top of page
312345.jpg

มอง 'ทองคำ' ยังเป็นขาลง...เสี่ยงซ้ำรอยปี 2011



นพ.กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ ประธานกรรมการกลุ่มบริษัท แม่ทองสุก MTS GOLD และ MTS GOLD FUTURES พูดชัดทองคำที่หลุด 1,800 ดอลลาร์ และ 1,700 ดอลลาร์ลงมาในช่วงต้นเดือนสิงหาคมจนต่ำสุดที่ 1,677 ดอลลาร์ แล้วขยับขึ้นในช่วงสัปดาห์ที่สองของเดือนสิงหาคมเป็นเพียงการรีบาวด์ เพราะแนวโน้มระยะกลาง-ยาวทองคำเป็นตลาดหมี ขาลงเต็มตัวจากปัจจัยการลด QE ของสหรัฐ : ซ้ำรอย 10 ปีก่อนที่ทองลงลึก ให้จับตาสัญญาณการประชุมเฟดที่แจ็กสัน โฮล แนะนำรอ short ที่แนวต้านสำคัญใน TFEX และซื้อออมทองแบบ DCA

มองทิศทางราคาทองคำอย่างไร

แนวโน้มหลักของทองคำตอนนี้ยังถือว่าเป็น “ขาลง” อยู่ โดยช่วงสัปดาห์ที่สองของเดือนสิงหาคมที่ผ่านมาราคาทองคำมีการปรับฐานขึ้นมานั้นเป็นลักษณะที่เรียกว่า เทคนิเคิลรีบาวด์ เป็นการปรับขึ้นหลังจากที่ราคาหล่นลงไปต่ำสุดที่บริเวณ 1,670-1,700 ดอลลาร์ต่อออนซ์


สำหรับปัจจัยที่ยังกดดันราคาทองคำในระยะยาว ก็คือการที่สหรัฐจะลด QE ซึ่งคาดว่าจะมีนโยบายปรับลดลงมาเร็วกว่าที่คาดอาจจะเริ่มต้นในเดือนตุลาคมนี้...ตรงนี้ถามว่าถ้ามีการลด QE แล้วทำไมถึงไปกระทบกับราคาทองคำ…ตอบได้ว่าในภาพรวมเมื่อมีการลด QE ส่วนใหญ่แล้วดอลลาร์มักจะแข็งค่าขึ้นเพราะว่ามันดูดเงินกลับ ก็จะทำให้คนกลับไปที่ยูเอสดอลลาร์ โดยจะขายทองคำออก

สภาพแบบนี้เราเคยเจอเมื่อประมาณปี 2012 หลังจากที่สหรัฐอเมริกาได้อัดฉีด QE มาในช่วงวิกฤตซับไพรม์ปี 2008-2010 และเริ่มลด QE ในช่วง 2011-2012 ตอนนั้นราคาทองคำได้ค่อยๆ สาละวันเตี้ยลง เมื่อกลับมาปัจจุบันตรงนี้โดยภาพรวมวิเคราะห์ว่าภาพมันน่าจะคล้ายๆ กันอยู่ คือในระยะยาวทองคำมีโอกาสลง

อย่างไรก็ตามแต่ระยะสั้นๆ จะมีการบีบตัวกลับขึ้นมาแล้วไปชนแนวต้านสำคัญที่ 1,800 ดอลลาร์ ซึ่งจุดนั้นน่าจะยังไม่ผ่านไปได้ง่ายๆ


มองในขาลงแบบนี้ สุดท้ายจะลงแรงไปขนาดไหน

ดูตามภาพที่เคยเกิดในอดีตเป็นแม่บทก็แล้วกัน ในอดีตเมื่อทองคำขึ้นไปถึง 1,900 ดอลลาร์เมื่อ 12 ปีก่อน พอลด QE ราคาทองคำร่วงลงมาได้ถึง 600-700 ดอลลาร์...ถามว่างวดนี้จะลงลึกขนาดนั้นหรือไม่--คิดว่าลงแต่ไม่น่าจะลึกขนาดนั้น...ถามอีกว่าจะลงไปได้แค่ไหน--ส่วนตัวคิดว่าน่าจะมีโอกาสลงไปต่ำสุดได้บริเวณ 1,500-1,600 ดอลลาร์ แต่ทั้งนี้ภาพลงไปลึกขนาดนั้นคงไม่ได้เกิดขึ้นภายใน 1-2 อาทิตย์ นี้ คงต้องใช้เวลาไปในช่วงสิ้นปี 2564 หรือต้นปี 2565 ราวไตรมาสแรกหรือไตรมาสสองของปี 2565 ที่มองว่าเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาน่าจะกลับมาดี เพราะว่าตอนนี้จะเห็นได้ว่าตัวเลขเศรษฐกิจภาพรวมที่ออกมาของสหรัฐอเมริกา (ไม่ใช่ไทย) เริ่มดีขึ้น และเขาก็มีการประมาณการว่าจีดีพีปีนี้ของสหรัฐอเมริกาน่าจะใกล้ๆ 7% และปีหน้าจะอยู่ที่แถวๆ 5% กว่าๆ...จะเป็นสาเหตุหลักที่กดดันราคาทองคำให้ไปในทิศทางขาลง

ดังนั้นส่วนตัวย้ำว่า ทองจะลงแต่เป็นระยะยาวไม่ใช่ลงในวันนี้พรุ่งนี้


ควรมีกลยุทธ์การลงทุนอย่างไร

ในเชิงกลยุทธ์การลงทุนมี 2 แบบ แบบที่หนึ่งคือ แบบที่เป็นนักลงทุนรายย่อยเป็นลักษณะของการซื้อเพื่อออมทรัพย์หรือออมในระยะยาว...จังหวะนี้สมควรซื้อเก็บแต่เป็นการซื้อเก็บในลักษณะ DCA (dollar-cost averaging) ทยอยซื้อได้ และปัจจุบัน MTS Gold เราก็มีแอปที่เรียกว่าออมทอง นักลงทุนสามารถออมครั้งละ 150 บาทแทนที่จะเก็บเป็นเงินบาท ซื้อเก็บเป็นทองคำดีกว่า เพราะว่าจะเห็นได้ว่าเงินบาทช่วงนี้อ่อนค่ามาก ยังอยู่ในทิศทางอ่อนค่าเพราะเศรษฐกิจเราแย่

แบบที่ 2 คือ นักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในตลาด TFEX หรือนักลงทุนโกลด์ออนไลน์ หลักการก็คือลงทุนตามทิศทางแนวโน้ม ถ้าเราคิดว่าแนวโน้มเป็นขาลง เราก็ต้องพยายามปรับกลยุทธ์ขณะนี้เป็นลักษณะของแนวโน้มขาลง ลักษณะขายและทำกำไรในทิศทางขาลง

0 มองค่าเงินบาท จะอ่อนค่าไปประมาณเท่าไหร่ จะมีความเสี่ยงว่าจะโดนโจมตีค่าเงินได้หรือไม่

เงินบาทจะไม่เหมือนปี 2540 คือตอนนี้ภาคธนาคารเรามีความแข็งแกร่ง ฉะนั้นการจะถูกโจมตีค่าเงินเหมือนปีวิกฤต 2540 นั้นส่วนตัวคิดว่าคงไม่มี เพียงแต่ว่าในภาคของเศรษฐกิจจริงมันอ่อนแอลงจากโควิด-19 ดังนั้นการที่เงินบาทจะอ่อนไปแค่ไหนก็ขึ้นกับนโยบายของรัฐบาลในการควบคุมโควิด-19 ว่าทำได้ดีมากน้อยแค่ไหน อย่างที่แบงก์ชาติออกมาบอกว่าถ้าจะคุมโควิด-19 ดีไม่ดีหรือแย่ตามแต่ละสถานการณ์ก็จะทำให้เงินบาทอ่อนค่าไม่เท่ากัน ซึ่งในตอนนี้ต้องบอกว่ายังคุมไม่ค่อยได้ เพราะวัคซีนฉีดได้ช้าเกินไป ฉะนั้นทิศทางหลักของเงินบาทก็ยังเป็นการอ่อนค่า อาจจะไปถึง 35 บาทต่อดอลลาร์ก็เป็นได้ แต่ว่าคงเป็นระยะยาว ถ้ามาตรการควบคุมโควิดไปในทิศทางที่ยังเลวร้ายอยู่เรื่อยๆ ก็คงจะลำบาก...ก็เอาใจช่วย


เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา มีข่าวว่าแบงก์ชาติได้ทุ่มเงินเพื่อซื้อทองคำจำนวนมหาศาล การดำเนินการของแบงก์ชาติแบบนี้เป็นสัญญาณบอกอะไร

เป็นสัญญาณชี้ให้เห็นได้ว่า ส่วนหนึ่งแบงก์ชาติเขาคงมีดอลลาร์เหลืออยู่เยอะ เพราะเราก็ทราบดีว่าแบงก์ชาติมี Dollar Reserves เยอะมาก และการที่แบงก์ชาติซื้อทองคำประมาณ 3-5% ไม่ได้เยอะ ก็เรียกว่าเป็นการกระจายความเสี่ยง แทนที่จะถือดอลลาร์อย่างเดียวก็กลับมาซื้อทองคำด้วย ซึ่งก็เป็นนโยบายที่ธนาคารกลางหลายๆ ประเทศในช่วงนี้เริ่มหันมาหาทองคำเยอะขึ้นเช่นเดียวกัน แม้กระทั่งจีนเองก็มาหาทองคำ เพียงแต่ว่าในประเทศต่างๆ อาจจะไม่ได้รายงานอะไรกันออกมามากมาย จะเห็นว่าของไทยซื้อมากขึ้นเป็นการกระจายความเสี่ยงมากกว่า ซึ่งไม่ได้เยอะมากถ้าคิดเป็นอัตราส่วนคาดว่าไม่ถึง 5%


กรณีที่สหรัฐอเมริกามีความขัดแย้งกับรัสเซียกับจีน และมีข่าวทำนองว่ารัสเซียเทดอลลาร์ หรือตราสารหนี้ พันธบัตรของสหรัฐอเมริกาทิ้งหมด จีนก็กำลังจะทิ้งเช่นกัน...ความเคลื่อนไหวแบบนี้จะมีผลทำให้ค่าเงินดอลลาร์แทนที่จะแข็งค่ากลับมาเป็นอ่อนค่าและทำให้ทองคำปรับขึ้นมาได้หรือไม่

แน่นอน ถ้ามีการทำอย่างนั้นจริงๆ ดอลลาร์น่าจะอ่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งปีหน้าจีนจะลอนช์โพรเจกต์เรื่องดิจิทัลหยวน ซึ่งคิดว่าน่าจะมีเอฟเฟกต์พอสมควร เพียงแต่ว่าหยวนของจีนยังเป็นสกุลเงินที่ใช้ซื้อขายระหว่างประเทศยังไม่เยอะ ยังต่ำอยู่ แต่ถ้าดิจิทัลหยวนเกิดป๊อบปูลาร์ขึ้นมา แล้วเกิดเป็นที่นิยมแบบดิจิทัลเคอร์เรนซีขึ้นมา ตรงนี้ก็อันตราย ประเทศต่างๆ ก็ไม่จำเป็นต้องสำรองดอลลาร์ ก็ใช้ดิจิทัลเทรดดิ้ง ดิจิทัลในการส่งมอบเงินมากขึ้น ตรงนี้จะนำมาสู่การอ่อนค่าดอลลาร์

อย่างไรก็ตามเราจะเห็นได้ว่าสหรัฐอเมริกาเองตอนนี้ก็พยายามทุกวิถีทางเหมือนกันที่จะขัดแข้งขัดขาจีน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเทคโนโลยี คุยกันไม่รู้เรื่อง ต่างคนต่างบลัฟกันไป เรียกว่าเป็นมวยที่สมน้ำสมเนื้อกันพอสมควร


กรณีทะเลจีนใต้ มีการพูดกันถึงขั้นว่าสหรัฐอเมริกาก็จะเอาอินเดีย ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น อังกฤษ อียู ทั้งหลายจะเข้ามาทะเลจีนใต้ เพื่อแสดงว่านี่มันเขตน่านน้ำเสรี--จีนอย่ามา แต่ว่าล่าสุดจีนเปิดเรือรบ 2 ลำใหญ่ มองว่ากรณีเช่นนี้จะมีผลต่อเรื่องทองคำหรือไม่

พวกนี้ต้องบอกว่าถ้าไม่เกิดการรบจริง ไม่กระทบกระทั่งกันจริง ก็จะไม่เกี่ยวกับราคาทองคำ แต่ถ้าเกิดมีการยิงอะไรกันและเกิดกรณีพิพาทเป็นเรื่องเป็นราวแบบนี้ก็จะกระทบ

ดังนั้นหลักการกรณีที่จะกระทบกับทองคำ คือ หนึ่ง จะต้องเป็นเหตุการณ์ค่อนข้างใหญ่ ถ้าทะเลาะกันนิดหน่อยก็เป็นเรื่องปกติธรรมดาก็จะไม่กระทบ จะเห็นได้ว่าในเนื้อข่าวพวกนี้จะมีมาตลอดในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา แต่ก็ไม่ได้เกี่ยวกับราคาค่าเงินดอลลาร์อย่างไร ไม่ได้กระทบกับราคาทองคำ ขู่กันไปขู่กันมาก็คงไม่มีผล


การประชุมเฟดวันที่ 26-28 สิงหาคมนี้คิดว่าจะมีนโยบายฟ้าผ่า ที่จะทำให้ขึ้นดอกเบี้ยทำให้ลดการทำ QE กะทันหัน หรือไม่

ก็อาจจะเป็นไปได้ นักวิเคราะห์มองว่าน่าจะเอาเรื่องของการลด QE เข้ามาพูด แล้วการขึ้นดอกเบี้ยจะเป็นประเด็นรอง เพราะว่ายังอีกไกล การลด QE ถ้าคุยกันแล้วอาจจะฟ้าผ่าลงมาก็คือลดลง เลยก็เป็นไปได้ทั้งนั้น เพราะว่าตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาค่อนข้างดี คือเอาเงินอัดฉีดเข้าไปเยอะมากมันก็เลยดี เพราะว่าเหมือนกับแรงกระตุ้น ฉะนั้นก็ต้องดึงเงินส่วนนี้ออก ซึ่งเป็นไปได้ว่าการประชุมรอบนี้จะมีอะไรออกมาที่เซอร์ไพรส์ตลาดได้ คงต้องติดตามอย่างใกล้ชิด


ต้องระวังการประชุมแจ็กสัน โฮล

ใช่ ในเชิงการลงทุนทองคำ ส่วนตัวผมจะเน้นย้ำกับนักลงทุนตลอดว่า ต้องติดตามเรื่องของการประชุมเฟด หรือการตัดสินใจหรือการออกมาวิพากษ์วิจารณ์ของประธานเฟด ซึ่งตอนนี้จะเห็นได้ว่าจากเดิมประธานเฟด และกรรมการเกือบทั้งหมดคิดว่า จะค่อยๆลด QE กันในปีหน้า แต่ตอนนี้เริ่มออกมากันแล้ว 3-5 ท่านออกมาพูดเยอะขึ้นว่ามันน่าจะพิจารณาเรื่อง QE เร็วขึ้น บางคนก็พูดว่าน่าจะทำในเดือนตุลาคมนี้ ซึ่งถือว่าเร็ว ถ้าแบบนี้ก็จะกระทบกับเรื่องของค่าเงินดอลลาร์และกระทบกับทองคำในทิศทางขาลงอย่างแน่นอน


ณ ระดับ 1,780 แถวนี้ หลังจากการที่รีบาวด์ขึ้นมาแรงในช่วงที่ผ่านมา คนที่ลงทุน TFEX ควรมียุทธศาสตร์อย่างไร ตั้งโพสิชัน Long หรือ Short หรือไม่ควรทำอะไรเลย

ขึ้นอยู่กับว่าท่านมีสถานะอะไรอยู่ แต่ว่าในเชิงของระยะกลางแนะนำว่าต้องเป็น short positions ซึ่งบริเวณ 1,780 ถือว่าเริ่มเข้ามาในโซนใกล้เคียงกับแนวต้านสำคัญ คือแนวต้านสำคัญอยู่ที่ 1,794 ดอลลาร์ ซึ่งส่วนตัวผมเองคิดว่าไม่ผ่าน ก็อาจจะมีการทดสอบระดับนี้ ฉะนั้นถ้าขึ้นไปทดสอบแนะนำให้ short ดังนั้นถ้าในสภาวะตรงนี้ถ้าท่านถืออยู่น่าจะขายทำกำไร เพราะว่ามันเข้าโซนของซื้อมากเกินไปแล้ว และก็อาจมีการกลับตัวลงมาด้วย ตรงนี้ก็เป็นหลักการในการลงทุนในระยะกลางกับยาว แต่ว่าในระยะสั้นมันอาจจะผันผวนหลอกตาเราก็เป็นไปได้


ในโลกการลงทุนตอนนี้นิยม ดิจิทัลเคอร์เรนซี ไม่ว่าจะเป็นบิตคอยน์ และเหรียญอื่นๆ โดยเฉพาะช่วงปีกว่ามานี้ จะมีส่วนเข้ามาแย่งมาร์เก็ตแชร์นักลงทุนที่ลงทุนในทองคำไปหรือไม่

มันคงจะมีบ้าง แต่ว่าเปอร์เซ็นต์จริงๆ เราไม่ทราบ เพียงแต่ว่านักลงทุนในทองคำมักจะรับความเสี่ยงได้ไม่มาก นักลงทุนจะแบ่งการรับความเสี่ยงและเลือกที่จะไปลงทุนในโพรดักต์ต่างๆ คนที่รับความเสี่ยงได้น้อยน่าจะซื้อเป็นหุ้นกู้ รับความเสี่ยงได้มากขึ้นมาอีกสเต็ปหนึ่งอาจจะซื้อเป็นกองทุนรวม อีกสเต็ปหนึ่งก็ซื้อทองคำเพราะความเสี่ยงจะต่ำกว่าหุ้น เสี่ยงกว่านั้นก็ไปซื้อหุ้นขายหุ้นเพราะความเสี่ยงเยอะหน่อย แล้วในสเต็ปถัดไปค่อยไปหาบิตคอยน์เหรียญดิจิทัลเพราะว่าตรงนั้นความเสี่ยงเต็มๆ...เมื่อดูนักลงทุนในแต่ละกลุ่มจะเห็นได้ว่า นักลงทุนในดิจิทัล ในคริปโต มักจะเป็นวัยรุ่นมากกว่า และก็ยังเป็นการซื้อขายแบบเข้าออกเร็ว หวือหวาสูงมาก ซึ่งถามว่านักลงทุนในทองคำออกจากตลาดทองหันไปซื้อขายเหรียญคริปโตมากหรือไม่ ผมคิดว่าไม่เยอะ ในตลาดดิจิทัลนั้นน่าจะเป็นนักลงทุนหน้าใหม่ไฟร้อนแรงมากกว่า


การระบาดของโควิด-19 กระทบต่อการซื้อขายทองคำที่หน้าร้านมากน้อยแค่ไหน

กระทบแน่นอน เพราะว่า 1. เมื่อเศรษฐกิจไม่ดี คนก็ต้องคิดถึงปากท้องเป็นหลัก ฉะนั้นเรื่องการซื้อขายทองคำ ก็จะหายไปโดยเฉพาะทองรูปพรรณ คิดว่าหายไปไม่น้อยกว่า 50% ส่วนเรื่องของทองคำแท่งก็ตกลงไป แต่ว่าไม่มากเท่าทองรูปพรรณ เพราะนักลงทุนยังเป็นลักษณะของซื้อขายลงทุนเพื่อเก็งกำไร โดยรวมทองแท่งราคาตกลงไปสัก 20% ตอนนี้ก็ต้องบอกว่าโควิด-19 มันกระทบทุกเซ็กเตอร์ เราก็ต้องรู้ว่า ทุกอย่างแปรเปลี่ยนไปตามสภาพและเป็นลักษณะเทรดดิ้งออนไลน์ ดังนั้นในการลงทุนทองคำ เราก็ต้องพยายามเปลี่ยนบริบทมาหาการลงทุนทองคำในลักษณะออนไลน์มากขึ้น และเป็นลักษณะของการลงทุน ผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ หรือผ่านตัว เช่น MTS Online เราก็จะมีโพรดักต์พวกนี้ จะช่วยให้นักลงทุนเปลี่ยนโพรดักต์ได้ และเปลี่ยนวิธีคิดได้ ไม่ต้องไปร้านทองแล้ว กดปุ่มซื้อขายได้ รายย่อยก็ไม่จำเป็นต้องมา สามารถซื้อออมทอง เช่น วันนี้ขายของมีเงินจะออมสัก 200 บาท ซึ่งจริงๆ เงิน 200 จะซื้อทองคำเป็นเส้นไม่ได้ ก็เข้ามาระบบออมทองได้ จะสามารถซื้อเก็บสะสมทองได้ เมื่อเก็บสะสมได้ถึงครึ่งสลึงหรือ 1 กรัม ก็มาแลกเป็นทองจริงๆ ไปได้ เหล่านี้ดูจากมือถือได้เลย ทำได้ด้วยตัวเองได้เลยแค่เข้ามาในระบบออนไลน์



175 views
bottom of page