top of page

ภาพใหญ่ของโลกดีขึ้น แต่การเมืองยังกดดันหุ้นไทย


สถานการณ์สหรัฐกับจีนดูดีขึ้น ! ในระยะสั้นตลาดหุ้นโลกและสหรัฐจะได้รับปัจจัยหนุน จากการที่ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐที่สูงกว่าคาด รวมทั้งคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีนี้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ นอกจากนี้นักลงทุนคลายความวิตกเกี่ยวกับสถานการณ์ในตะวันออกกลาง ขณะที่อิสราเอลและอิหร่านยังคงปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิง โดยที่ผลสำรวจของมหาวิทยาลัยมิชิแกนระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 60.7 ในเดือน มิ.ย. 68 สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 60.5 จากระดับ 52.2 ในเดือน พ.ค. 68

ทั้งนี้ดัชนีความเชื่อมั่นได้รับแรงหนุนจากการที่ผู้บริโภคคลายความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อและการทำสงครามการค้า หลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผ่อนผันการบังคับใช้มาตรการเรียกเก็บภาษีศุลกากรต่อประเทศคู่ค้าออกไปเป็นเวลา 90 วัน โดยทำเนียบขาวเปิดเผยว่า ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อาจขยายเวลาการระงับใช้มาตรการภาษีศุลกากรตอบโต้ที่กำหนดไว้ 90 วัน ซึ่งคำสั่งระงับใช้มาตรการดังกล่าวจะหมดอายุในวันที่ 9 ก.ค. 68 ขณะที่ นายโฮเวิร์ด ลุตนิก รัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐ ระบุว่า สหรัฐและจีนได้ข้อสรุปเกี่ยวกับกรอบข้อตกลงการค้าแล้ว และคาดว่าสหรัฐจะบรรลุข้อตกลงกับคู่ค้ารายใหญ่จำนวน 10 ประเทศในเร็วๆ นี้        

ด้านกระทรวงพาณิชย์ของจีนออกแถลงการณ์ว่า จีนและสหรัฐได้ยืนยันกรอบข้อตกลงทางการค้า ซึ่งจะทำให้จีนส่งออกแร่หายากไปยังสหรัฐ ขณะที่สหรัฐจะผ่อนคลายข้อจำกัดด้านเทคโนโลยีต่อจีน ทั้งนี้กระแสข่าวที่ระบุว่าจีนกำลังวางแผนเชิญประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ เข้าร่วมพิธีสวนสนาม ณ จัตุรัสเทียนอันเหมินในกรุงปักกิ่งในวันที่ 3 ก.ย. 68 เพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 80 ปีการสิ้นสุดของสงครามโลกครั้งที่ 2 และฝั่งสหรัฐเองก็ได้เสนอให้ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เดินทางมาเยือนในเดือนเดียวกัน ซึ่งตรงกับการประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ (UN) ที่จะจัดขึ้นในนิวยอร์ก ซึ่งจะถือเป็นการพบปะกันแบบหน้าต่อหน้าครั้งแรกระหว่างผู้นำของมหาอำนาจทั้งสองชาตินับตั้งแต่ที่ทรัมป์หวนคืนสู่ทำเนียบขาวเมื่อเดือน ม.ค. 68 ในการรับตำแหน่งผู้นำสหรัฐสมัยที่ 2          

อย่างไรก็ตาม นายมาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะนักการเมืองผู้มีท่าทีแข็งกร้าวต่อจีนมานาน และเจ้าหน้าที่อาวุโสของสหรัฐอีกหลายคนอาจคัดค้านการเข้าร่วมพิธีสวนสนามของทรัมป์ในครั้งนี้ ขณะเดียวกันรัฐบาลจีนไม่เต็มใจที่จะให้สีเดินทางเยือนสหรัฐเพราะหวั่นว่าจะเกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยการประชุมที่ทำเนียบขาวในเดือน ก.พ. 68 ซึ่งทรัมป์ได้ตำหนิประธานาธิบดีโวโลดีเมียร์ เซเลนสกี ของยูเครนต่อสาธารณะ         

นอกจากนี้ปัจจุบันนักลงทุนคาดการณ์ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีนี้ โดยคาดว่าจะเกิดขึ้นในเดือน ก.ย., ต.ค. และ ธ.ค. จากเดิมที่คาดว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพียง 2 ครั้ง หลังสหรัฐเปิดเผยตัวเลขเศรษฐกิจที่ซบเซา โดยล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 79.3% ที่เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 4.25-4.50% ในการประชุมเดือน ก.ค. 68 นอกจากนี้ FedWatch Tool บ่งชี้ว่านักลงทุนคาดว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 4.00-4.25% ในการประชุมเดือน ก.ย. 68, ปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 3.75-4.00% ในการประชุมเดือน ต.ค. 68 และปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 3.50-3.75% ในการประชุมเดือน ธ.ค. 68 ขณะเดียวกัน ผู้บริโภคคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้น 5.0% ในช่วง 1 ปีข้างหน้า ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ในเดือน พ.ค.ที่ระดับ 6.6% นอกจากนี้ ผู้บริโภคคาดการณ์ว่าเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้น 4.0% ในช่วง 5 ปีข้างหน้า ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ในเดือน พ.ค. 68 ที่ระดับ 4.2%         

ยังคงมีความเสี่ยง โดยเฉพาะจากการเมืองไทย ! อย่างไรก็ดีปัจจัยที่ยังคงส่งผลให้ความเปราะบางยังคงมีอยู่มากสำหรับตลาดหุ้นสหรัฐ คือตัวเลขเศรษฐกิจ โดยที่ล่าสุดกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยตัวเลขประมาณการครั้งที่ 3 สำหรับผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำไตรมาส 1 ปี 2568 โดยระบุว่าเศรษฐกิจสหรัฐหดตัว 0.5% ในไตรมาสดังกล่าว ย่ำแย่กว่าตัวเลขประมาณการครั้งที่ 2 ที่ระบุว่าหดตัว 0.2% ขณะที่ตัวเลขประมาณการครั้งที่ 1 ระบุว่าหดตัว 0.3%           

ทั้งนี้เศรษฐกิจสหรัฐหดตัวเป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปีในไตรมาส 1 ปี 2568 โดยได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของการใช้จ่ายของผู้บริโภค รวมทั้งตัวเลขนำเข้าที่พุ่งขึ้น 37.9% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2563 จากการที่บริษัทต่างๆ พากันเร่งนำเข้าสินค้าก่อนที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์จะประกาศมาตรการเรียกเก็บภาษีศุลกากรครั้งใหญ่ในเดือน เม.ย. 68 โดยในปี 2567 เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัว 1.4% ในไตรมาส 1, 3.0% ในไตรมาส 2, 3.1% ในไตรมาส 3 และ 2.4% ในไตรมาส 4 ตามลำดับ           

นอกจากนี้กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่าดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคลทั่วไป (Headline PCE) ซึ่งรวมหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้น 2.3% ในเดือน พ.ค. 68 เมื่อเทียบรายปี จากระดับ 2.2% ในเดือน เม.ย. 68 ส่วนดัชนี PCE พื้นฐาน (Core PCE) ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน และเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ให้ความสำคัญ ปรับตัวขึ้น 2.7% ในเดือน พ.ค. 68 เมื่อเทียบรายปี จากระดับ 2.6% ในเดือน เม.ย. 68 ดัชนี PCE ถือเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่สามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของผู้บริโภค และครอบคลุมราคาสินค้าและบริการในวงกว้างมากกว่าดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI)           

ขณะที่ในด้านของการเจรจาการค้า กระทรวงพาณิชย์จีน ระบุว่าจีนจะคัดค้านอย่างเต็มที่กับการทำข้อตกลงการค้าของประเทศใดๆ ก็ตามกับสหรัฐอเมริกา โดยทำให้จีนต้องเสียผลประโยชน์เพื่อแลกกับการได้รับการผ่อนผันภาษี โดยจีนจะไม่ยอมรับและจะใช้มาตรการตอบโต้อย่างเด็ดขาดเพื่อปกป้องสิทธิและผลประโยชน์อันชอบธรรม           

ล่าสุดดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเดือน มิ.ย. 68 ของจีนอยู่ที่ระดับ 49.7 ซึ่งอยู่ที่ต่ำกว่าระดับ 50 ติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3 ซึ่งบ่งชี้ว่าภาคการผลิตของจีนยังคงอยู่ในภาวะหดตัว ส่วนดัชนี PMI นอกภาคการผลิตซึ่งรวมถึงภาคบริการและการก่อสร้าง ดีดตัวขึ้นแตะระดับ 50.5 ในเดือน มิ.ย. 68 จากระดับ 50.3 ในเดือน พ.ค. 68 โดยดัชนีที่สูงกว่า 50 บ่งชี้ว่าภาคบริการของจีนยังคงมีการขยายตัว ทั้งนี้ผู้ประกอบการในภาคการผลิตของจีนได้รับผลกระทบจากสงครามราคาที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น ท่ามกลางภาวะอุปทานที่อยู่ในระดับสูงและอุปสงค์ผู้บริโภคที่อ่อนแอ โดยสถานการณ์เหล่านี้ย่ำแย่ลงนับตั้งแต่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐได้ปรับขึ้นภาษีศุลกากร ซึ่งส่งผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าจากจีนไปยังสหรัฐซึ่งเป็นตลาดผู้บริโภคที่ใหญ่ที่สุดในโลก อย่างไรก็ดี ตลาดคาดการณ์ว่าดัชนี PMI ภาคการผลิตที่หดตัวอย่างต่อเนื่องจะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้รัฐบาลจีนออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อรับมือกับผลกระทบของข้อพิพาทการค้า

ขณะที่ในฝั่งของญี่ปุ่น ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยืนยันอย่างชัดเจนในการให้สัมภาษณ์กับสื่อที่ว่า ตัวเขาไม่มีแผนที่จะพับแผนเรียกเก็บภาษีศุลกากรรถยนต์ในอัตราที่สูงกับญี่ปุ่น แม้ญี่ปุ่นจะคัดค้านอย่างหนักในการเจรจาที่หยุดชะงักไปแล้วก็ตาม ซึ่งการยืนยันจุดยืนดังกล่าวของทรัมป์มีขึ้นในขณะที่การพักการเรียกเก็บภาษีกับแต่ละประเทศเป็นเวลา 90 วันของรัฐบาลของเขาจะสิ้นสุดลงในวันที่ 9 ก.ค. 68 และการเจรจากับญี่ปุ่นที่หยุดชะงัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับการเพิ่มภาษีนำเข้ารถยนต์จาก 2.5% เป็น 27.5% ในเดือน เม.ย. 68

ในส่วนของประเทศไทย แม้ว่าในด้านเศรษฐกิจ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) จะเปิดเผยภาวะเศรษฐกิจการคลังประจำเดือน พ.ค. 68 ระบุว่า สถานการณ์เศรษฐกิจไทยในเดือน พ.ค. 68 ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการส่งออกสินค้า ที่ขยายตัวในระดับสูงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 11 อย่างไรก็ดี จำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศชะลอตัวลง ขณะที่จำนวนผู้เยี่ยมเยือนชาวไทย ยังขยายตัวได้ต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามปัจจัยทางการเมืองเกี่ยวกับเสถียรภาพรัฐบาล เป็นปัจจัยกดดันที่สุดของตลาดหุ้นไทย โดยที่ล่าสุด "สวนดุสิตโพล" มหาวิทยาลัยสวนดุสิต เผยผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนทั่วประเทศ พบว่าในภาพรวมดัชนีการเมืองไทยประจำเดือน มิ.ย. 68 เฉลี่ย 4.13 คะแนน ลดลงจากเดือน พ.ค. 68 ที่ได้ 4.70 คะแนน และต่ำที่สุดในรอบ 18 เดือน ขณะที่ผลงานนายกรัฐมนตรีตกไปอยู่อันดับที่ 20 ทั้งนี้ตัวชี้วัดที่ได้คะแนนสูงสุด คือ ผลงานของฝ่ายค้าน เฉลี่ย 5.15 คะแนน ตัวชี้วัดที่ได้คะแนนต่ำสุด คือ การแก้ปัญหาความยากจนและราคาสินค้า เท่ากัน 3.92 คะแนน

ในส่วนของกลยุทธ์ สำหรับการลงทุนระยะสั้น (ไม่เกิน 1 สัปดาห์) เน้น “อ่อนตัวซื้อลงทุน” สำหรับการลงทุนระยะกลาง (1-3 เดือน) ในลักษณะ Long-Only แนะนำ “เพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นไปที่ระดับ 75% ของพอร์ต”  

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ความเห็นส่วนตัวของผมนะครับ โปรดใช้วิจารณญาณ และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนการตัดสินใจลงทุนด้วยครับ สำหรับการพูดคุยกันระหว่างสัปดาห์นอกจากทาง Facebook ที่ www.facebook.com/hippowealththailand และ e-mail ที่ hippowealththailand@gmail.com แล้ว แฟนๆ ยังสามารถติดตามมุมมองเกี่ยวกับการลงทุนจาก “นายหมูบิน” ได้ในรายการ “เซียนเศรษฐกิจ” ทาง FM 97.00 ทุกวันอาทิตย์ เวลา 14.00-16.00 น. เช่นเดิมครับ

ภาพประกอบ : การวิเคราะห์ทิศทางตลาดหุ้นไทยในทางเทคนิครายวัน (Daily)

Source: TQ

Comments


bottom of page