเพิ่มการลงทุนในสหรัฐอีก 6 แสนล้านดอลลาร์ จากระดับปัจจุบัน รวมถึงมีแผนสั่งซื้อยุทโธปกรณ์มูลค่าหลายแสนล้านดอลลาร์ แม้ทรัมป์จะไม่ได้ระบุตัวเลขที่ชัดเจน ซึ่งการประกาศครั้งนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ หลังจากการเจรจาระหว่างสหรัฐและ EU เผชิญความไม่แน่นอนมาหลายสัปดาห์ โดย EU ได้เตรียมมาตรการตอบโต้ รวมถึงพิจารณาใช้เครื่องมือป้องกันการบีบบังคับทางการค้า หากไม่สามารถบรรลุข้อตกลงทันเส้นตาย

           

ทั้งนี้ตามข้อมูลของสภายุโรป มูลค่าการค้าสินค้าและบริการระหว่าง EU และสหรัฐกับ EU แตะ1.97 ล้านล้านดอลลาร์ในปี 2567 โดย EU เกินดุลการค้าสินค้า แต่ขาดดุลในภาคบริการ ส่งผลให้มียอดเกินดุลประมาณ 5 หมื่นล้านยูโรในปี 2567 ที่ผ่านมา ซึ่งการบรรลุข้อตกลงดังกล่าวเกิดขึ้นในภาวะที่ เปียโร ชิโปลโลเน กรรมการบริหารธนาคารกลางยุโรป (ECB) เปิดเผยว่าเศรษฐกิจยุโรปกำลังแสดงสัญญาณที่ไม่สอดคล้องกัน ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องรอข้อมูลที่ชัดเจนมากขึ้น ก่อนจะพิจารณาว่าควรปรับลดอัตราดอกเบี้ยต่อไปหรือไม่ โดยความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่อ่อนแอเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการบริโภค ในขณะที่ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจยุโรปที่ยังดำเนินอยู่ และผลกระทบจากการเร่งใช้จ่ายล่วงหน้าที่กำลังคลี่คลาย อาจสร้างแรงกดดันต่อการลงทุนของภาคธุรกิจและการส่งออก โดยที่คำให้สัมภาษณ์นี้มีขึ้นเพียงสองวัน หลังจากที่ผู้กำหนดนโยบาย ECB ตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยไว้และไม่ให้แนวทางชัดเจนว่าจะมีการปรับลดดอกเบี้ยอีกหรือไม่ ซึ่งปัจจัยสำคัญในการประชุมครั้งถัดไป ขณะที่ล่าสุดผลสำรวจ ความเชื่อมั่นภาคธุรกิจของเยอรมนีในเดือน ก.ค. 68 ปรับตัวดีขึ้น แต่ยังน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ แม้บริษัทต่างๆ จะมีความพึงพอใจต่อสภาวะธุรกิจในปัจจุบันมากขึ้นก็ตาม โดยดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจประจำเดือน ก.ค. 68 เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 88.6 จากระดับ 88.4 ในเดือน มิ.ย. 68 ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 89.0  

           

สำนักงานสถิติแห่งชาติอังกฤษ (ONS) เปิดเผยว่ายอดค้าปลีกของสหราชอาณาจักร (UK) ในเดือน มิ.ย. 68 ขยับขึ้น 0.9% เมื่อเทียบรายเดือน โดยได้แรงหนุนจากสภาพอากาศร้อนที่ช่วยกระตุ้นยอดขายเครื่องดื่มและเสื้อผ้า อย่างไรก็ตาม ตัวเลขการฟื้นตัวดังกล่าวยังต่ำกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้ที่ 1.2% ทั้งนี้การขยายตัวในเดือน มิ.ย. 68 เกิดขึ้นหลังจากที่ยอดค้าปลีกร่วงลงอย่างหนักถึง 2.8% ในเดือน พ.ค. 68 ซึ่งเป็นการหดตัวที่รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่เดือน ธ.ค. 66 ดังนั้นการเจรจาที่สามารถตกลงกันได้ระหว่างสหรัฐและยุโรป จึงถือว่ามาได้ทันเวลาพอดี

           

ญี่ปุ่นจบแล้ว ส่วนจีนแนวโน้มดีมาก ! ในส่วนของญี่ปุ่นที่ได้มีการบรรลุข้อตกลงกับสหรัฐไปก่อนแล้ว ล่าสุดรัฐบาลญี่ปุ่นออกมาชี้แจงหลักเกณฑ์การแบ่งผลกำไรจากแพ็กเกจลงทุนมูลค่า 5.5 แสนล้านดอลลาร์ในสหรัฐ โดยย้ำว่าสัดส่วนจะขึ้นอยู่กับ "ระดับการลงทุนและความเสี่ยงที่แต่ละฝ่ายแบกรับ" ท่าทีดังกล่าวมีขึ้นหลังจากทำเนียบขาวระบุว่าผลตอบแทนจะถูกแบ่งในสัดส่วน 10% สำหรับญี่ปุ่น และ 90% สำหรับสหรัฐ โดยอิงตามระดับการลงทุนและความเสี่ยงที่แต่ละฝ่ายแบกรับ ซึ่งคำชี้แจงนี้สะท้อนว่า แผนการลงทุนดังกล่าวต้องอาศัยการมีส่วนร่วมอย่างมีนัยสำคัญจากฝั่งสหรัฐด้วย ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐหรือเอกชน แม้รายละเอียดเชิงโครงสร้างจะยังไม่ชัดเจน สำหรับแพ็กเกจการลงทุนมูลค่า 5.5 แสนล้านดอลลาร์นี้ เป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงที่ญี่ปุ่นจะดำเนินการเพื่อแลกกับการที่สหรัฐจะลดภาษีนำเข้าสินค้าประเภทรถยนต์และสินค้าส่งออกอื่นๆ

           

ทั้งนี้รัฐบาลญี่ปุ่นระบุว่า แพ็กเกจการลงทุนนี้จะอาศัยเงินกู้และการค้ำประกันจากรัฐวิสาหกิจอย่างธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (JBIC) และบริษัทประกันภัยการส่งออกและการลงทุนแห่งญี่ปุ่น (NEXI) เพื่อสนับสนุนให้บริษัทญี่ปุ่นสามารถสร้างห่วงโซ่อุปทานที่แข็งแกร่งในภาคส่วนยุทธศาสตร์ เช่น ยาและเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งการบรรลุข้อตกลงดังกล่าวระหว่างสหรัฐและญี่ปุ่นถือว่ามาทันเวลาพอดีเช่นกัน หลังจากที่กระทรวงกิจการภายในและการสื่อสารของญี่ปุ่นเปิดเผยว่า อัตราเงินเฟ้อในกรุงโตเกียวชะลอตัวลงเป็นเดือนที่สองติดต่อกันในเดือน ก.ค. 68 แม้ราคาอาหารยังคงอยู่ในระดับสูง โดยที่ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน (Core CPI) ซึ่งไม่รวมราคาอาหารสดในกรุงโตเกียว เพิ่มขึ้น 2.9% ในเดือน ก.ค. 68 เมื่อเทียบเป็นรายปี ลดลงจากระดับ 3.1% ในเดือน มิ.ย. 68 ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่อัตราเงินเฟ้ออยู่ต่ำกว่า 3% นับตั้งแต่เดือน มี.ค. 68 ที่ผ่านมา ทั้งนี้การชะลอตัวลงดังกล่าวมีสาเหตุส่วนใหญ่มาจากการที่รัฐบาลกรุงโตเกียวลดค่าน้ำประปาเพื่อช่วยภาคครัวเรือนให้สามารถรับมือกับสภาพอากาศร้อนในช่วงฤดูร้อน โดยค่าน้ำลดลง 34.6% เป็นเดือนที่สองติดต่อกัน ประกอบกับราคาพลังงานที่ลดลงหลังจากพุ่งขึ้นอย่างมากในปีที่แล้ว ส่วนดัชนี Core-Core CPI ซึ่งไม่รวมทั้งพลังงานและอาหารสด เพิ่มขึ้น 3.1% ซึ่งเท่ากับเดือนก่อนหน้า และสอดคล้องกับที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ไว้

             

ตัวเลขเงินเฟ้อของโตเกียวถูกมองว่าเป็นตัวบ่งชี้การขยายตัวของเงินเฟ้อทั่วประเทศ และดัชนี CPI พื้นฐานเป็นข้อมูลที่ BOJ จับตาอย่างใกล้ชิด โดยข้อมูลเงินเฟ้อเหล่านี้จะเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ BOJ ใช้ประกอบการพิจารณาในการทบทวนอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมวันที่ 30-31 ก.ค. 68

           

ในส่วนของการเจรจาระหว่างสหรัฐกับจีนมีแนวโน้มที่ดีขึ้น โดยหนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียลไทมส์รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า รัฐบาลสหรัฐได้ระงับมาตรการควบคุมการส่งออกเทคโนโลยีไปยังจีน เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบต่อการเจรจาการค้ากับจีน และสนับสนุนความพยายามของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ในการจัดการประชุมกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ภายในปีนี้ โดยรายงานระบุว่า สำนักงานอุตสาหกรรมและความมั่นคงในสังกัดกระทรวงพาณิชย์สหรัฐซึ่งดูแลด้านมาตรการคุมส่งออก ได้รับคำสั่งในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาให้หลีกเลี่ยงดำเนินมาตรการที่เข้มงวดต่อจีน ทั้งนี้การเร่งเจรจาการค้าถือว่ามีความสำคัญยิ่งสำหรับสหรัฐ หลังจากที่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐหลายๆ ตัวเริ่มย่ำแย่ โดยล่าสุดรายงานจาก Bloomberg Intelligence และ Travel and Tour World ระบุว่าร้านค้าปลีกในเมืองใหญ่ของสหรัฐกำลังเผชิญความสูญเสียอย่างหนัก เนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ลดลงอย่างมาก โดยคาดว่ามูลค่าการขายปลีกจะหายไปถึง 2 หมื่นล้านดอลลาร์ในปีนี้

           

ผู้เชี่ยวชาญด้านค้าปลีกชี้ว่า ปัจจัยสำคัญที่ทำให้การใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวลดลง มาจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวในประเทศตลาดหลักๆ ทำให้กำลังซื้อลดลง ประกอบกับค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้นักท่องเที่ยวลังเลที่จะใช้จ่ายในสหรัฐ โดย Travel and Tour World ระบุว่า เพียงนิวยอร์กซิตีเพียงเมืองเดียว คาดว่าจะสูญเสียรายได้จากการค้าปลีกราว 4 พันล้านดอลลาร์ ขณะที่ลอสแอนเจลิสอาจสูญอีกราว 2 พันล้านดอลลาร์ ขณะที่ในฝั่งรายได้ พบว่ารายงานตลาดแรงงานของ Indeed ซึ่งเป็นเว็บไซต์จัดหางานระบุว่า แรงงานสหรัฐกว่า 40% มีรายได้แท้จริงลดลงในช่วงปีที่ผ่านมา โดยรายงานชี้ว่า การเพิ่มขึ้นของค่าจ้างส่วนใหญ่กระจุกตัวในอาชีพที่มีรายได้สูง เช่น วิศวกรรมไฟฟ้า บริการด้านกฎหมาย และการตลาด ซึ่งมีการเติบโตของค่าจ้างเกิน 6% ต่อปี ในทางกลับกัน อาชีพที่มีรายได้ต่ำอย่างบริการอาหาร การดูแลเด็ก และการดูแลส่วนบุคคล กลับแทบไม่เห็นการเพิ่มขึ้นของค่าจ้างที่แท้จริง หรือบางส่วนยังลดลง

           

ขณะที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยังคงกดดันให้ เจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับลดอัตราดอกเบี้ย ในระหว่างการเยือนสำนักงานใหญ่ของเฟดในกรุงวอชิงตัน สะท้อนให้เห็นถึงความขัดแย้งในทางความคิดในการดำเนินนโยบายการเงินและการคลังของสหรัฐได้เป็นอย่างดี

           

ในส่วนของไทย สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) อยู่ระหว่างประเมินผลกระทบจากสถานการณ์ความขัดแย้งในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ที่จะมีต่อเศรษฐกิจไทย โดยเชื่อว่าไม่น่าจะมีผลกระทบมากนัก และหวังว่าสถานการณ์จะไม่ยืดเยื้อ โดยแนวโน้มเศรษฐกิจไทยไตรมาส 2/2568 จะยังขยายตัวได้ดี โดยยังได้รับแรงส่งจากไตรมาส 1/2568 ที่ GDP ขยายตัวได้ถึง 3.1% อีกทั้งยังได้อานิสงส์จากแนวโน้มการส่งออกที่เติบโตได้ดีจากการเร่งส่งออกก่อนสิ้นสุดระยะเวลาผ่อนผันปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าของสหรัฐ


ในส่วนของกลยุทธ์ สำหรับการลงทุนระยะสั้น (ไม่เกิน 1 สัปดาห์) เน้น “อ่อนตัวซื้อลงทุน” สำหรับการลงทุนระยะกลาง (1-3 เดือน) ในลักษณะ Long-Only แนะนำ “เพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นไปที่ระดับ 75% ของพอร์ต”   

           

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ความเห็นส่วนตัวของผมนะครับ โปรดใช้วิจารณญาณ และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนการตัดสินใจลงทุนด้วยครับ สำหรับการพูดคุยกันระหว่างสัปดาห์นอกจากทาง Facebook ที่ www.facebook.com/hippowealththailand และ e-mail ที่ hippowealththailand@gmail.com แล้ว แฟนๆ ยังสามารถติดตามมุมมองเกี่ยวกับการลงทุนจาก “นายหมูบิน” ได้ในรายการ “เซียนเศรษฐกิจ” ทาง FM 97.00 ทุกวันอาทิตย์ เวลา 14.00-16.00 น. เช่นเดิมครับ

 

ภาพประกอบ : การวิเคราะห์ทิศทางตลาดหุ้นไทยในทางเทคนิครายวัน (Daily)

ree

Source: TQ

 
 
 

Comments


bottom of page