หมอกฤชรัตน์ฟันธง! ราคาทองคำทะยานเหนือ 1,800 เหรียญ เป็นจุดที่ชี้ชัดว่าเป็นขาขึ้นของทองคำอีกรอบ มั่นใจปลายปีนี้ได้เห็นราคา 1,900 เหรียญแน่นอน แม้อาจมีปรับตัวลงบ้างบางจังหวะแต่จะไม่ลงลึกจนน่าตกใจ พร้อมแนะนำบริการฮอตของ MTS Gold คือออมทองผ่าน Blockchain ของ MTS Gold มีเงินแค่ 150 บาทก็ออมได้ ให้บริการ 24 ชม.ทุกวัน รวมถึงบริการล่าสุดคือออมเงินในรูปแบบดอลลาร์ โดยมีทองคำ Back up ลงทุนขั้นต่ำเริ่ม 6,000 บาท แค่เปิดบัญชี Gold Wallet ก็สามารถออมเงิน-ออมทองในแอปได้ 7 โมงเช้าถึงตี 2 จันทร์-ศุกร์
Interview : นพ.กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ
ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มบริษัท MTS GOLD แม่ทองสุก
มองตลาดทองคำในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปีนี้อย่างไร
2 เดือนสุดท้ายคงต้องตัดสินกันหลังการประชุมเฟดวันที่ 2-3 พฤศจิกายน จะเห็นว่าในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาราคาทองคำขึ้นมาโดยตลอด จากระดับ 1,740 เหรียญขึ้นมายืนเหนือ 1,800 ได้ ทองคำพยายามขึ้นมายืนเหนือ 1,800 เหรียญเป็นครั้งที่ 4 และลงมาเป็นช่วงๆ ตลอด ถามว่าที่ลงมาเมื่อวันศุกร์ปลายเดือนตุลาคมพื้นฐานหลักๆ มาจากดอลลาร์เกิดมีการแข็งค่า เห็นว่าฉุดขึ้นมาเร็วมาก การขึ้นมาแต่ละจุดถือว่าเยอะมาก เมื่อดอลลาร์ขึ้นก็จะกดดันให้ราคาทองคำร่วง เงินบาทก็จะกลับมาอ่อน ตรงนี้เป็นตัวนึงที่ดึงให้ราคาทองคำหลุด 1,800 เหรียญลงมาอีกครั้งนึง การประชุมเฟดมีหลักๆ ใหญ่ คือเรื่อง QE ซึ่งถ้าเฟดไม่ต่อ QE มีการลดแบบค่อยเป็นค่อยไป ผมเชื่อว่าราคาทองคำจะดีดกลับขึ้นมา ถ้ามีการลด QE เร็วหมดภายใน 3 เดือนก็จะกดดันทองคำในทิศทางขาลง แต่ถ้ายืดการลด QE ออกไปมากกว่ากลางปีหน้า ซึ่งตอนนี้ตลาดคาดว่า QE จะหมดประมาณกลางปีหน้า คือจะค่อยๆ ลดลงมา ซึ่งตลาดรับรู้ข่าวไปแล้วมากทีเดียว อันนึงที่ทำให้ราคาทองคำขึ้นคือ Impression สินค้าโภคภัณฑ์ไม่ว่าจะเป็นเหล็ก ทองแดง หรือน้ำมัน ที่ปรับตัวสูงขึ้นมาก ก็จะกดดันทำให้เกิดสภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้นและในสหรัฐก็สูงขึ้นมาก เพียงแต่เฟดยังเชื่อว่าราคาสินค้าโภคภัณฑ์เป็นการสูงแค่ชั่วครั้งชั่วคราว น้ำมันที่อยู่ในเกณฑ์ที่สูงน่าจะเป็นตัวกดดันเรื่องของเงินเฟ้อในสหรัฐ ซึ่งเราจะเห็นสหรัฐ ขณะนี้ไม่มีนโยบายที่จะปรับขึ้นดอกเบี้ยถ้าเงินเฟ้อเยอะ เมื่อไม่ขึ้นดอกเบี้ย ทองคำจะปรับตัวสูงขึ้น หมายความว่าเราต้องดูการประชุมของเฟดว่าระหว่างเฟดชะลอ QE กับ CPI เฟดจะ action อย่างไร ทิศทางไหน ซึ่งจะเป็นตัวบ่งชี้ทิศทางราคาทองคำในช่วง 2 เดือนที่เหลือ
ถ้าเป็นการลด QE แบบค่อยเป็นค่อยไปจะดีต่อราคาทองคำ
ถ้ามีการลด QE เร็ว หมายความว่า QE ประมาณ 120,000 ล้านเหรียญต่อเดือน ถ้าเกิดชักเงินเร็วจะทำให้ดอลลาร์แข็งและตลาดหุ้นก็จะตก ทองคำก็จะร่วง ที่เราคิดว่าตัวทองคำน่าจะร่วงแต่ไม่หลุดคือบริเวณ 1,750 เราคิดว่าราคาทองคำไม่ลงลึกมากกว่านั้น เพราะในภาพรวมตลาดรับรู้ข่าวเรื่อง QE มากแล้ว เล่นข่าวนี้มาเดือนเศษแล้ว หมายความว่าราคาทองคำโดยภาพหลักยังดูมีโอกาสขึ้นแบบ Impression ในทางกลับกัน ตอนนี้ตลาดคาดว่าจะมีการลด QE อย่างช้าๆ เพื่อไม่ให้กระทบตลาดเงินและตลาดหุ้น ซึ่งถ้าลดอย่างช้าๆ หรือลดเดือนละประมาณ 10,000-20,000 ล้านเหรียญ ผมเชื่อว่าราคาทองคำน่าจะสามารถทรงตัวและดีดขึ้นไปได้โดยเฉพาะถ้าราคาดีดขึ้นไปเหนือ 1,800 อีกครั้งภาพรวมน่าจะกลับมาเป็นขาขึ้นและโอกาสที่จะขึ้นไปทดสอบบริเวณ 1,850-1,900 เหรียญในช่วงปลายปีน่าจะมีสูง ขึ้นอยู่กับนโยบาย QE รวมทั้งภาวะ CPI ในเดือนหน้าว่าจะสูงขึ้นมากน้อยแค่ไหน
ปี 64 ทั้งปีไม่ใช่ปีของทองคำ แต่โอกาสก็ยังมีอยู่
ยังมีโอกาสอยู่และยังน่าสนใจ เพียงแต่จะเห็นความผันผวนมาก ซึ่งจะเห็นรอบการขึ้นลงของทองคำสลับไปสลับมาถึง 3-4 รอบ ซึ่งหมายความว่าการลงทุนทองคำมีการเก็งกำไรและมีการปรับเข้ามาในฐานของโหมดเก็งกำไรมากขึ้น โดยเฉพาะลักษณะการซื้อขายผ่าน Robot หรือการเล่นข่าวทำให้แกว่งไว ในทางกลับกันตลาดไปกังวลเรื่อง CPI มาก ราคาทองคำมีสิทธิ์อย่างยิ่งที่จะเห็น 1,900 เหรียญในปลายปี ส่วนโอกาสขาลงคิดว่าลงไม่ลึก
แบบนี้ออมทองกับ MTS Gold น่าจะเป็นจังหวะที่ดีได้
ใช่ จริงๆ ต้องบอกว่าออมทองหรือการลงทุนระยะยาวของทองคำยังถือเป็นสินทรัพย์ที่น่าสนใจโดยเฉพาะในภาวะเงินเฟ้อสูง เรายังมองเงินเฟ้อในปีหน้าว่ายังสูงอยู่ เนื่องจากสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ ยังราคาสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเกิดอุทกภัย ภัยธรรมชาติที่ไม่ได้เกิดเฉพาะประเทศไทย แต่เกิดทั้งจีนตอนใต้ เวียดนาม เขมร ซึ่งพืชผลหลักอย่างข้าวจะได้รับผลกระทบ สินค้าโภคภัณฑ์ก็ยังลำบากจากเรื่องโควิด ดังนั้น Impression ผมเชื่อว่าปีหน้ายังอยู่สูง ทำให้ทองคำยังน่าสนใจในการลงทุนเพราะโอกาสที่จะปรับตัวสูงขึ้นยังมีอยู่สูง
ในส่วนของ MTS Gold เรามีระบบการออมทอง เราพัฒนารูปแบบเหนือกว่าทุกร้านทอง คือสามารถลงทุนหรือออมทองผ่านระบบ Blockchain ของบริษัทซึ่งสามารถออมทองได้โดยใช้เงิน 150 บาทก็สามารถซื้อขายทองได้ 24 ชั่วโมง 7 วันทำการ แต่ซื้อปริมาณไม่มากในลักษณะการออมทอง เป็นโพรดักต์ที่เปิดมาแล้ว 1 ปีโดยจับมือกับธนาคารกสิกรไทยและ SCB แต่สิ่งที่เป็นโพรดักต์ใหม่ที่เราเพิ่งเปิดตัว คือการออมเงินในรูปดอลลาร์ โดยมีทองคำเป็นตัว Back up ท่านสามารถซื้อทองคำได้ในหน่วยดอลลาร์ โดยมีขนาดเล็กเพื่อนักลงทุนรายย่อยคือประมาณ 0.1 ออนซ์ หรือใช้เงินลงทุนประมาณ 180 ดอลลาร์ เทียบเป็นเงินไทยประมาณ 6,000 บาท เห็นได้ว่าโลกลงทุนยุคใหม่นั้นนักลงทุนหลายๆ คนอยากลงทุนในต่างประเทศ เป็นการลงทุนในรูปแบบดอลลาร์ กลัวว่าเงินบาทจะอ่อนค่าเยอะ เพราะจากต้นปีถึงปัจจุบันเราเห็นการอ่อนค่าของเงินบาทเกือบ 10% จากต้นปีที่ 30 ตอนนี้ 33 จะเห็นได้ว่าหลายคนที่เป็นนักลงทุนอยากออมเงินรูปแบบดอลลาร์ ซึ่งตรงนี้เป็นโอกาสเหมาะ ท่านไม่ต้องขนเงินไปต่างประเทศแล้ว ธนาคารแห่งประเทศไทยอนุมัติให้ MTS GOLD เป็นเจ้าแรกที่ซื้อขายทองผ่านดอลลาร์ ท่านแค่เปิดบัญชีออมทรัพย์กับธนาคารกรุงไทย หลายท่านคงรู้จัก Krungthai Next หรือถ้าไม่รู้จักท่านอาจรู้จักแอปเป๋าตังค์ที่จ่ายคนละครึ่ง ในแอปกระเป๋าตังค์เรามีบริการแนะนำของ Gold Wallet การซื้อทองคำเพื่อเก็บไว้ในกระเป๋าของท่านในรูปแบบดอลลาร์ ท่านสามารถเอาเงินบาทแลกดอลลาร์กับธนาคารกรุงไทยในแอปเป๋าตังค์ได้เลยซึ่งทำได้สะดวกรวดเร็วง่ายและทำได้ตลอดเวลา 7 โมงเช้าถึงตี 2 ทุกวันทำการจันทร์ถึงศุกร์ เมื่อแลกเป็นดอลลาร์แล้วก็สามารถใช้ดอลลาร์ในกระเป๋าท่านซื้อขายทองคำได้ในลักษณะซื้อขายเพื่อสะสมทองคำในรูปแบบ Dollar Gold
MTS Gold มีบริการซื้อคริปโตเคอร์เรนซีด้วยใช่ไหม
ซื้อคริปโตเคอร์เรนซีของ MTS Gold เรามีบริษัทลูกที่เป็นโบรกเกอร์อยู่ในตลาด COMEX ในสหรัฐ คือเราเป็นหนึ่งในโบรกเกอร์ในตลาด Community Exchange ซึ่ง COMEX ในนิวยอร์กตอนนี้ตลาด Exchange COMEX ของอเมริกาสามารถซื้อบิตคอยน์ได้ หมายความว่าเราสามารถให้บริการนักลงทุนที่ต้องการซื้อบิตคอยน์ฟิวเจอร์ผ่าน MTS GOLD ได้ เป็นการซื้อผ่านตลาดโลกไม่ใช่ตลาดในเมืองไทย ซึ่งมีความเป็นมาตรฐานเพราะเป็นส่วนหนึ่งของตลาด COMEX นั่นเอง จุดของการซื้อขายบิตคอยน์เพียงเล็กๆ เท่านั้นเองเพราะมีหน่วยย่อยของบิตคอยน์ที่สามารถซื้อได้ ก็เป็นการซื้อผ่านตลาด Exchange COMEX ของอเมริกา ไม่ใช่บริษัทในประเทศไทย สามารถซื้อผ่านแอปได้
ในที่สุดแล้วเหรียญคริปโต บิตคอยน์ จะมาแทนที่ทองคำไหมในฐานะหลุมหลบภัย
คงไม่ได้แทนที่ ต้องมองว่าเป็นการลงทุนทางเลือกมากกว่า แต่หลายคนเปรียบบิตคอยน์คล้ายทองคำเพราะมีเรื่องของจำนวนที่มีน้อย มีจำนวนจำกัด ทำให้ราคาปรับตัวสูงขึ้นคล้ายๆ กับทองคำซึ่งเป็นโลหะชนิดนึงที่หายากและมีจำกัด แต่ความมั่นคงของทองคำต่างกับบิตคอยน์มากเพราะทองคำมีประวัติศาสตร์รองรับตั้ง 5,000 ปี ธนาคารโลก ธนาคารกลางของทุกประเทศให้การยอมรับในการถือครอง แต่ในเรื่องของบิตคอยน์เป็นเรื่องของ Digitalization เป็นโลกใหม่ที่เราเรียกว่าไม่มีเจ้าภาพ เราก็ยังไม่รู้ว่า ณ ตรงนี้จะมีความมั่นคงแค่ไหน ประวัติแค่ 12-13 ปี ยังบอกได้ยากว่าจะยั่งยืนมากน้อยแค่ไหน ซึ่งต่างกับทองคำที่มีประวัติยาวนานเป็นพันปี ความเสี่ยงในการลงทุนก็ต่างกันเยอะ และการยอมรับทั่วโลกบิตคอยน์ยอมรับในบางประเทศเท่านั้น จีนไม่ยอมรับเลย อเมริกาก็ไม่ได้ยอมรับแต่ให้เป็น Asset ที่ซื้อขายได้ ก็เปิดในระบบซื้อขายใน Exchange แต่ก็ไม่ได้แพร่หลายเท่าไหร่ในแง่ของสกุลเงิน แต่บางประเทศก็เริ่มยอมรับได้ จะต่างกับทองคำในหลายประเด็น การลงทุนบิตคอยน์ถือเป็นอีกทางเลือกนึงสำหรับนักลงทุนหน้าใหม่ดีกว่า
Comments