top of page
image.png

ตลาดตราสารหนี้-กองทุน ยังไม่วิกฤต...ถ้าไม่ร้อนเงินควรถือระยะยาว



Interview: คุณธนัฐ ศิริวรางกูร (หมอนัท)

ผู้เชี่ยวชาญกองทุนรวม จากคลินิกกองทุน


หมอนัทชี้ ตลาดตราสารหนี้-กองทุน ยังไม่วิกฤต พร้อมเตือน...ในภาวะฝุ่นตลบต้องตั้งหลักก่อนตัดสินใจขาย ถ้าไม่ร้อนเงินควรถือระยะยาว โดยเฉพาะในตราสารหนี้-กองทุน-หุ้นกู้ เรตติ้ง BBB ขึ้นไป ยิ่งมีเรตติ้ง A, AA หรือ AAA ถือว่ายังปลอดภัยอยู่ แจง...งบการเงินบริษัทที่ออกหุ้นกู้ยังดูดี ยังจ่ายดอกเบี้ยและคืนเงินต้นได้ เว้นเสียแต่มีเหตุวิกฤต คนไทยติดโควิด-19 หลักหมื่นคน ซึ่งจะกระทบเศรษฐกิจในระยะยาว จะเข้าสู่จุดที่น่ากังวลว่าผู้ออกหุ้นกู้จะจ่ายดอกเบี้ยและคืนเงินต้นได้หรือไม่ ส่วนการลงทุนในหุ้นแนะนำกลุ่มอสังหาฯ กลุ่มโครงสร้างพื้นฐาน ควรหลีกเลี่ยงกลุ่ม Healthcare และเทคโนโลยี ด้านกองทุน-ทองคำ ต้องลงทุนระยะยาว และต้องทนรับแรงผันผวนได้

วันนี้หมอนัทต้องมาดูอาการของคนถือหน่วยลงทุนว่าเป็นอย่างไรบ้าง

วันก่อนมีประกาศจาก บลจ.งดรับซื้อสับเปลี่ยนหน่วยกองทุนรวมบางกองที่เป็นตราสารหนี้ทั้งหลาย ตอนนี้คนอยากถือเงินสดก็ทยอยขายสินทรัพย์ออกมา ตราสารหนี้ก็เช่นเดียวกันที่ผู้ลงทุนไม่ไว้วางใจเท่าไหร่ พยายามขายตราสารหนี้ออกมา พอมีคนขายเยอะแต่คนรับซื้อ ไม่มีเพราะไม่อยากซื้อกันตอนนี้ พอเป็นแบบนี้ก็มีปัญหาว่าการจะขายออกไม่ได้ขายง่ายๆ และการขายออกแบบนี้จะได้ราคาที่ไม่ดี

มาตรการที่ บลจ.ออกมาแบบแป๊บเดียว ไม่กี่นาทีก็ยกเลิก เพราะกลัวคนจะเข้าใจผิดว่าทางสถาบันเกิดปัญหาขึ้น จะยุ่งกันไปใหญ่ ก็เลยประกาศยกเลิกไปก่อน

แต่ถ้ามองโดยพื้นฐานตราสารหนี้ อยากให้เข้าไปดูในกองทุนก่อนว่ากองทุนนั้นถือตราสารหนี้ประเภทไหน ถ้าถือตราสารหนี้ประเภทที่ติดเรตติ้งดีหน่อย พูดง่ายๆ บริษัทที่มีสุขภาพการเงินที่ดี ผมว่าเขาจ่ายดอกเบี้ยและเงินต้นให้กับเราได้อยู่ นักลงทุนก็น่าจะยังถือต่อ ผมเชื่อว่าผู้จัดการกองทุนมองแบบเดียวกัน อยากให้นักลงทุนถือต่อซักหน่อยเพราะการถือต่อโอกาสขาดทุนน้อยลง เพราะทุกครั้งที่พันธบัตรหรือหุ้นกู้จ่ายดอกเบี้ยเข้ามาในกองทุน NAV หรือมูลค่าหน่วยลงทุน จะค่อยๆเพิ่มขึ้นแต่ต้องใช้เวลา ตอนนี้กลายเป็นทุกคนขายออก ราคาขายออกยิ่งไม่ดี ทำให้มูลค่าของกองทุนยิ่งแย่ลงไปด้วย จึงออกมาตรการชั่วคราว แต่ดูแล้วไม่น่าจะได้เลยยกเลิกไป ก็เป็นปัญหาเยอะมาก กลายเป็นความเชื่อมั่นของนักลงทุนน้อยลงว่าเกิดอะไรขึ้นกับตลาดตราสารหนี้หรือเปล่า ซึ่งจริงๆยังไม่ถึงขั้นวิกฤตที่ทุกคนต้องเอาเงินออก เพราะปกติบริษัทจ่ายดอกเบี้ยตราสารหนี้ 3 เดือนจ่ายครั้งนึงหรือ 6 เดือนจ่ายครั้งนึง ถ้าเรตติ้งดีหน่อยผมเชื่อว่าน่าจะจ่ายดอกเบี้ยและเงินต้นให้นักลงทุนได้อยู่

เรตติ้งดีหน่อยคือระดับไหน


ถ้าสมัยก่อนเราจะพูดกันคือเรตติ้งที่ลงทุนได้มี BBB ถ้าใครไปเปิดหนังสือชี้ชวนว่าเข้าไปซื้อหุ้นกู้ถ้ามี BBB แสดงว่าเริ่มต้นลงทุนได้แล้ว มี AA หรือ AAA ตัวนี้ถือว่าลงทุนได้ แต่ถ้าในช่วงวิกฤตแบบนี้มีเรื่องของโรคระบาดและบริษัทมีรายได้ลดลง อาจจะจ่ายดอกเบี้ยช้าหรือเปล่าอันนี้ต้องมานั่งดูกัน แต่ถ้าปลอดภัยหน่อยผมว่าช่วงนี้เลือกเป็น A ขึ้นไป คือ A หรือ AA ดีที่สุดคือ AAA ยังคงปลอดภัยอยู่

ธนาคารแห่งประเทศไทยแถลงว่า 10-20 วันนี้ ต้องอัดฉีดเงินเข้าสู่ตลาดประมาณ 100,000 ล้านบาท เพื่อซื้อตราสารหนี้หรือพันธบัตรที่มีคนเริ่มขายออกมา อันนี้เกี่ยวกับที่หมอนัทพูดถึงหรือเปล่า

ผมว่าไม่น่าจะเกี่ยว เพราะเป็นการเพิ่มสภาพคล่องให้กับตลาดด้วย ธนาคารแห่งประเทศไทยทำถูกต้องแล้ว เพราะถ้าสภาพคล่องไม่ดีคนจะยิ่งรู้สึกว่าเกิดอะไรขึ้น ใส่มาแสนล้านถือว่านิดเดียว น้อยมากถ้าเทียบกับตลาดตราสารหนี้ทั้งหมด อย่างกองทุน 1 กองทุนก็ 60,000 ล้านแล้ว

ในฐานะดูแลกองทุนมาตลอด มองแล้วบรรยากาศตอนนี้เรียกว่าวิกฤตแล้วหรือยัง

ยังไม่วิกฤต เพราะยังไม่มีตราสารตัวไหน default รุนแรง สมมุติตราสารเรตติ้งดีๆ มี Default เมื่อไหร่ ผมว่าเริ่มจะมีความน่ากลัว ตอนนี้คิดว่ายัง เพราะดูเรตติ้งแล้วยังดีอยู่ ผมไปเจาะดูงบการเงินของบริษัทที่ออกหุ้นกู้พวกนี้ยังมีรายได้สามารถจ่ายดอกเบี้ยได้ เราอาจจะตื่นเต้นไปหน่อยเพราะส่วนนึงอยากถือเงินสดไว้ในมือก็เลยรีบขายออกมา ซึ่งใครที่ถือกองทุนพวกนี้อยู่ ถ้าถือนานหน่อยให้ครบรอบจ่ายดอกเบี้ยเชื่อว่าเดี๋ยว NAV หรือ มูลค่าสินทรัพย์สุทธิ ก็กลับขึ้นมา และถ้าเทรนด์ของอัตราดอกเบี้ยเป็นขาลงเมื่อไหร่ ตัวมูลค่าของตราสารหนี้จะค่อยๆเขยิบขึ้น เมื่อทางการมีมาตรการอะไรออกมา ราคาหรือมูลค่าตราสารหนี้อาจจะกลับขึ้นมาก็ได้

สถานการณ์ตอนนี้หมอนัทบอกไฟไม่ได้ไหม้โรงหนัง อย่าเพิ่งแย่งกันออก ให้มีความเชื่อมั่น สถานการณ์ไม่ได้เลวร้าย

ถ้ามันจะเลวร้ายอาจจะต้องรอโรคแพร่กระจายแบบเฟส 3 ไปไกล มีคนป่วยเป็นหลักหมื่น ผมว่าอันนี้เริ่มกระทบต่อเศรษฐกิจระยะยาว การที่บริษัทนำเงินมาจ่ายเราจะเริ่มยากขึ้น ตอนนั้นผมว่าน่าจะเริ่มกังวลแล้ว

สถานการณ์แบบนี้คนอยากออกมากกว่าอยากเข้า มีคนอยากขายมากกว่าซื้อ เคยเกิดขึ้นแบบนี้ไหมในเมืองไทย

ไม่มี เป็นครั้งแรก ผมยังตกใจว่าเป็นการเกิดขึ้นครั้งแรกที่กองทุนห้ามนักลงทุนขายออกสับเปลี่ยนไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เพราะความเชื่อมั่นลดลงไปเยอะ อย่างที่บอกต้องกลับไปดูพื้นฐานของตัวสินทรัพย์ว่ายังแข็งแรงไหม ต้องกลับไปดูตรงนั้นมากกว่า

ควรจะมีกองทุนที่ยิ่งกว่ากองทุน หรือสถาบันนึงทำแบบแบงก์ชาติโดยฉีดเงินเข้ามาพร้อมรับซื้อ ทำให้มีสภาพคล่อง ควรมีไหม


ผมว่าทำได้ แต่อย่าทำเยอะมาก เพราะเราไม่รู้ถึงขนาดความเสียหาย เงินจะไปซัพพอร์ตอยู่ในนั้นเยอะเกินไป ผมว่าออกมาตรการอื่นมาซัพพอร์ตน่าจะดีกว่า มาช่วยเหลือบริษัทจดทะเบียนที่ออกหุ้นกู้เหล่านี้ให้อยู่รอดได้ จ่ายดอกเบี้ย จ่ายเงินต้นได้ ออกมาตรการช่วยเศรษฐกิจระยะยาวน่าจะเป็นมาตรการที่ดีมากกว่า

อันนี้เป็นหน้าที่ของใคร เป็นเรื่องที่เจ้าของตราสารหนี้ต้องเข้ามาดูแลตรงนี้หรือเปล่า


ต้องช่วยกัน ถ้าผู้ออกตราสารหนี้บอกว่ายังจ่ายดอกเบี้ย เงินต้น มายืนยันให้ทุกคนมั่นใจ อีกทางนึงภาครัฐก็ต้องออกมาตรการให้นักลงทุนและผู้ประกอบกิจการด้วย จะเห็นพ้องต้องกันว่าเป็นมาตรการที่ดี

มีตราสารหนี้หรือหุ้นกู้ที่ใกล้จะครบไถ่ถอนเยอะไหม

คิดว่ามีมาเรื่อยๆอยู่แล้ว คิดว่าน่าจะทำให้ตัวมูลค่าของกองทุนขึ้นไปด้วย อย่างที่บอกถ้าครบมูลค่าก็จะมีดอกเบี้ยและเงินต้นคืนมา

สมาคมตราสารหนี้ไทยบอกว่ามีหุ้นกู้ครบกำหนดไถ่ถอนประมาณ 50,000 ล้าน จริงๆ มีมากหรือน้อยกว่านี้


น่าจะประมาณนั้น เพราะสมาคมตราสารหนี้เก็บข้อมูลทุกวันอยู่แล้ว

ดูแล้ว NAV หดตัวไปขนาดไหน คนที่ถืออยู่ถึงร้อนรน

จริงๆน้อยเหมือนกัน แต่ยังไม่น่าตกใจขนาดติดลบ 5-6% ตอนนี้เจอกองที่มีปัญหาเยอะหน่อยก็กองทุนตราสารหนี้ไทยมีอยู่ประมาณ 2% นิดๆ ซึ่งต้องบอกว่านักลงทุนต้องกลับมาดูตัวเองก่อนว่ารีบใช้เงินไหม ถ้าไม่รีบใช้อยากให้ถือต่อ แต่ถ้ารีบใช้จริงก็ต้องขาย ยอมขายขาดทุน แต่ถ้าถือต่อได้ในระยะยาวน่าจะดีถ้าไม่เกิดเหตุการณ์อะไร

ถ้าแบงก์ชาติลดดอกเบี้ยเพิ่มอีกยิ่งกระเทือนไหม


อย่างที่บอกมูลค่าตราสารหนี้จะสวนทางกันเพราะตราสารหนี้ที่ถือในกองทุนจะให้ดอกเบี้ยสูงกว่า คนก็จะแห่มาซื้อตัวเดิมๆ คนที่ถือกองทุนตราสารหนี้อยู่จะได้เปรียบอยู่แล้ว แต่คนที่ซื้อใหม่ก็จะได้ตราสารหนี้ตัวใหม่ที่ดอกเบี้ยลดลง แนวโน้มก็จะเป็นแบบนี้


ข้ามมาที่กองประเภทตราสารทุนบ้าง เชื่อว่าเสียหายกันเยอะ


ใช่ กองหุ้นยังไงก็ลงมาเยอะพอสมควร ผมผ่านช่วงวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์มา สถานการณ์คล้ายๆกัน ตอนนี้เราเริ่มเห็นหุ้นบางตัวมูลค่าค่อยๆถูก ถูกกว่าตอนเริ่มบริษัทจดทะเบียนขึ้นมา จริงๆตอนนี้เป็นช่วงที่นักลงทุนควรหาความรู้ หาข้อมูลบริษัทที่เราจะถือครองระยะยาวได้ เล็งๆไว้ก่อน ถ้าราคาเริ่มถูกลงมากๆ ก็กลับเข้าไปซื้อได้ ผมว่าช่วงนี้เป็นช่วงที่น่าลงทุนเพราะหุ้นบางตัวเริ่มปันผล 4-7% ก็มี ถ้าถือระยะยาวได้ดีเลย


อย่างคนที่มี LTF ค้างเก่าอยู่


อันนี้ทำใจอย่างเดียว หรือถ้าอยากซื้อก็อาจจะต้องซื้อ SSF แทน แล้วทยอยซื้อเป็นแบบรายเดือน อย่าไปซื้อตูมเดียว ถ้าติดดอยอีกรอบก็จะเหนื่อย ก็หาจังหวะแบ่งซื้อหรือซื้อทุกเดือนก็ได้


SSF ที่จะออกมาแปลงร่างกลายพันธุ์ใหม่กลับมาให้เหมือน LTF อันนี้จะช่วยไหม

อาจจะช่วยไม่มาก ความน่าสนใจหรือเสน่ห์ของ LTF สมัยก่อนคือมีอายุ 7 ปี เป็นการลงทุนแบบระยะกลางหน่อย นักลงทุนเลยชอบ แต่พอยืดเป็น 10 ปี เป็นตลาดทุนเหมือนกัน ลงทุนให้หุ้นเหมือนกัน นักลงทุนอาจจะซื้อน้อยลง 10 ปีมันดูไกลไปนิดนึง ถามว่าช่วยแต่อาจไม่มาก และตลาดหุ้นไม่เหมือนสมัยก่อน ตลาดหุ้นสมัยก่อน Market Size มันเล็กกว่านี้เยอะมาก สมัยก่อนมี LTF ออกมาได้ผลเพราะคนที่ซื้อ LTF ทำให้มีเงินเข้าตลาดหุ้นหลายหมื่นล้าน แต่ปัจจุบันถึงเข้ามาหลายหมื่นล้านก็ยังไม่ช่วยพยุงดัชนีมากเท่าไหร่ เพราะขนาดของตลาดบ้านเราใหญ่มากกว่านั้นแล้ว

จะบอกอะไรคนที่ถือตราสารนี้ ใจเย็นๆให้ถือไว้ก่อน แล้วจะบอกอะไรรัฐบาล กระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย ว่าควรเข้ามาดูแลอะไร ช่วยเหลืออะไร

ฝั่งนักลงทุนอยากให้ใจเย็นๆ รอดูสถานการณ์ก่อน ถ้าตัวเองมีกระแสเงินสดก็ถือยาวๆ ถือสินทรัพย์ตราสารหนี้ถือว่าดี ไม่ถือว่าลงแรง แต่ถ้าใครถือตราสารทุนหรือหุ้นและจะทยอยลงทุนก็เริ่มทำได้ แต่อย่าลงเยอะ ใจเย็นนิดนึง รอฝุ่นตลบก่อนแล้วกลับเข้ามา

ฝั่งภาครัฐ ผู้กำกับดูแล ตอนนี้เชื่อว่าฝั่งผู้ประกอบการที่ออกหุ้นกู้หรือนักลงทุนต้องการความมั่นใจว่าจะมีมาตรการมาช่วยเหลือ เช่น ช่วยเหลือเรื่องของอัตราดอกเบี้ย สภาพคล่องแค่บางส่วนอาจจะไม่ต้องเยอะมากเดี๋ยวตลาดเสียหมด ให้เป็นมาตรการชั่วคราวที่เป็นชั่วคราวจริงๆ มาตรการทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นอเมริกาหรือที่อื่นเป็นมาตรการชั่วคราวทั้งสิ้น จะไม่ออกเป็นระยะยาว และต้องมีแผนมารองรับว่าจะทำอะไร เล็งแบบกว้างๆ หน่อย บางทีมาตรการออกมามันกลายเป็นจุดเดียวแคบมากๆ อันนี้อาจจะไม่ได้ผล

คนที่ลงทุนในกองทุนต่างประเทศต้องทำตัวอย่างไรดี


ต่างประเทศก็โดนคล้ายๆกับเรา ก็ต้องรอเวลา ไม่ว่าจะเป็นหุ้นกลุ่ม Healthcare หรือ Technology คงยังไม่ฟื้นตัวเร็วๆนี้ แต่ราคาเริ่มถูกลง อย่างผมเล็งพวกอสังหาริมทรัพย์ เพราะต่อให้เศรษฐกิจไม่ดี มีวิกฤตเกิดขึ้น แต่โครงสร้างพื้นฐานทั้งหลายหรืออสังหาริมทรัพย์ยังเป็นเรื่องจำเป็นคนยังต้องทำงานออฟฟิศ คนยังใช้ทางด่วน รถไฟฟ้า มือถือ เพราะฉะนั้นตราบใดที่ยังมีผู้ใช้สินทรัพย์เหล่านี้ก็ยังมีรายได้ ถ้าเราอยากจะถือก็เข้าไปถือได้ตอนนี้แล้วยังมีกระแสเงินสดกลับเข้ามาเรื่อยๆด้วย นักลงทุนท่านไหนสนใจลงทุนเพิ่มก็แนะนำพวกอสังหาริมทรัพย์ โครงสร้างพื้นฐานก็มองไว้หน่อยนึง ปันผลอยู่ที่ 6% ได้ 7% พอไหว สมัยก่อนตอนแรกๆแพงมากเหลือปันผล 4-5% ตอนนี้กลับขึ้นมาแล้ว

กองทุน ทองคำ...ถือระยะยาวดี ระยะสั้นต้องทนผันผวนให้ได้ เพราะตอนนี้คนบอกถือเงินสดดีสุด ถ้าจะถือทองคำต้องระยะยาว

ประเมินสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 นี้กี่เดือน


ถ้าจะให้ประเมินคร่าวๆ น่าจะจบประมาณสิ้นปี คือดูจากประเทศจีนเขาใช้เวลาจัดการกี่เดือน ประเทศเราอาจไม่รุนแรง แต่มีความช้ากว่านิดหน่อย เราน่าจะเคลียร์สถานการณ์ได้ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นแทรกแซงขึ้นมา รัฐบาลต้องออกมาตรการเด็ดขาดหน่อย เริ่มปิดร้านค้าทั้งหลายเป็นทางออกที่ดีเหมือนกัน ลดการเคลื่อนย้ายของเชื้อโรคที่แพร่กระจายเร็วมากขึ้น ต้องระวังคนกลับต่างจังหวัด อันนี้น่ากลัวเหมือนกัน แทนที่จะได้ผลกลับกลายกระจายเร็ว ก็ต้องฝากภาครัฐช่วยดูแลควบคุม ถ้าสนใจลงทุนในต่างประเทศจริงๆ จีนน่าจะฟื้นเร็วสุดเพราะควบคุมทุกอย่างได้หมดแล้ว

27 views

Comments


bottom of page