ตลาดหุ้นโลกพักตัวสั้นๆ !
ในสัปดาห์ที่ผ่านมาตลาดหุ้นทั่วโลกยังคงถูกกดดันอย่างหนัก จากความวิตกว่าเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในจีนอาจระบาดไปทั่วโลก หลังยอดผู้ติดเชื้อยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังมีรายงานพบการแพร่เชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่จากคนสู่คนนอกประเทศจีน รวมทั้งสิ้นอีก 5 ประเทศ ส่งผลให้ในสัปดาห์แรกหลังจีนสั่งปิดเมืองอู่ฮั่น ดัชนี MSCI ACWI ของตลาดหุ้นโลกปรับตัวลดลง 1.78%
ทั้งนี้มีความเป็นไปได้ว่าตลาดหุ้นโลกจะยังคงถูกกดดันจากปัจจัยดังกล่าวไปอีกระยะหนึ่ง หลังจากที่ล่าสุด WHO ประกาศให้เชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เป็นภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขของโลก โดยมีเป้าหมายที่จะช่วยยกระดับความร่วมมือระหว่างประเทศ ในการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา แม้ว่า WHO จะไม่ได้บ่งชี้ถึงการขาดความเชื่อมั่นในรัฐบาลจีน และไม่แนะนำให้ประเทศทั่วโลกใช้มาตรการจำกัดด้านการค้าต่อจีน หรือจำกัดการเดินทางไปยังประเทศจีน อันเนื่องมาจากการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาก็ตาม แต่ดูเหมือนคำแนะนำดังกล่าวจะไม่ได้รับการสนับสนุนจากประเทศต่างๆเท่าไรนัก เพราะหลายประเทศยังคงระมัดระวังนักท่องเที่ยวจากจีนอยู่
ชัดเจนที่สุดคือสหรัฐที่ประธานาธิบดี Donald Trump ได้ลงนามออกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินด้านสาธารณสุขในสหรัฐ เพื่อรับมือการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา โดยสหรัฐจะปฏิเสธไม่ให้ชาวต่างชาติที่เคยเดินทางไปจีนช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา เข้าประเทศ
นอกจากนี้ยังพบผู้ป่วยนอกประเทศจีนเสียชีวิตเป็นครั้งแล้วในประเทศฟิลิปปินส์ ในส่วนของผลกระทบทางเศรษฐกิจต่อประเทศไทยเมื่อเปรียบเทียบกับการระบาดของ SARS เมื่อปี 2546 ในครั้งนั้นส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวลดลงกว่า 7 แสนคนตลอดรอบ 1 ปี โดยจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าประเทศไทยในรอบ 12 เดือนลดลงจากระดับ 10.9 ล้านคนในเดือน ก.พ. 2546 เหลือเพียง 10.1 ล้านคนในเดือน ก.พ. 2547 คิดเป็นการลดลงถึง 6.8% โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากจีนที่ลดลงไปถึง 25%
ทั้งนี้ผลกระทบจาก SARS กินระยะเวลาประมาณ 9 เดือนก่อนที่จำนวนนักท่องเที่ยวเริ่มฟื้นตัว ขณะที่ในส่วนของหุ้นกลุ่มท่องเที่ยวกินระยะเวลาประมาณ 4 เดือนก่อนฟื้นตัวขึ้นอีกครั้ง
อย่างไรก็ดี ณ สถานการณ์ปัจจุบัน นักลงทุนในตลาดเริ่มมีการคาดการณ์แล้วว่าไวรัสโคโรนาอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกมากกว่าโรค SARS ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตราว 800 คนในปี 2545-2546 และส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกราว 3.3 หมื่นล้านดอลลาร์ เนื่องจากจีนมีส่วนแบ่งในระบบเศรษฐกิจโลกเพิ่มขึ้นอย่างมากในปัจจุบัน
ทั้งนี้ Momentum พักตัวในระยะสั้นของตลาดหุ้นโลก ได้รับการสนับสนุนจากการที่ในสัปดาห์ที่
ผ่านมาดัชนี VIX Index ของตลาดหุ้นสหรัฐ, ยุโรป และฮ่องกงปรับตัวเพิ่มขึ้น 19.34%, 24.71% และ 39.15% สะท้อนให้เห็นถึงความกลัวของนักลงทุนที่เพิ่มขึ้น สอดคล้องกับผลสำรวจความเชื่อมั่นของนักลงทุนสหรัฐจาก AAII ที่ระบุว่าในสัปดาห์ที่ผ่านมา สัดส่วนนักลงทุนที่เชื่อว่าตลาดหุ้นสหรัฐในระยะ 6 เดือนข้างหน้ายังคงเป็นขาขึ้น หรือ Bullish ลดลง 13.62% เมื่อเทียบจากสัปดาห์ที่ผ่านมามาอยู่ที่ 31.98%
ขณะที่สัดส่วนนักลงทุนที่เชื่อว่าตลาดหุ้นสหรัฐในระยะ 6 เดือนข้างหน้ากำลังกลับเป็นขาลง หรือ Bearish ที่เพิ่มขึ้น 12.09% เมื่อเทียบจากสัปดาห์ที่ผ่านมา มาอยู่ที่ 36.86%
สินทรัพย์เสี่ยงยังคงถูกกดดัน ! อย่างไรก็ดี “นายหมูบิน” ยังคงมองว่าตลาดหุ้นโลกจะพักตัวลงในช่วงสั้นๆ เท่านั้น ไม่เหมือนตลาดหุ้นไทยที่กำลังอยู่ในแนวโน้มขาลงเต็มตัว เพราะปัจจัยอื่นๆ ของตลาดหุ้นโลกค่อนข้างนิ่งแล้ว หลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐครั้งแรกของปี 2563 มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 1.50-1.75% พร้อมส่งสัญญาณคงนโยบายการเงินสำหรับปีที่เข้าสู่การเลือกตั้งประธานาธิบดีนี้
อย่างไรก็ตาม Jerome Powell ประธานธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟดยังมีความกังวลถึงอัตราเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่ต่ำกว่าระดับเป้าหมายที่ 2% (ปัจจุบัน Core PCE ยังคงทรงตัวอยู่ที่ระดับ 1.6%)
นอกจากนี้ Jerome Powell ยังแสดงความเห็นว่ามีความเป็นไปได้ว่าการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วของไวรัสชนิดนี้จะส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศจีนและทั่วโลก และยังเร็วเกินไปที่จะระบุว่าผลกระทบนั้นร้ายแรงเพียงใด เนื่องจากยังไม่เป็นที่แน่นอนว่า การแพร่ระบาดจะลุกลามออกไปมากเพียงใด และจะส่งผลกระทบมากเพียงใดต่อเศรษฐกิจมหภาคของจีน
หากดูประกอบกับ Fed Funds Future จะพบว่าในปี 2563 มีโอกาสที่ธนาคารกลางสหรัฐจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอยู่ราว 89% ซึ่งถือว่าเป็นปัจจัยบวก ขณะที่ในฝั่งของยุโรป ล่าสุดอังกฤษได้แยกตัวอย่างเป็นทางการจากสหภาพยุโรป (EU) ไปตั้งแต่วันที่ 31 ม.ค. 2563 แล้ว
ดังนั้นปัจจัยที่กดดันตลาดสินทรัพย์เสี่ยงในระยะสั้นคงเป็นเรื่องของการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่มากที่สุด โดยในสัปดาห์ที่ผ่านมาราคาน้ำมันลดลง 6.18% เนื่องจากยังคงกังวลว่าการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่จะส่งผลกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจและความต้องการใช้น้ำมันในตลาดโลก
นอกจากนี้สต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐเพิ่มขึ้น 3.5 ล้านบาร์เรลต่อสัปดาห์ มากกว่าที่ตลาดคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.5 ล้านบาร์เรลต่อสัปดาห์ ในส่วนของมุมมองทางเทคนิคของตลาดหุ้นไทยของ “นายหมูบิน” การที่ล่าสุด SET หลุดแนวรับบริเวณ 1,547 จุดลงมา ถือเป็นการยืนยันรูปแบบ Descending Triangle และบริเวณ 1,450 จุดจะเป็นแนวรับต่อไปของ SET
ในส่วนของกลยุทธ์ สำหรับการลงทุนระยะสั้น (ไม่เกิน 1 สัปดาห์) กรณีที่ SET ยังคงไม่สามารถกลับไปปิดในกรอบ 1,547 จุด เน้น “ดีดขึ้นขาย” ในลักษณะ “Short Against” เพื่อรอกลับมาทยอยสะสมหุ้น PTTGC, PTTEP, BCP, EGCO, TISCO, SCC, HMPRO, AOT และ ADVANC อีกครั้ง สำหรับการลงทุนระยะกลาง (1-3 เดือน) ในลักษณะ Long-Only แนะนำ “ลดสัดส่วนการลงทุนในหุ้นมาอยู่ที่ระดับ 50% ของพอร์ต”
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ความเห็นส่วนตัวของผมนะครับ โปรดใช้วิจารณญาณ และศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนการตัดสินใจลงทุนด้วยครับ สำหรับการพูดคุยกันระหว่างสัปดาห์นอกจากทาง Facebook ที่ www.facebook.com/wealthhuntersclub และ e-mail ที่ moobin.stockmania@gmail.com แล้ว แฟนๆยังสามารถติดตามมุมมองเกี่ยวกับการลงทุนจาก “นายหมูบิน” ได้ในรายการ “เซียนเศรษฐกิจ” ทาง FM 97 ทุกวันอาทิตย์ เวลา 14.00-16.00 น.เช่นเดิมครับ
Comments