top of page
312345.jpg

แนะสูตรลงทุนปลอดภัย ก่อนถึงจุด Pre-Bottom : ถือเงินสด 40% พอร์ตหุ้น-ตราสารหนี้ไม่เกิน 15% ทองคำ 10%



Interview: คุณธนากร มนูญผล ผู้บริหารที่ปรึกษาการลงทุนและผลิตภัณฑ์ธนบดีธนกิจ ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย


โควิดทำทุกอย่างพัง! ทั้งตลาดหุ้น ตลาดตราสารหนี้ ตลาดเงินตรา ตลาดน้ำมัน ทองคำ อสังหาฯ ยับเยินถ้วนหน้า เมื่อทุกคนทั่วโลกกอดเงินสดแน่น ที่น่ากลัวคือยังไม่เห็นจุดต่ำสุดที่แท้จริง กูรูแนะนำ ช่วง Pre Bottom ถือเงินสด 40% พอร์ตหุ้น-ตราสารหนี้ลดเหลือไม่เกิน 15% พอร์ตทองคำ 10% กองทุนอสังหาฯ ถือ 10% คาดดัชนีตลาดหุ้นไทยป้วนเปี้ยนแถว 1,100 โดยมีดัชนี 860-900 เป็นแนวรับสำคัญ ส่วนภาคธนาคารยังปึ้กด้วยเงินกองทุนที่แน่นปั้ก ด้านธุรกิจเครือข่ายเจ้าสัว กลุ่มปตท. ยังแข็งแกร่งเพราะมีธุรกิจหลากหลาย กระจายความเสี่ยงได้


มองทิศทางตลาดหุ้นอย่างไร จะแย่กว่านี้ไหม

ครั้งนี้เป็นครั้งที่ซีเรียสที่สุดที่เคยเจอมา คราวนี้ผมจะวางภาพเป็น 2 ช่วง การวางการลงทุนตรงนี้ภาพเดียวคงไม่พอ เชื่อว่าสถานการณ์ยังไม่จบ ครั้งนี้เราอยู่ในเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ หากย้อนไปในวิกฤตปี 2008 ตลาดปัจจุบันมีความผันผวนมากที่สุด หากย้อนไปดูช่วง 2008 วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ช่วงนั้น 6 เดือนต่ำสุด ตลาดหุ้น S&P500 ปรับตัวมากกว่า 9% แต่ใน 2-3 อาทิตย์นี้เราเห็นเกิน 3-4 ครั้งเรียบร้อย กลายเป็นว่าทั้งตลาดหุ้น ตลาดตราสารหนี้ ตลาดน้ำมัน ตลาดทองตลาดที่เรียกว่าเป็นพระเอกตั้งแต่ปีที่แล้ว อสังหาริมทรัพย์ ทุกอย่างลงมาพร้อมกันหมด ดังนั้นไม่ใช่เรื่องปกติแน่นอน ตอนนี้เกิดปัญหาคือทุกคนวิ่งเข้าหาสภาพคล่องกันหมด

เราไม่คิดว่าโควิดจะสามารถทำให้ลุกลามบานปลายขนาดนี้ ที่สำคัญวิกฤตการณ์รอบนี้ต่างจากวิกฤตการเงิน ปี 2008 คือครั้งนั้นเงินอยู่ผิดที่ผิดทาง ธนาคารกลางออกมาอัดฉีดเงิน ลดดอกเบี้ย ย้ายเงินให้ไปอยู่ในที่ที่ทำให้ Activity เกิดขึ้นอีกรอบ ก็พอแก้ไขปัญหาได้ แต่รอบนี้ปัญหาคือการชะลอตัวไม่ได้อยู่ในภาคการเงิน แต่อยู่ใน Business Activity ความน่ากลัวของโรคโควิดคือคนไม่ออกมาจับจ่ายใช้สอย เกิด Lockdownขึ้น ตอนนี้ Earning ของตลาดบ้านเราได้รับผลกระทบแน่นอน ตลาดอเมริการะดับโลกลงมา 30% ฝั่งยุโรปก็ 30% เมืองไทยมีช่วงนึงแย่ที่สุดในโลก ถามว่าปัจจุบันนิ่งหรือยัง ก็ยังไม่นิ่ง เพราะถึงจะลงมาต่ำกว่าเฉลี่ย 10 ปีย้อนหลัง แต่สิ่งที่เรายังไม่เจอคือการปรับตัวลงของประมาณการงบดุลของผลประกอบการที่ต้องปรับลงมาอีก เชื่อว่าตั้งแต่ต้นปีจนถึงโควิดลงมาแล้ว 7% ถูกลากยาวมาจากเงินบาทแข็งค่าปีที่แล้ว ราคาน้ำมันที่ลดต่ำ แต่รอบนี้ราคาน้ำมันน่าจะลงต่ออีกด้วย จริงๆ ลงมาเยอะแล้วที่ 20 กว่าเหรียญ กลับไปอยู่ต่ำสุดตั้งแต่ปี 2016 แต่เราเชื่อว่ารอบนี้น่าจะมีปัญหาอีกเพราะส่วนใหญ่ถ้าเราย้อนไปตั้งแต่เรื่องน้ำมันส่วนใหญ่เป็นเรื่องการเมืองก็ไม่จบง่ายๆ


อยากจะพูดถึงโลกที่มันเปลี่ยนไปเมื่อปี 2008 ตอนนี้ตัวเลขนึงที่น่าสนใจคือถ้าเราเอามูลค่าตลาดหลักทรัพย์อเมริกาหารด้วยเศรษฐกิจ หลังจากที่ปรับตัวลงมาเกือบ 30% ตัวเลขตรงนี้กลับมาอยู่ที่ระดับสูงสุดเมื่อปี 2008 เท่านั้นเอง หมายความว่า ณ จุดนี้เมื่อปี 2008 ตอนที่วิกฤตการณ์ที่บอกฟองสบู่มันโตขึ้น ของเราโดนเทลงมา 30% เพิ่งอยู่จุดสูงสุดตอนนั้นเอง หมายความว่าช่วงตั้งแต่ 12 ปีที่ผ่านมาการเติบโตของมูลค่าสินทรัพย์มันถูกพองจนเยอะ ในรอบนี้ความน่ากลัวเรื่องนึงที่น่าสนใจคือ ดอกเบี้ยที่ผ่านมาเป็นขาลง เชื่อว่าตอนนี้กำลังจะหมดยุคขาลงแล้ว จะกลับเข้าสู่ดอกเบี้ยขาขึ้น แต่จะขึ้นเมื่อไหร่ต้องรอดู อาจจะอยู่ต่ำแบบนี้ไปสักระยะนึงเพราะธนาคารกลางแต่ละประเทศจะกดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ปัญหาตอนนี้คือ กระตุ้น 2 ทาง ทางการเงินและลดดอกเบี้ย ทางการคลังคืออัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบ ก็จะตามมาด้วยการกู้หนี้ยืมสินเพิ่มเติม ซัพพลายของเงินแต่ละประเทศจะเพิ่มขึ้น จึงเป็นที่มาของดอกเบี้ยขยับ การใช้จ่ายของการคลัง ตามมาด้วยการที่คนพยายามขายสินทรัพย์เพื่อกอดเงินสด จริงๆ เรื่องนี้ตลาดบ้านเราเริ่มโดนแล้วเมื่อหลายวันก่อนมี บลจ.เจ้านึงเริ่มมีปัญหาเหมือนกัน เริ่มขยายจาก T+1 คือ จากขายเงินคืนได้เงินวันรุ่งขึ้นต้องขยายเป็น 5 วัน ผมบอกเลยอันนี้เป็นจุดเริ่มต้น


ท้ายสุดจะเป็นอย่างไร

สถานการณ์นี้ทุกคนต้องมองเผื่อไว้ก่อน อย่างพอร์ตของ CIMBT แนะนำมาตั้งแต่ต้นว่าเราเน้นตราสารหนี้เป็นหลัก เพราะตราสารหนี้ได้ผลประโยชน์จากดอกเบี้ยขาลงค่อนข้างเยอะในช่วงที่ผ่านมา ตอนนี้เรามีการโยกเงินจากลูกค้าออกมาสู่เงินสด เราให้ลูกค้าถือเงินสดเกือบครึ่ง ประมาณ 40% เพราะเชื่อว่าสถานการณ์โควิดยังไม่จบ ถึงแม้ประเทศใหญ่อย่างจีนจะนิ่ง และเชื่อว่าจีนจะเป็นโอกาสใหม่ในปีนี้แต่ไม่ใช่ตอนนี้ต้องรอให้ทั้งโลกมันนิ่งก่อน สถานการณ์การระบาดของอเมริกากับยุโรปเชื่อว่ายังไม่หยุดและยังไม่ถึงจุดสูงสุด อเมริกาล่าสุดผู้ติดเชื้อไต่ขึ้นเป็นอันดับ 3 ของโลกถ้านับเคสที่อยู่ในโรงพยาบาลรักษาตัว ของไทยยังไม่ใช่จุดสูงสุดเช่นกัน เรื่องนี้อย่างน้อยลากยาวไปถึงสิ้น Q2

ดังนั้น ถ้าเรามอง Q2 อาจจะเห็นจุดพีค ตอนนั้นตลาดเริ่มมองหาทางออกและอาจเป็นจุดต่ำสุดของตลาดรอบใหม่ตอนนั้น ตอนนี้แม้แต่ราคาที่เป็น Pattern ที่น่าติดตามตั้งแต่ปี 2008 ส่วนใหญ่ตลาดทองคำจะตกลงมาก่อนที่ทุกอย่างจะตกตาม ตอนนี้ทองเริ่มตกลงมาแล้วทั้งที่ความเสี่ยงทั้งตลาดเพิ่มขึ้น ทองอยู่ดีๆ ลงไปแตะแถว 1,350 เป็นระดับที่ผมมองไว้ ถ้าเมื่อไหร่ทองเจอสัญญาณที่เริ่มกลับตัว ตอนนั้นจะเริ่มเห็นตลาดหุ้น ตลาดตราสารหนี้ เริ่มเจอฐานของมัน ซึ่งเราเชื่อว่าน่าจะเกิดขึ้นเดือน 5-6 ในช่วงนี้ไปถึงจุดต่ำสุด ที่เราคิดว่าตลาด Panic ลงไปมาก ตอนนี้ยังไม่จบ เชื่อว่ายังมีอีก

เพราะฉะนั้นเราจะแบ่งเป็น 2 ช่วง เมื่อไหร่เราเจอ Bottom เราค่อยปรับการลงทุน ช่วง Pre Bottom คือเงินสด 40% พวกหุ้นหรือตราสารหนี้ให้ลดเหลือไม่เกิน 15% ทองคำให้ลดเหมือนกันเหลือประมาณ 10% พวกกองทุนอสังหาฯ ก็ 10% ส่วนหลังจาก Bottom ไปแล้วผมมั่นใจในส่วนหุ้นมากขึ้นเพราะหุ้นตอนนี้ Dividend Yield สูงมาก เราเห็นหุ้นปันผลเกิน 6% เยอะมาก และน่าจะเป็นโอกาสรอบใหม่เพราะคนต้องการความชัดเจน 2 เรื่อง คือ ตอนนี้ Dividend Yield สูงยังไม่ถูก Earning ที่แย่ลง ความสามารถในการจ่ายปันผลในปีถัดไปอาจจะต่ำลง เรายังไม่เห็นความชัดเจนตรงนั้น ความชัดเจนตรงนั้นเริ่มเห็นในตลาดที่ Bottom เราจะกลับมาให้น้ำหนักหุ้น 40-50% เพราะถ้าดอกเบี้ยเป็นขาขึ้นสินทรัพย์ในกลุ่มตราสารหนี้เริ่มลดความน่าสนใจลงไปอีก

จะมายึดหลักว่ามีหุ้นปันผลเยอะไม่ได้แล้ว เพราะเป็นข้อมูลเก่า ไม่ใช่ของใหม่ ถูกไหม จะกระโจนเข้าไปทีเดียวไม่ได้ ต้องศึกษาด้วย


ใช่ ตอนนี้เรายังไม่เห็น เช่นการหยุด ไม่ใช่บอกว่าการหยุดแล้วทุกคนไม่ออก มันเห็นชัดว่า Supply Chain ร้านค้าเปิดทำการไม่ได้ Supplier ที่ส่งวัตถุดิบแค่ธุรกิจเดียวกระทบ 3 กลุ่มหลัก ผลกระทบรอบนี้เลยน่ากลัว ทั้งดอกเบี้ย สภาพคล่องในตลาด ความน่าสนใจคือเราได้คุยกับพ่อค้าในช่วงที่ผ่านมา แม้แต่พันธบัตรรัฐบาล ผลตอบแทนคือดอกเบี้ยในตลาดมีการปรับขึ้น ที่สำคัญคนที่เข้ามาซื้อกลายเป็นฝั่งแบงก์ชาติที่ต้องเข้ามาช่วย ปัจจุบันแบงก์ชาติ ก.ล.ต. และตลาดหลักทรัพย์มีการประชุมมาตรการใหม่กันอยู่ ผมเชื่อว่าต้องมีมาตรการอะไรออกมาหรือลด Panic ในตลาดตอนนี้ก่อน


ถึงตรงนี้มีอะไรบอกนักลงทุน


ในมุมโอกาสยังมองว่าโอกาสอย่างน้อยสุด ตลาดไทยอยู่แถว 1,100 ตอนนี้ทางการออก SSF ที่จะมาแทน LTF ในปีนี้ และในช่วง 2 เดือนนี้จะเปิดช่องให้ลงทุนเพิ่ม อย่างน้อยเราได้ต้นทุนที่ดีที่สุดในรอบ 8 ปี เชื่อว่า Valuation ถึงจะยังไม่จบแต่เราอยู่ในขาเริ่มถูกแล้ว เพียงแต่การลงทุนแบบเข้าไปลงทุนเต็มตัวแล้วหวังพลิกกำไรภายใน 1 ปี อาจจะต้องระมัดระวัง ส่วนในเรื่องตลาดตราสารหนี้ ไม่ใช่บอกว่าทุกอย่างจะน่ากลัวทั้งหมด ผมอาจจะโฟกัสไปที่รายบริษัทด้วยว่าธรรมชาติบริษัทนั้นๆ มี Nature กู้หนี้ยืมสินอย่างไร ออกหุ้นกู้อย่างไร จุดประสงค์การออกหุ้นกู้ แน่นอนบริษัทดีๆ มีมากมายในตลาด เราไม่ต้องห่วง ถ้ามี Balance Sheet ที่แข็งแกร่ง การเงินแข็งแกร่ง แต่เราจะห่วงบริษัทบางเซ็กเตอร์ที่เน้นออกหุ้นกู้แล้ว Rollover ในแต่ละช่วงไปเรื่อยๆ อันนี้ต้องระวัง เพราะวันนี้คนกลัวแล้วจะมา Rollover มาขายใหม่ คนไม่ลงทุน อันนี้จะมีความเปราะบางนิดนึง ต้องระวัง ต้องเข้ามาพิจารณาในแต่ละบริษัท หุ้นกู้ไม่ได้น่ากลัวทั้งหมด ล่าสุดทางผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศออกมาว่าจะมี 3 มาตรการ มาตรการแรกจะให้ธนาคารพาณิชย์สามารถเข้าไปซื้อหน่วยลงทุนพวก Primary Market Fund ได้ อย่างน้อยให้มาช่วยเรื่องสภาพคล่อง คนที่ถือกองทุนตลาดเงินก็ยังไม่ต้อง Panic เข้ามาสร้างความมั่นใจตรงนี้


มุมนึงที่เราน่าติดตามคือ ตอนนี้การลงทุนเชื่อมกันทั้งโลก จุดนึงที่เป็นจุดเริ่มต้นของรอบนี้จริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าคือ Hedge Fund ฝั่งอเมริกาเกิดการขายคืนหนักๆ ทำให้ขายทุกสินทรัพย์ออกมาพร้อมกันทั้งหมด อย่าง Hedge Fund รายหนึ่งซึ่งใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลก ชื่อ Bridgewater ผู้ลงทุนคือรัฐบาลซาอุดีอาระเบีย ปีที่ผ่านมาเจ้าของกองทุนให้ผลตอบแทนสูงมาก แต่ปรากฏว่าปีที่ผ่านมาประกาศผลตอบแทนติดลบ 20% หักปากกาเซียนหมดเพราะเป็นกองที่ดังมาก หลังจากนั้นมีกระแสข่าวออกมาว่าจริงๆ แล้วผู้ลงทุนคือรัฐบาลซาอุดีอาระเบีย และที่สำคัญเป็นหนึ่งในกองทุนที่มีมุมมองบวกต่อสินทรัพย์ทองคำมากที่สุดในกอง ทำให้ช่วงที่ผ่านมาการเทขายกองทุนทองมาจากเขาด้วย เมื่อกองที่ 1 ขาย กองที่ 2 และ 3 เริ่มขายตามออกมา เพราะรู้ว่าราคาต้องลง จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมทุกสิ่งจึงไปทางเดียวกันหมดเลย เพราะทุกคนเหมือนหาทางออกแล้ว ประตูใหญ่ก็เล็กลงทันที แต่เชื่อว่าส่วนนี้ก็จะน้อยลงหลังจากที่ Panic ลดลงไป

ดังนั้นราคาน้ำมัน ทองคำ ใช้เวลาเป็นเดือนกว่าจะเข้าที่ ตลาดหุ้นมองในเชิง technical บ้านเราจะเห็นประมาณ 860-900 เรียกว่าเป็นแนวรับสำคัญของตลาดไทย จะลงจากตรงนี้อีกประมาณ 10-20% อีกกลุ่มนึงที่เราเริ่มเห็นโอกาสแต่ยังไม่ได้วิเคราะห์ตอนนี้คือ Infrastructure Fund ตอนนี้ส่วนต่างของผลตอบแทนคือผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลเทียบกับเงินปันผลที่จ่ายได้ ส่วนต่างตอนนี้สูงสุดในรอบ 15 ปี เราจะเห็น ณ ราคานี้เพราะเราเชื่อว่าในกลุ่มของ Property Fund สินทรัพย์ที่ไม่ได้เกี่ยวกับธุรกิจโรงแรม เราเชื่อว่าธุรกิจ Industry ธุรกิจ Warehouse ให้เช่า หรือ Data Center กระจายไปประเทศใหญ่ๆ กลุ่มนี้น่าจะโดนลดผลประกอบการลงมาน่าจะไม่เกิน 10% อาจจะกระทบ Dividend Yield ค่อนข้างจำกัด เราเชื่อว่ากลุ่มนี้ในตอนนี้ Dividend Yield เฉลี่ยน่าจะอยู่ที่ 6.5% แล้วกลุ่มนี้ที่ผ่านมาโดนปัญหามาก ซึ่งไม่ใช่เหตุผลทางพื้นฐาน เป็นเหตุผลจากการขายทุกราคาออกมาเพื่อถือเงินสด ทำให้ราคาอยู่ในระดับไม่สมเหตุสมผล


เป็นห่วงบรรดากองทุนเจ้าสัว คนมีอสังหาฯ เจ้าสัวเอาไปเข้าเป็นกองทุนไว้ เป็นห่วงพวกนี้ไหมว่าถึงจุดนึงแล้ว ด้วยภาวะเศรษฐกิจนี้จะไม่มีปัญญาจ่ายผลตอบแทน

ผมว่าโดนบางกลุ่ม เพราะธุรกิจที่จะโดนต้องบอกว่าในกลุ่มลีด มีหลายธุรกิจในนั้น เราไม่สามารถบอกได้ว่าทุกธุรกิจจะเสียหาย ธุรกิจที่เสียหายคือกลุ่มโรงแรม ตอนนี้เราเลี่ยงอย่าเพิ่งเข้าไปเพราะผลกระทบท่องเที่ยว โรงแรม ยังไม่ชัดในปีนี้ แต่กลุ่มอย่างออฟฟิศให้เช่ากลุ่มพวกนี้สัญญาไม่ใช่ระยะสั้นอยู่แล้ว ส่วนใหญ่กลุ่มออฟฟิศให้เช่าหรือ Warehouse ส่วนใหญ่เป็นสัญญาระยะยาว 3-4 ปีขึ้นไป ความผันผวนต่อเศรษฐกิจจะมีแต่ช้าหน่อย ช้ากว่ากลุ่มโรงแรม อย่างมากมีการต่อรองลดค่าเช่าลงมา ซึ่งเราคาดว่าในกลุ่มนี้โดนไม่เกิน 10% เดิมก่อนที่จะตกลงมา dividend yield เหลือไม่ถึง 5% สมมุติ weight เดิมแล้วราคานี้พุ่งไป 7% เราก็ถอยลงมา 10% เหลือ 6.5% ก็เป็นระดับที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต 15 ปี

วิกฤตนี้คนพูดว่าแย่กว่าต้มยำกุ้ง บางคนพูดแย่กว่าซับไพร์ม 2008 จะมีเจ้าสัวล้มไหม

มองว่าแรงกว่าต้มยำกุ้ง แต่บางเซ็กเตอร์ อย่างเซ็กเตอร์เส้นเลือดใหญ่ของประเทศคือธนาคาร ตอนนี้แข็งแกร่งด้วยจำนวนทุนที่หนากว่าวิกฤตต้มยำกุ้ง น่าจะรองรับต้มยำกุ้งได้หลายรอบเพราะเรามีประสบการณ์มาแล้ว ถามว่ากลุ่มธุรกิจใหญ่ที่มีตัวเลขหนี้เยอะ ปัจจุบันภาพก็ไม่เหมือนสมัยก่อน คือดูจำนวนหนี้สมัยก่อนหนักข้อเข้า อาจจะเห็น D/E หรือ Debt to Equity Ratio ขึ้นไปถึง 5-6 เท่า แต่เดี๋ยวนี้ที่เห็นโครงสร้างทางการเงินและการพัฒนาที่มากขึ้นพวกธุรกิจในประเทศไทยกระจายในหลายประเทศทั่วโลก จำนวนหนี้ต่อทุนอย่างมากที่เราเห็นในกลุ่มใหญ่อย่างมากก็ 2 กว่าไม่เกิน 3 ยังอยู่ในกรอบที่รับได้ ผมยังคาดว่ามีบางกลุ่มที่จะโดนหนัก อย่างกลุ่มน้ำมันที่จะโดนหนัก เช่น กลุ่มปตท. โดนเท 50 บาทเหลือ 20 กว่าบาท ลองย้อนกลับไปปี 2016 ตอนที่ราคาน้ำมันต่ำสุดประมาณ 22 เหรียญ ตอนนั้นราคาปตท.อยู่แถว 22-24 บาท แต่ตอนนั้นธุรกิจปตท.พึ่งพิงการขายน้ำมันเยอะกว่าปัจจุบัน ทุกวันนี้ ปตท.มีทั้งธุรกิจค้าปลีก แค่ร้านกาแฟก็หมื่นล้านแล้ว ภาพรวมของธุรกิจในแต่ละธุรกิจต่างจากสมัยก่อน ตอนนี้อย่าเพิ่ง Over Panic จนเกินไป แต่ก็อย่างเพิ่งรีบใจร้อนเข้าไปในตลาด รอดูว่าสินทรัพย์อะไรมีคุณภาพแล้วไม่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์นี้ก็กอดไว้ก่อน อันไหนไม่ชัวร์ก็ถือเงินสดไว้ รอจังหวะกระโดดเข้าตลาดอีกรอบ

78 views
bottom of page