top of page

การเมืองในประเทศ กดดันตลาดหุ้นไทยในระยะสั้น 


ภาพรวมดีขึ้นเรื่อยๆ !

           

ทิศทางของตลาดหุ้นไทยในภาพรวมเริ่มดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลัง พิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง เปิดเผยว่าขณะนี้ประเทศสหรัฐได้ตอบรับอย่างเป็นทางการแล้ว ที่จะเริ่มเจรจากับประเทศไทยเรื่องมาตรการภาษี และการค้าระหว่างสองฝ่าย โดยไทยได้รับการติดต่อจากประเทศสหรัฐแล้วผ่านกระทรวงการต่างประเทศ ขณะที่ในส่วนของความขัดแย้งกับกัมพูชาล่าสุดจากการเจรจากันทั้งสองฝ่ายในทุกระดับ สรุปตรงกันว่าขณะนี้กองกำลังของทั้ง 2 ฝ่าย (ไทย-กัมพูชา) ได้ออกตรวจแนวพื้นที่ร่วมกัน ทั้งสองฝ่ายพยายามหาวิธีการในการลดความขัดแย้งและการเผชิญหน้า ซึ่งทำให้สถานการณ์ “หน้างาน” ในพื้นที่เป็นไปในทางที่ดีมากขึ้น

           

นอกจากนี้มีกระแสข่าวเพิ่มเติมว่ากองกำลังสองฝ่ายได้มีการออกสำรวจพื้นที่ และแนวคูเลตร่วมกันและได้มีการกลบฝังพื้นที่ตามข้อตกลงร่วมกัน พร้อมกับมีการปรับกำลังของทั้งสองฝ่ายไปอยู่ในแนวพื้นที่ที่ได้ตกลงกันไว้ ในช่วงสถานการณ์ปกติเมื่อปี 2567 เรียบร้อยแล้ว

           

อย่างไรก็ดีความขัดแย้งในรัฐบาลโดยเฉพาะเรื่องการปรับคณะรัฐมนตรี(ครม.) จะเป็นประเด็นกดดันให้การแกว่งตัวขึ้นของตลาดหุ้นยังคงจำกัด และเต็มไปด้วยความผันผวน โดยเฉพาะหลังจากที่ล่าสุด อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงกระแสข่าวการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ภายหลังเดินทางกลับจากปฏิบัติภารกิจต่างประเทศว่า ว่ายังไม่มีการพูดคุยเรื่องการปรับ ครม.ในขณะนี้ รัฐมนตรีทุกคนยังทำงานได้เต็มที่ นี่คือสิ่งที่ได้ตกลงกันไว้ตั้งแต่ตั้งรัฐบาลนายกเศรษฐา ทวีสิน มาจนถึง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร รวมถึงแกนนำพรรคร่วมรัฐบาลยังทำงานตามข้อตกลงเดิม... สะท้อนให้เห็นถึงความแข็งกร้าวของพรรคร่วมรัฐบาลบางพรรค

           

ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศ เป็นบวกชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ โดยในส่วนของสหรัฐล่าสุดกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือน พ.ค. 68 เพิ่มขึ้น 139,000 ตำแหน่ง หลังจากเพิ่มขึ้น 147,000 ตำแหน่งในเดือน เม.ย. 68 และมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ว่าอาจจะเพิ่มขึ้นเพียง 130,000 ตำแหน่ง ขณะที่อัตราว่างงานยังคงอยู่ที่ระดับ 4.2% สอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ อย่างไรก็ดีหลังจากการรายงานข้อมูลนี้ บรรดานักลงทุนประเมินว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ยังไม่จำเป็นต้องรีบปรับลดอัตราดอกเบี้ย โดยคาดว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยในเดือน ก.ย. 68 และอาจมีการลดอีกครั้งภายในเดือน ธ.ค. 68 โดยคณะกรรมการนโยบายการเงินของเฟดจะประชุมกันในวันที่ 18 กันยายน หลังจากที่ก่อนหน้านี้ ตัวเลขการจ้างงานภาคเอกชนและดัชนีภาคบริการที่อ่อนแอกว่าคาดได้เพิ่มความกังวลว่าความไม่แน่นอนด้านการค้าอาจกระทบเศรษฐกิจสหรัฐ

           

ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาแอตแลนตา เปิดเผยว่าแบบจำลองคาดการณ์ GDPNow ล่าสุดแสดงให้เห็นว่า เศรษฐกิจสหรัฐมีการขยายตัว 3.8% ในไตรมาส 2 ปี 2568 หลังจากเศรษฐกิจหดตัว 0.2% ในไตรมาส 1 โดยที่ในเดือน พ.ค. 68 ดัชนี S&P500 และดัชนี Nasdaq ปรับตัวขึ้นรายเดือนมากที่สุดนับตั้งแต่เดือน พ.ย. 66 โดยได้ปัจจัยหนุนจากท่าทีด้านการค้าของทรัมป์ที่อ่อนลง และผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่แข็งแกร่ง

           

ขณะที่การเจรจาการค้าระหว่างเจ้าหน้าที่สหรัฐ และจีนมีความคืบหน้ามากขึ้น หลังเจ้าหน้าที่ฝั่งสหรัฐ นำโดย สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลัง, โฮเวิร์ด ลุตนิก รัฐมนตรีพาณิชย์ และเจมีสัน เกรียร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐ ได้พบกับเจ้าหน้าที่ฝั่งจีนนำโดย รองนายกรัฐมนตรีเหอ ลี่เฟิง แล้ว ขณะเดียวกัน มีรายงานว่าจีนได้ออกใบอนุญาตส่งออกชั่วคราวแก่ผู้ผลิตแร่หายากซึ่งส่งวัตถุดิบให้แก่บริษัทรถยนต์รายใหญ่ 3 รายของสหรัฐ ซึ่งเป็นอีกสัญญาณหนึ่งที่บ่งชี้ถึงความพยายามลดความตึงเครียดระหว่างสองฝ่าย

           

ความผันผวนระยะสั้นๆ ยังคงมี ! อย่างไรก็ดีความผันผวนในระยะสั้นๆ ยังคงมีจากการที่ญี่ปุ่นและสหรัฐ ยังไม่สามารถหาข้อตกลงร่วมกันในประเด็นภาษีศุลกากรได้ แต่ยังคงตั้งเป้าที่จะบรรลุข้อตกลงบางรูปแบบภายในกลางเดือน มิ.ย. 68 ทั้งนี้ เรียวเซ อาคาซาวะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงฟื้นฟูเศรษฐกิจของญี่ปุ่นเปิดเผยกับผู้สื่อข่าว หลังการหารือกับ สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีคลังสหรัฐ และ โฮเวิร์ด ลุตนิก รัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐ ที่กรุงวอชิงตันว่าเขาเชื่อว่าการเจรจาครั้งนี้มีความคืบหน้าเพิ่มเติม อย่างไรก็ดีญี่ปุ่นยังไม่มีการตัดสินใจว่าจะมีการเจรจารอบใหม่ในสัปดาห์หน้าหรือหลังจากนั้นหรือไม่ ทั้งนี้นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นชิเงรุ อิชิบะ และประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ มีกำหนดพบปะหารือกันในการประชุมสุดยอดกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ 7 ประเทศ (G7) ที่จะจัดขึ้นเป็นเวลา 3 วันในแคนาดาระหว่างวันที่ 15-17 มิ.ย. 68 ซึ่งสถานการณ์ล่าสุดญี่ปุ่นยังคงยืนยันที่จะไม่ยอมรับข้อตกลงใดๆ หากข้อตกลงนั้นไม่เป็นประโยชน์กับทั้งสองฝ่าย โดยรัฐบาลญี่ปุ่นยังคงย้ำจุดยืนของญี่ปุ่นอย่างต่อเนื่องที่ว่า สหรัฐควรยกเลิกการเก็บภาษีเพิ่มเติมที่รัฐบาลทรัมป์ประกาศใช้ในเดือน เม.ย. 68

           

ขณะที่ อัลแบร์โต มูซาเล็ม ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขาเซนต์หลุยส์เตือนว่า ผู้กำหนดนโยบายของสหรัฐ จะต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนต่อไปจนถึงช่วงฤดูร้อน จากความเสี่ยงที่สงครามการค้าภายใต้การบริหารของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อาจเป็นปัจจัยผลักดันเงินเฟ้อให้เพิ่มขึ้นอย่างยืดเยื้อ โดยเขาประเมินว่า ความเป็นไปได้ในเรื่องนี้อยู่ที่ราวครึ่งต่อครึ่ง พร้อมทั้งระบุว่าหากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับนโยบายการค้าระหว่างประเทศและทิศทางด้านการคลังเริ่มคลี่คลายภายในเดือน ก.ค. 68 ก็จะเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจ และอาจเปิดทางให้เฟดกลับมาปรับลดอัตราดอกเบี้ยได้ในการประชุมเดือน ก.ย. 68 ทั้งนี้การขึ้นภาษีนำเข้าภายใต้รัฐบาลทรัมป์อาจส่งผลให้เงินเฟ้อปรับตัวขึ้นในช่วงหนึ่งถึงสองไตรมาส แต่ขณะเดียวกันก็มีความเป็นไปได้ที่แรงกดดันด้านราคาจะดำเนินต่อเนื่องไปยาวนานกว่านั้น ขณะที่ตลาดการเงินยังอยู่ในภาวะผันผวนจากทั้งแผนการขึ้นภาษีของทรัมป์และร่างงบประมาณมูลค่า 2.4 ล้านล้านดอลลาร์ ทำให้เฟดต้องชะลอการผ่อนคลายนโยบายการเงินไว้ก่อน หลังจากที่เคยลดดอกเบี้ยไปเมื่อปีก่อน โดยคาดว่าจะยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้เท่าเดิมในการประชุมรอบเดือนมิถุนายน พร้อมกับการเปิดเผยประมาณการเศรษฐกิจรอบใหม่

           

ในส่วนของกลยุทธ์ สำหรับการลงทุนระยะสั้น (ไม่เกิน 1 สัปดาห์) เน้น “อ่อนตัวซื้อลงทุน” สำหรับการลงทุนระยะกลาง (1-3 เดือน) ในลักษณะ Long-Only แนะนำ “เพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นไปที่ระดับ 75% ของพอร์ต”

           

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ความเห็นส่วนตัวของผมนะครับ โปรดใช้วิจารณญาณ และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนการตัดสินใจลงทุนด้วยครับ สำหรับการพูดคุยกันระหว่างสัปดาห์นอกจากทาง Facebook ที่ www.facebook.com/hippowealththailand และ e-mail ที่ hippowealththailand@gmail.com แล้ว แฟนๆ ยังสามารถติดตามมุมมองเกี่ยวกับการลงทุนจาก “นายหมูบิน” ได้ในรายการ “เซียนเศรษฐกิจ” ทาง FM 97.00 ทุกวันอาทิตย์ เวลา15.00-16.00 น. เช่นเดิมครับ


ภาพประกอบ : การวิเคราะห์ทิศทางตลาดหุ้นไทยในทางเทคนิครายวัน (Daily)

Source: TQ

Comments


bottom of page