top of page
40_ดอกเบี้ยออนไลน์-603-x-230.jpg
image.png

นิตยสารดอกเบี้ย ฉบับที่ 530 : เปิดตำรา "บู๊" สู้วิกฤต! แบงก์ไม่ควรเป็นเสือนอนกินต้องช่วยยืดหนี้ให้ลูกค้าได้หายใจ


ree

คอลัมน์  เรื่องจากปก : ชาติชาย พยุหนาวีชัย อดีตนายแบงก์มากความสามารถ/ประสบการณ์สูงจากแบงก์กสิกรไทย และผู้อำนวยการแบงก์ออมสิน ปัจจุบันบริหารงานเอกชนดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริหาร บริษัทออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ เผยเคล็ดวิชา พลิกตำราฉบับ “บู๊” สู้วิกฤตเศรษฐกิจไทย 


แบงก์ไม่ควรเป็นเสือนอนกิน

ต้องช่วยยืดหนี้ให้ลูกค้าได้หายใจ


จากปัญหาต่างๆ ที่รุมเร้ามากมายเวลานี้ ในฐานะที่ผมเคยมีประสบการณ์ทางด้านแบงเกอร์มาตลอดชีวิต แล้วปัจจุบันอยู่ภาคเอกชน ทำให้เห็นปัญหาต่างๆ ผ่านหลายยุคหลายสมัยที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ  ซึ่งรัฐบาล กระทรวงการคลังทำหลายอย่างในส่วนของนโยบายการคลัง ส่วนนโยบายการเงินอยู่ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย  ผมคิดว่าทั้งนโยบายการเงินและการคลังมีความสำคัญและต้องทำงานช่วยสนับสนุนกัน  


ปัญหาปัจจุบันนี้ที่เป็นปัญหาใหญ่ที่เกิดขึ้นคือ การกู้เงินแบงก์ยากมาก ธุรกิจและประชาชนขาดสภาพคล่อง  ซึ่งความจริงแล้วแบงก์ไม่ต้องให้กู้ก็ได้ แต่แค่ชะลอการจ่ายเงินของลูกหนี้ก็พอ

 

ยกตัวอย่างหลายปีมานี้ผู้ประกอบการ SME จะไปขอกู้แบงก์ ทางแบงก์จะวิเคราะห์เข้มข้นมากเลย กลัวจะเป็น NPL ก็เลยไม่อยากจะให้กู้  พอไม่ปล่อยกู้แบงก์ก็เอาเงินไปฝากไว้ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ดอกเบี้ย  ซึ่งเป็นอัตราค่าดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทยซึ่งก่อนหน้านี้อยู่ที่ 2% กว่าๆ ก่อนจะยอมลดลงมาเหลือ 1.75% ในขณะแบงก์รับฝากมาค่าเฉลี่ยแค่ 1%  เป็นแบบนี้แบงก์ไม่ต้องทำหน้าที่ปล่อยกู้แค่ไปฝากแบงก์ชาติก็ได้กำไร 0.75% ก็สบายไม่ต้องเสี่ยง เป็นเสือนอนกินเลยสำหรับแบงก์พาณิชย์ 


ดังนั้นการที่ผมเสนอว่า..แค่ยืดหนี้พอ.. ยกตัวอย่างบริษัท SME กู้เงินมา 10 ล้านบาท ผ่อน 5 ปี เอาแค่เงินต้นอย่างเดียวหาร 5 คือ 2 ล้านบาทต่อปี สมมุติแบงก์จะช่วยยืดหนี้ให้ ขยายจาก 5 ปีเป็น 10 ปีผ่อนแค่เงินต้นจะเหลือแค่ 1 ล้านต่อปี จากที่ต้องส่งแบงก์เดือนละเกือบ 200,000 บาท ก็เหลือเดือนละแสนเดียวหรือไม่ถึงแสนด้วย  จากต้องส่งแบงก์ 2 ล้านบาทพอยืดหนี้ให้ก็จะทำให้ธุรกิจมีเงินเหลือปีหนึ่งประมาณ 1 ล้านกว่าบาท เอาไปหมุนเวียนในการค้าขายหรือในการที่จะเสริมสภาพคล่อง... อันนี้คิดให้เห็นง่ายๆ ...ซึ่งปัจจุบันในระบบเรามีหนี้อยู่ 16.7 ล้านล้านบาท สมมุติผ่อน 10 ปี ปีหนึ่ง 1.67 ล้านล้านบาท พอยืดหนี้ให้เขาผ่อนเหลือครึ่งเดียว เขาก็ลดไปได้ 8.5  แสนล้านบาททั้งระบบ ก็ทำให้เงินจำนวนนี้สามารถที่จะกลับเข้ามาสู่ระบบ หมุนเวียนเศรษฐกิจ  คือไม่ต้องเอาเงินจำนวนนี้ไปผ่อนจ่ายแบงก์ เพราะถ้าจ่ายแบงก์ก็ไม่ได้ปล่อยกู้กลับมาสู่ระบบ แบงก์ก็เอาไปฝากที่แบงก์ชาติ 


ดังนั้น ผมคิดว่าถ้าเรายืดหนี้ให้เขาเลย ถ้าปัจจุบันผมอยู่แบงก์ผมยืดระยะเวลาชำระหนี้ให้ 100% เท่ากับระยะเวลาที่เหลืออยู่เลย คุณกู้ 5 ปีผมยืดให้อีก 5 ปี กู้ 10 ปีผมยืดให้อีก 10 ปี เหมือนช่วงโควิดที่งดการชำระหนี้ให้เพราะทุกคนขาดสภาพคล่อง แต่พอหมดโควิดก็กลับมาเป็นชำระหนี้ปกติ .... ซึ่งทำแบบนี้ ยืดหนี้ให้แบงก์ก็ได้ประโยชน์ไม่ต้องไปหาลูกค้าใหม่ แล้วยังได้ช่วยลูกค้าเก่าด้วย


อัตราดอกเบี้ยต้องลดอีก

เงินบาทอย่าแข็งค่าเกิน


ส่วนนโยบายการเงิน อย่างที่ผมเกริ่นแต่ต้นคือ แบงก์ชาติควรจะมีแนวทางในการลดดอกเบี้ยลงมาได้อีก คณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง. ที่มีการประชุมครั้งที่ 3 ของปีวันที่ 25 มิถุนายนมีมติ 6 ต่อ 1 ให้ยืนดอกเบี้ยไว้ที่ 1.75% คงเดิม  ผมคิดว่าน่าจะทบทวนที่จะลดดอกเบี้ยลงมา  ไม่อย่างนั้นแบงก์ก็จะเอาเงินไปฝากแบงก์ชาติหมดเหมือนที่ผ่านมาหลายปีมานี้ที่แบงก์ชาติตึงดอกเบี้ยไว้ที่ระดับสูงอยู่นาน  ซึ่งอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงเป็นดอกเบี้ยเมื่อ ณ สิ้นวัน แบงก์มีเงินเหลือเท่าไหร่ก็ไปฝากแบงก์ชาติ แบงก์ชาติก็ให้ดอกเบี้ยตามอัตรานั้น ซึ่งแบงก์กินดอกเบี้ยส่วนต่างกำไรไปสบายๆ ไม่ปล่อยกู้... ไม่ควรปล่อยให้แบงก์มีเงินเหลือแล้วเอาไปฝากแบงก์ชาติจนทำให้สินเชื่อทั้งระบบลดลง  


ถ้าลดดอกเบี้ยอะไรจะเกิดขึ้น... ก็สามารถไปช่วยเรื่องของ Tariff (ภาษีตอบโต้ทรัมมป์) ได้ คือปัจจุบันนี้ค่าเงินบาทค่อนข้างแข็งค่าเมื่อเทียบกับดอลลาร์เหลือแค่ไม่ถึง 33 บาทต่อ 1 ดอลลาร์จากในช่วงที่เคยอ่อนแถว 38-39 บาท 

 

ผมยกตัวอย่าง ถ้าบาทอ่อนลงมาสัก 36 บาทต่อดอลลาร์แปลว่าอ่อนลง 10% ซึ่งปัญหาเรื่อง Tariff เราโดน 19%  ถ้าให้ค่าเงินบาทอ่อนไป 10% ก็เท่ากับช่วยหักล้างไปได้ 10% ก็เหลือที่จะไปแข่งขันกับคู่แข่งการค้าลงมาเหลือ 9% 


วันนี้ค่าบาทแข็ง ถามว่าทำไมบาทเราแข็ง ก็ต้องไปวิเคราะห์ว่าเศรษฐกิจเราเทียบกับสหรัฐใครแข็งแรงกว่ากัน  เขาแข็งแรงกว่าแล้วทำไมเงินดอลลาร์ถึงอ่อนกว่าบาท/บาทแข็งกว่าดอลลาร์ แปลว่าต้องมีกลไกบางอย่างที่ทำให้ค่าเงินบาทแข็ง คือมีเงินไหลเข้าประเทศเราอาจจะเป็นเงินสีเทาหรือเงินอะไรก็แล้วแต่ ที่เราต้องไปพิสูจน์ หรือเป็นเงินลงทุนระยะสั้นที่ทำให้บาทแข็ง โอเคบาทเราแข็งโดยธรรมชาติอยู่แล้วเพราะเรามีทุนสำรองหนุนหลัง มีทองคำหนุนหลัง  แต่เทียบขนาดเศรษฐกิจต่อเศรษฐกิจแล้วค่าบาทไม่ควรจะแข็งแบบนี้  ถ้าทำให้บาทอ่อนลงมาซึ่งอันนี้ก็เป็นภาระหน้าที่ของแบงก์ชาติอีกเหมือนกัน  แบงก์ชาติจะดูแลเรื่องเงินบาทและเสถียรภาพของเงินบาท ค่าเงิน Exchange แล้วก็อัตราดอกเบี้ย อันนี้ต้องฝากทางแบงก์ชาติกลับมาดูภาพรวมความเป็นจริงของเศรษฐกิจไทยด้วย


แนะรัฐตั้ง AMC ซื้อหนี้แบงก์

ช่วยแก้หนี้ภาคประชาชน


จริงๆ ผมมีแนวทางที่คิดๆ หลายเรื่อง  นอกจากที่กล่าวแล้วว่า ถ้าเงินบาทอ่อน อัตราดอกเบี้ยลง มีการชะลอการชำระเงินของลูกหนี้ ก็จะทำให้สภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจของไทยดีขึ้นมากมายมหาศาล 


อีกเรื่องที่คิดว่าควรแก้ไข คือเรื่องการ แก้หนี้ภาคประชาชน ....เมื่อปี 2540 เกิดวิกฤตต้มยำกุ้ง วิกฤตเศรษฐกิจครั้งนั้นไม่ได้ลงมากระทบถึงเศรษฐกิจฐานรากหรือบุคคลธรรมดาเท่าไหร่ จะกระทบกับเศรษฐกิจขนาดใหญ่มากกว่า  แต่วันนี้มันกระทบลงมาถึงชาวบ้าน  ซึ่งผมอยากเห็นว่ามีการบริหารจัดการหนี้ คล้ายๆ กับที่เราทำ บบส.หรือ AMC มารับซื้อหนี้แก้ไขให้กับภาคธุรกิจในปี 2540  เราควรจะทำเหมือนกันนี้ให้กับภาคประชาชน ซึ่งอันนี้ผมพูดเสนอแนวทางมาตั้งแต่ก่อนวันเลือกตั้งเมื่อ 2 ปีก่อนว่า เรื่องของการแก้หนี้ภาคประชาชน รัฐควรจะตั้ง AMC มารับซื้อหนี้จากแบงก์พาณิชย์หรือแบงก์รัฐ เพราะที่จริงหนี้พวกนี้แบงก์มีการตั้งสำรองหนี้สูญไปหมดแล้ว พอเราตั้ง AMC ไปซื้อหนี้มาจากแบงก์ในราคาแค่ 10-20% ของเงินต้นก็พอ มีหนี้กับแบงก์ 100,000 บาท AMC ซื้อมาในราคา 10-20% ต้นทุนของ AMC ก็แค่ 10,000-20,000 บาท จากนั้น AMCก็จะเจรจาให้ลูกหนี้มาคุยได้จากเดิมมีหนี้ 100,000 บาทก็จะเหลือแค่ 10,000-20,000  AMC ขอเงินต้นคืน แต่จากนี้ไปลูกหนี้มาผ่อนแล้วก็จ่ายดอกเบี้ยในอัตราที่ต่ำ  ดังนั้นประชาชนที่เป็นหนี้ก็จะมีภาระในการชำระหนี้น้อยลง 

 

ส่วนสินเชื่อบ้าน ถ้าสมมุติมีการซื้อบ้าน กู้มา 2 ล้านบาท ต้องผ่อนเดือนประมาณ 15,000 บาท แต่ถ้าเกิดเป็นหนี้เสีย เอาพวกกลุ่มหนี้เสียก่อน ให้รัฐไปซื้อหนี้นี้ที่ 70% ซึ่งปัจจุบันแบงก์พาณิชย์เขาก็ประมูลขายอยู่ที่ 70% อยู่แล้ว เวลาที่เป็น AMC ของเอกชนเวลาเขาซื้อเขาก็จะเอากำไรอยู่ แต่ถ้ารัฐไปซื้อแล้วให้ลูกค้าตีโอนชำระหนี้มาเลยในอัตรา 70% เท่ากับว่าจากหนี้ 2 ล้านก็เหลือ 1.4 ล้าน ในยอดหนี้ 1.4 ล้าน รัฐใช้เงินทุนโดยการออกตราสารหนี้ ออกบอนด์อัตราเบี้ยอาจจะ 2-3% ...สมมุติ 2% หนี้ 1.4 ล้านเท่ากับดอกเบี้ยเหลือแค่ ประมาณ 2% ของ 1 ล้าน คือ 1.4 ล้านก็ประมาณ 30,000 กว่าบาท คือเหลือผ่อนชำระเดือนหนึ่งประมาณ 3,000 กว่าบาท แต่เราบริหารจัดการ 1% เป็น 4,000 กว่าบาท ผมให้คุณเช่า 4,000 กว่าบาทเอาไหม เพราะเดิมผ่อน 15,000 บาท แล้วเมื่อไหร่คุณมีเงินก็มาซื้อคืนไปเลยในราคา 1.4 ล้าน 


ดังนั้น ภาระหนี้ที่เคยเป็นหนี้อยู่ 2 ล้านก็หายไปเลย ภาระหนี้ภาคประชาชนก็หายไป 1 คนก็หายไป 2 ล้าน แล้วภาระการผ่อนก็เบาลง  ไม่ต้องผ่อนแล้วเป็นการเช่าแทน พอเช่าแทนก็ลดค่าใช้จ่ายจาก 15,000 บาท มาเหลือ 4,000-5,000 บาท ก็จะเซฟเงินไปได้ 10,000 บาท  หนี้ครัวเรือนก็หายไปด้วย หายไปหมด ทำ AMC สัก 1 ล้านล้านบาท หนี้ครัวเรือนก็หายไป 1 ล้านล้านบาท ภาคประชาชนก็ยังมีบ้านอยู่อาศัยเพราะรัฐให้เช่า ถามว่ารัฐจะขาดทุนไหม..รัฐไม่ขาดทุนเพราะรัฐก็เก็บค่าเช่ามาเป็นดอกเบี้ย แล้วพอขายได้ประชาชนก็มาซื้อไป อาจจะมีบวกค่าใช้จ่ายนิดหน่อย ผู้กู้คือประชาชนก็ซื้อคืนไปในราคาที่ขายให้กับคนทั่วไปก็ได้ 


อันนี้ก็สามารถแก้หนี้ภาคประชาชนได้อีกช็อต


เร่งรัฐช่วยผู้ประกอบการ/ส่งออก

ออกซอฟต์โลนช่วย SME รายย่อย


กลับมาเรื่อง Tariff  ตอนนี้ผู้ส่งออกถึงแม้จะได้ลดภาษีลงมาที่ 19% จาก 36% แต่ก็ต้องบอกว่ามีภาระเพิ่มขึ้นแน่ คือถ้าเกิดส่งสินค้าออกไปขายในราคาเดิมแปลว่าขาดทุน 19% แล้วภาคอุตสาหกรรมที่ผมสัมผัสมาคือเขามีมาร์จิ้นกำไรไม่ถึง 10% แปลว่าจริงๆ แค่เก็บภาษีเพิ่ม 10%  คนขายก็แทบจะไม่มีกำไรแล้ว เมื่อเป็นแบบนี้เขาก็ต้องไปหาวิธีการลดต้นทุนหรือทำอะไรก็แล้วแต่เช่นอาจจะลดพนักงานลงเพื่อให้ลดค่าใช้จ่าย ดังนั้นผมคิดว่าผู้ส่งออก สมาคมการค้าต่างๆ น่าจะคุยกันทั้งในระดับประเทศที่ได้รับผลกระทบ ในระดับภูมิภาคของเราว่าจริงๆ เราจะขายเท่าราคาเดิมไม่ได้ ต้องบวกราคาขึ้นมา ซึ่งถ้าบวกได้ 19% แปลว่าขายได้เท่าเดิม แต่ก็คิดว่าเป็นไปไม่ได้  ดังนั้นเราก็ต้องให้ทุกคนหาทางออก 


ตัวอย่างภาครัฐลดภาระให้เอกชน 10% ส่วน 9% ก็เจรจาให้ผู้นำเข้าของสหรัฐรับไป พอรับไป 9% เขาก็ต้องไปผลักภาระให้กับประชาชนสหรัฐต้องรับ 9% นี้ไป เป็นการผลักดันไปกระทบประชาชนชาติสหรัฐเอง พอกระทบเขาก็จะร้องเรียนมาทางการเมืองของเขาว่า นี่ต้องจ่ายค่าของเพิ่มขึ้น ค่าครองชีพเพิ่มขึ้น ประชาชนก็เดือดร้อน ก็อาจจะทำให้สหรัฐปรับการเก็บภาษีลงมากลับสู่สภาพเดิม  และถ้าเกิดการเมืองในสหรัฐเปลี่ยน พรรคเดโมแครตชนะหรือมีการเปลี่ยนแปลงในการเลือกตั้งครั้งหน้าสหรัฐก็อาจจะยกเลิกภาษีตอบโต้การนำเข้านี้ได้เพราะประชาชนเขาเดือดร้อน ... อันนี้ผมคิดว่าต้องทำให้กระทบไปจนถึงประชาชนชาวอเมริกันเหมือนกันซึ่งจะทำให้เราสามารถแข่งขันได้ 


ส่วนอีกแนวทางที่ผมจะฝากรัฐบาลในช่วงนี้คือ รัฐบาลเราควรจะมีการกระตุ้นเศรษฐกิจก็ดี หรือช่วยเหลือภาคธุรกิจ SME ก็ดีให้เขามรสภาพคล่อง  อย่างเช่น SME ไปขายของให้ห้างสรรพสินค้ารายใหญ่ๆ หรือ 7-11 หรือใครก็แล้วแต่ที่เป็นผู้ซื้อจากการผลิตของ SME ไปขาย เขาจะมีระยะเวลาการชำระเงิน หรือ Credit Term ปัจจุบันก็อาจจะ 3 เดือน 6 เดือนกว่าธุรกิจจะได้ตังค์ ดังนั้นแปลว่า SME รายย่อยต้องเป็นคน Subsidize จ่ายดอกเบี้ยให้กับธุรกิจขนาดใหญ่ ธุรกิจขนาดใหญ่เอาของไปขาย ขายได้แล้วมาจ่ายเงินให้กับ SME รายย่อย ดังนั้น จริงๆ ทำยังไงจะช่วยลดดอกเบี้ยของผู้ประกอบการรายย่อยหรือ SME ได้ และทำให้เขามีเงินมาหมุน  เช่น ผมเอาสินค้าไปขายให้กับห้างสรรพสินค้า 10 ล้าน กว่าเขาจะจ่ายเงินมาให้ผมอาจจะ Credit Term 3 เดือน 6 เดือน 


วิธีการคือ รัฐให้ซอฟต์โลนกับแบงก์พาณิชย์ ให้แบงก์พาณิชย์ไปออกสินเชื่อ คิดดอกเบี้ยกับห้าง เช่นเซ็นทรัลในอัตรา 0% โดยให้เซ็นทรัลเอาเงินอันนั้นมาจ่ายให้กับคู่ค้ารายย่อยก่อน ไม่ต้องรอ 3 เดือน 6 เดือน รายย่อนก็จะเกิดสภาพคล่อง 

เห็นไหมว่าซอฟต์โลนตัวนี้ทำให้แบงก์กล้าช่วย กล้าปล่อยกู้เพราะเขาปล่อยให้กับกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่อย่างเซ็นทรัล  เซ็นทรัลก็ไม่เป็น NPL เพราะเดี๋ยวพอครบ 3 เดือน 6 เดือนก็มาคืนโดยไม่เสียดอกเบี้ย ส่วนธุรกิจรายย่อยก็ได้เงินสดไปหมุนเวียนโดยที่ไม่ต้องไปกู้กับแบงก์พาณิชย์ ซึ่งเอาจริงๆ แบงก์พาณิชย์ก็ไม่ให้กู้รายย่อยด้วยเพราะกลัวเสี่ยง กลัวเป็น NPL แต่ความจริงเงินนี้เป็นเงินของรายย่อยอยู่แล้ว เพราะเขาผลิตสินค้าจนเสร็จแล้วก็ไปส่งของขาย แต่แทนที่จะได้เงินค่าสินค้าก็ไม่ได้ ต้องรอ 3 เดือน 6 เดือน ...ถ้าทำอย่างนี้เขาก็ได้เงินของเขาเลย  


แต่ทำแบบนี้รัฐต้องอธิบายให้ชัดว่า ไม่ได้ทำเพื่อเอื้อประโยชน์รายใหญ่ แต่เราเอื้อประโยชน์รายย่อย แต่เงินต้องไปผ่านรายใหญ่ เพราะแบงก์มองธุรกิจรายใหญ่เขาไม่เสี่ยง แบงก์ก็กล้าปล่อย แล้วรัฐช่วยแค่ 2% ต่อปี สมมุติซอฟต์โลน 1 ล้านล้านบาท ดอกเบี้ยก็แค่ 20,000 ล้านต่อปีที่ช่วยดอกเบี้ยซอฟต์โลน แทนที่จะไปแจก Digital Wallet 500,000 ล้าน ผมขอแค่ 20,000 ล้านเองแล้วผมสามารถช่วย SME ได้ 1 ล้านล้านบาท ...แบบนี้เป็นการแก้หนี้เสริมสภาพคล่องโดยที่ใช้เงินน้อย แล้วก็ใช้นโยบายการเงินการคลังเข้ามาช่วยเสริม 

 

ที่ผมพูดมานี้คือ การปลดล็อคโดยรัฐไม่ต้องออกเงินมากเลย 


ผลักดันแบงก์ปล่อยกู้รายย่อย

รัฐควรลดขั้นตอน Red Tape

พร้อมเสริมทักษะ AI มากขึ้น


สำหรับที่มีการกลัวกันไปว่า รัฐจะไปก่อหนี้เพิ่ม ซึ่งจริงๆ แทบจะนิดเดียวเองที่เราช่วย และอีกอย่างถ้าเราจะดูแลภาคธุรกิจทุกๆ กลุ่ม ปัจจุบันนี้จะเห็นว่าแบงก์กลัว NPL เขาก็ไม่กล้าปล่อยรายย่อย ไม่กล้าปล่อย SME ไม่กล้าปล่อยภาคประชาชน เขาไม่ปล่อยธุรกิจขนาดใหญ่ซึ่งได้ดอกเบี้ยน้อย ซึ่งเราควรจะ “กำหนดสัดส่วน” ว่าถ้าแบงก์คุณอยากเป็นแบงก์พาณิชย์ก็ต้องปล่อยสินเชื่อให้กับบุคคลธรรมดา 33% ปล่อยให้ SME 33% รายใหญ่ 33% คือกระจายเงินที่รับฝากจากประชาชนมานำไปปล่อยกู้กระตุ้นเศรษฐกิจในทุกภาคส่วน(ไม่ใช่เอาไปฝากแบงก์ชาติได้กินส่วนต่างดอกเบี้ยสบายๆอย่างที่กล่าวข้างต้น ) ... อันนี้ก็จะทำให้แบงก์พาณิชย์ต้องปล่อยสินเชื่อ เพราะเป็นกฎกติกามารยาท ถ้าแบงก์ชาติและกระทรวงการคลังขอความช่วยเหลือจากแบงก์ว่าคุณช่วยกระจายสินเชื่อให้ได้ทุกกลุ่ม 


ในอดีตผมเป็นแบงเกอร์มา 30-40 ปี  เขามีเกณฑ์ว่าถ้าแบงก์พาณิชย์จะเปิดสาขาในกรุงเทพ 1 สาขา แบงก์ชาติจะบังคับให้ไปเปิดสาขาที่ต่างจังหวัด 1 สาขาด้วย  เพื่อที่จะบอกว่าต้องไปทำให้ต่างจังหวัดเจริญด้วย ดังนั้นด้วยความที่แบงก์พาณิชย์อยากเปิดสาขาในกรุงเทพ ก็เลยต้องไปเปิดที่ต่างจังหวัดด้วย ทำให้เศรษฐกิจกระจายตัวไปต่างจังหวัด ทำให้ทั่วประเทศมีสาขาแบงก์พาณิชย์กระจายอยู่ทั่ว เป็นนโยบายที่ทำให้มีการกระจายตัวในการซัพพอร์ตภาคประชาชนและภาคธุรกิจอย่างกว้างขวาง 


ส่วนภาครัฐก็จำเป็นจะต้องช่วยตัวเองเหมือนกัน ปัจจุบันรัฐใช้งบประมาณค่อนข้างเยอะ แต่การบริหารจัดการของภาครัฐยังไม่เคยมีการเปลี่ยนแปลง อย่างเช่นภาครัฐเป็น E-Government มีการใช้ AI มากขึ้น มีการลดข้าราชการ จริงๆ เราเลิกจ้างเขาไม่ได้เพราะเป็นข้าราชการ เราก็ให้เขาทำงานในการช่วยเหลือประชาชนได้ เหมือนประเทศจีนที่ข้าราชการจะออกมาช่วยทำให้ทุกหมู่บ้านมีรายได้ เพราะมีคนที่มีความรู้ไปให้ความรู้แก่ประชาชน อันนี้สามารถทำได้  แล้วก็ต้องมีการลดค่าใช้จ่ายภาครัฐด้วย 


ผมได้เข้าประชุมในหลายบริษัทที่ผมเป็นที่ปรึกษา ซึ่งเราจะเห็นกันว่าเวียดนามตอนนี้เก่งมาก เขามีการลดจำนวนจังหวัดที่มีอยู่ 63 จังหวัดในอดีต ตอนนี้ลดเหลือ 34 จังหวัด ขณะที่ของเรามีแต่เพิ่มขึ้น การลดจังหวัดเขาทำยังไง..เมื่อรวมจังหวัดก็คือรวมศูนย์ในการบริหาร รวมกลุ่มข้าราชการที่ต้องมี 5 จังหวัดเหลือ 1 จังหวัด ก็ลดข้าราชการลงได้ 3-4 เท่า  แต่ถ้าเราจะทำเราอาจจะค่อยๆ ทำ  เราก็จะสามารถลดค่าใช้จ่ายได้ แล้วก็ลดขั้นตอนต่างๆ ลง 


อีกเรื่องหนึ่งที่รัฐจะช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรมได้ คือทุกวันนี้ “รัฐเขียนกฎกติกามารยาท” เยอะแยะเลย เวลาจะทำอะไรต้องขออนุญาตเยอะแยะกว่าจะได้ใบอนุญาตสักใบ ปัจจุบันเวียดนามเขามีขั้นตอนที่ลดลง ลดกระทรวง แล้วก็สามารถที่จะขอใบอนุญาตต่างๆ ได้เร็วขึ้น แล้วก็ช่วยเหลือกระตุ้นเศรษฐกิจเขาได้ มีโอกาสในการส่งออกมากขึ้น  ลองคิดดูว่าเขาส่งออกไปสหรัฐมากกว่าไทยเรา 3-4 เท่า ทำให้เราต้องปรับตัวนิดนึง อันนี้เป็นจุดอ่อนของประเทศไทย จุดอ่อนอีกอย่างที่เราได้ยินมาว่าประชาชนเราเรียนรู้ในการใช้ AI ไม่ถึง 10% ขณะที่บางประเทศเขาใช้ถึง 60-70% อันนี้ผมคิดว่าส่วนหนึ่งเราต้องสอนให้ประชาชนเราฉลาดขึ้น พ่อค้าแม่ค้าหรือ SME เราต้องฉลาดขึ้นโดยการใช้ข้อมูลที่มากขึ้น ซึ่งปัจจุบันนี้มีการใช้เรื่องของ ChatGPT หรือ DeepSeek ของจีนก็ประหยัดค่าใช้จ่ายได้มาก 


ในสมัยที่ผมอยู่ธนาคารออมสินผมสร้างโปรเจกต์ขึ้นมาอันหนึ่ง ผมเรียกว่า “มหาวิทยาลัยประชาชน” ผมให้ประชาชนไปเรียนอาชีพเสริมที่มหาวิทยาลัยต่างๆ ปีหนึ่งประมาณ 2-3 หมื่นคน เท่าที่งบผมมี โดย 1 คนอาจจะใช้งบประมาณสัก 1,000-2,000 บาท ผมใช้ปีละ 40-50 ล้านบาทในการช่วยเหลือสังคมในการสอนชาวบ้าน สอนพ่อค้าแม่ค้า เศรษฐกิจฐานราก ให้มีความรู้เพิ่มขึ้น  มาตอนนี้ผมอยากให้เขาสอนเรื่อง AI สอนการใช้คอมพิวเตอร์เพราะทุกคนมีโทรศัพท์มือถือ อยากรู้ปัญหาอะไรก็ถาม AI ถาม ChatGPT เขาก็ตอบให้หมด ช่วยทำให้ประชาชนเราฉลาดขึ้น  ค้าขายได้ทันโลกทันเหตุการณ์มากขึ้น 

อันนี้ผมคิดว่ามีหลายๆ อย่างที่จำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขโดยรัฐบาล นโยบายของรัฐหรือคนของภาครัฐที่เหลือลงมาช่วยประชาชน ลงมาช่วย SME ลงมาช่วยภาคธุรกิจได้


แนวทาง "3 สร้าง"

สร้างอาชีพ สร้างตลาด 

สร้างการเข้าถึงแหล่งเงิน


ผมคิดว่า ปัญหาเศรษฐกิจปัจจุบันนี้ต้องได้รับการแก้ไขจากทุกภาคส่วน สิ่งที่ธนาคารออมสินเคยมีโครงการดีๆ หลายอย่างแล้วก็เป็นแนวทางเดียวกับที่ประเทศจีนใช้ คือทำยังไงให้เศรษฐกิจฐานรากแข็งแรง 

 

เราต้องมีแนวทางเรียกว่า “3 สร้าง” อันแรกเรียกว่า “สร้างงาน สร้างอาชีพ” เราต้องหาอาชีพใหม่ๆ ให้กับประชาชน ไม่ได้พึ่งเพียงอาชีพเดียว อย่างเช่น เกษตรกร ปลูกข้าวก็รอข้าวโตแล้วเก็บเกี่ยวข้าว ปลูกอ้อยก็นอนเล่นรอให้อ้อยโต อันนี้ทำให้เรามีรายได้ทางเดียว  เราจำเป็นจะต้องทำให้คนมีความรู้เพิ่มขึ้น สอนให้มีความรู้ อย่างที่บอกว่าสอนเรื่อง AI  จริงๆ สอนให้เขามีอาชีพเสริม อยากจะทำอาหาร ทำกับข้าว ครัวไทยสู่ครัวโลกอะไรต่างๆ สามารถสอนให้เขามีความรู้ สอนให้เขาซ่อมแซมรถมอเตอร์ไซค์ จักรยาน สอนให้เขาซ่อมแซมคอมพิวเตอร์/โทรศัพท์มือถือ ทำให้เขามีรายได้เสริมขึ้นมา 


จากนั้นเมื่อเราสร้างงานแล้วเราต้อง “สร้างตลาด” ด้วย ตลาดแบ่งเป็น 2 ส่วน ตลาดที่เป็นออนไลน์ ปัจจุบันนี้จะเห็นว่าตลาดออนไลน์อยู่ในมือของต่างชาติหมด ไม่ว่าจะเป็น Lazada, Shopee, Line, Grab ไม่มีแอปไทยที่จะไปสู้ได้  จริงๆ รัฐใช้ทุนอีกนิดเดียวในการพัฒนาแอปของรัฐ  แล้วก็ให้ประชาชนเอาสินค้าขึ้นไปวางบนเชลฟ์ก็สามารถขายสินค้าได้กว้างขวางขึ้น  แม้แต่ส่งออกก็ยังได้เพราะออนไลน์นี้ไปได้ทั่วโลก  ...ผมเคยทำให้คนขายขาหมู เป็น Exporter เขาทำขาหมูอร่อยแต่ถ้าขายวันละ 10-20 ขา ก็ต้มขายได้ แต่ถ้าลูกค้าอยากจะซื้อสัก 1,000 ขา 10,000 ขา จะทำไหวไหมเพราะขาหมูคุณอร่อย เราก็ไปติดต่อกับบริษัทที่ขายหมูรายใหญ่ เราติดต่อกับเบทาโกรมาช่วย  ทีนี้คนขายขาหมูเขาสามารถจะทำขาหมูแล้วก็แพ็กทำเป็นสุญญากาศเพื่อส่งให้ลูกค้ารายใหญ่ได้  หรือกลุ่ม CP ก็ช่วยได้โดยเข้าไปช่วยชาวบ้านแล้วก็ส่งออกสินค้าที่เป็นโอทอป สินค้าที่เป็นอาหารที่เป็นครัวไทยสู่ครัวโลก เป็นอาหารไทยที่อร่อยมากๆ ก็สามารถทำให้คนขายขาหมูเป็น Exporter ได้ไปในตัวเพราะเราหาตลาดให้เขาได้  แต่ตลาดปัจจุบันตลาดออฟไลน์ก็ควรจะมีตลาดทั่วๆ ไปมีสินค้าผัก ปลา อาหาร ไปตั้งขายได้ สำหรับคนที่ยังไปไม่ถึงตลาดออนไลน์  

 

ดังนั้นรัฐมีหน้าที่ในการสร้างตลาดออนไลน์และออฟไลน์ให้เขา 


อันสุดท้ายที่ต้องสร้างคือ “สร้างการเข้าถึงแหล่งเงิน” ต้องให้คนเข้าถึงแหล่งเงินได้ง่ายๆ สามารถกู้ได้ ปัจจุบันนี้ยอมรับว่ากู้ยากมาก  ผมแนะนำคนที่ต้องการกู้เงินไปกู้กับแบงก์หลายแบงก์ ปรากฏว่าแบงก์พิจารณาเยอะมากเลย ขอเอกสารเยอะมาก ขนาดว่ามีหลักประกันคุ้มมากก็ยังไม่ปล่อยกู้ให้  อย่างที่ผมบอกตั้งแต่ตอนต้นว่าแบงก์ตั้งแง่ว่าปล่อยกู้ไปก็มีความเสี่ยง  เอาเงินไปฝากแบงก์ชาติดีกว่าไม่มีความเสี่ยง ดังนั้นถ้าเป็นไปได้ผมอยากให้แบงก์ชาติจ่ายดอกเบี้ยให้กับแบงก์พาณิชย์เท่ากับต้นทุนของแบงก์  แบงก์จะได้ไม่ทำกำไรกับทางแบงก์ชาติ 


ในอดีตถ้าเคยจำได้ปี 2540 ผมยังอยู่แบงก์กสิกรไทย ปรากฏว่าตอนนั้นลดค่าเงินบาทจาก 25 ไปเป็น 50 บาท ช่วงนั้นพวกแบงก์ต่างๆ มีกำไรจาก Exchange เพราะถือเงินดอลลาร์ไว้เยอะ ถือจาก 25 บาทกลายเป็น 50 บาท แบงก์ชาติยังออกมาดูแลบอกว่าคุณกำไรจากตัวนี้ไม่ได้ คุณต้องเอาเงินมาคืนแบงก์ชาติ แบงก์พาณิชย์ก็เอาไปคืนหมด ....อันนี้ก็เหมือนกัน คือแบงก์พาณิชย์ก็ไม่ควรฝากเงินเพื่อได้กำไรจากแบงก์ชาติ เราให้เขาเอาเงินไปปล่อยสินเชื่อดีกว่า ส่วนรัฐจะไปช่วยในการประกันสินเชื่ออะไรต่างๆ ก็สามารถช่วยได้


แก้วิกฤตเศรษฐกิจ-การเงิน

ต้อง 3 ประสาน 

คลัง/แบงก์ชาติ/แบงก์พาณิชย์


เวลานี้เรากำลังจะมี ผู้ว่าแบงก์ชาติคนใหม่ จะเข้าไปทำงานเดือนตุลาคม ซึ่งมีกระแสมองไปอีกมุมหนึ่งว่าเดี๋ยวผู้ว่าแบงก์ชาติคนใหม่มาจะลดดอกเบี้ยจะทำให้เศรษฐกิจปั่นป่วน ... จริงๆ แล้วคนพูดส่วนใหญ่เป็นแบงก์พาณิชย์... แต่ส่วนใหญ่คนก็อยากให้ลดดอกเบี้ยกัน  ผมคิดว่าอยากให้แบงก์ชาติกับกระทรวงการคลังจับมือกันแล้วก็คุยกันอย่างใกล้ชิด รู้ถึงปัญหาอย่างถ่องแท้ แล้วก็ช่วยกันแก้ปัญหา  แบงก์ชาติมี KPI 2 ตัว คือเงินเฟ้อกับเสถียรภาพของเงินบาท  คือถ้าลดดอกเบี้ยเงินก็จะเฟ้อ ดังนั้นหลายปีที่ผ่านมาแบงก์ชาติก็กังวลในการที่จะลดดอกเบี้ย แต่ปัจจุบันเงินไม่ได้เฟ้อเพราะไม่มีเงินจะใช้กันแล้ว ดังนั้นควรจะมีการลดดอกเบี้ยเงินเฟ้อก็ยังอยู่ในอัตราที่ต่ำ  กรอบเงินเฟ้อหรือ Inflation Target ของแบงก์ชาติอยู่ที่ 2-3%  แต่ตอนนี้เงินเฟ้อไทยยังไม่ถึง 1% หรือบางเดือนติดลบด้วยซ้ำ  แปลว่าเรายังสามารถดูแลด้านอัตราดอกเบี้ยให้ลงมาได้อยู่ระดับหนึ่ง 


แล้วด้านเสถียรภาพของแบงก์พาณิชย์ที่เป็นอีกด้านหนึ่งที่แบงก์ชาติคอยดูแล  ปรากฎว่าแบงก์พาณิชย์วันนี้กำไรมากมายมหาศาล ปีหนึ่งบางแบงก์กำไร 50,000 กว่าล้านบาท บางแบงก์ 40,000 กว่าล้าน บาท รวมๆ กันทั้งระบบแบงก์พาณิชย์มีกำไรมากถึง 2-3 แสนล้านต่อปี  ซึ่งแบงก์สามารถลดดอกเบี้ยเงินกู้ให้ประชาชนได้  แบงก์ชาติก็ต้องไปควบคุมว่า Spread คือส่วนต่างดอกเบี้ยเงินกู้กับดอกเบี้ยเงินฝากห่างแค่ไหน ทำไมกำไรถึงเยอะ  แล้วคุณเอากำไรจากส่วนไหนมาขณะที่คุณก็ไม่ค่อยปล่อยสินเชื่อเลย  แบงก์ชาติก็ควรดูแลแบงก์ต่างๆ ใกล้ชิดมากขึ้นสำหรับทำให้กำไรอย่างเหมาะสม  

 

ผมเข้าใจแบงก์ชาติดีว่าแบงก์ชาติต้องการควบคุมแบบการค้าเสรี ไม่อยากแทรกแซง ดังนั้นจึงควรเป็นการพูดคุยด้วยเหตุด้วยผลทั้ง 3 ปาร์ตี้ คือ รัฐ โดยกระทรวงการคลัง แบงก์ชาติ และ แบงก์พาณิชย์ ที่จะต้องร่วมมือกัน  ผมถือว่าแบงก์พาณิชย์เป็นกระดูกสันหลังของเศรษฐกิจไทย  ถ้าแบงก์พาณิชย์ไม่ปล่อยสินเชื่อ ไม่ต้องพุดถึงแบงก์รัฐเขาอยากจะปล่อยกู้อยู่แล้ว เขาอยากจะช่วย แต่เขาก็มีลิมิต เพราะแบงก์รัฐไม่ได้ใหญ่โตเท่าแบงก์พาณิชย์รวมๆ กัน แบงก์รัฐเป็นเพียงชี้นำแล้วก็ปล่อยตามนโยบายซึ่งก็ต้องดูแลให้ไม่เสียหายด้วย 


ผมเชื่อว่าแบงก์รัฐปัจจุบัน ด้วยกฎกติกามารยาทปัจจุบัน รัฐธรรมนูญปัจจุบัน ทำให้ภาครัฐไม่สามารถจะมาสั่งแบงก์รัฐได้เหมือนในอดีต  เราก็คุมความเสี่ยงได้ แบงก์พาณิชย์ แบงก์รัฐก็ควบคุมความเสี่ยงได้ พวกนี้สามารถที่จะทำให้เราคุยกันได้มากขึ้น บางครั้งถ้าอยู่ในสโคปที่แบงก์ชาติดูแล คืออย่างที่ผมบอกมี 2 ตัว ถ้าจะไม่ให้เงินเฟ้อฉันก็กดดอกเบี้ยไว้  มีเงินเหลือเยอะฉันก็ดูดซับสภาพคล่องเข้ามาในระบบ ดังนั้นผมคิดว่านโยบายสายกลางจะช่วยได้ แล้วยอมผ่อนปรน ซึ่งผมก็ขอชมเชยแบงก์ชาติในอดีตที่สมัยก่อนผมอยู่ออมสิน จำได้ไหมตอนโควิด ห้างร้านปิดหมดเป็นปีๆ คำถามคืออย่างนี้ใครจะมีรายได้ ตอนนั้นแบงก์ออมสินออกมาเป็นแบงก์แรกที่ออกมาช่วย  ผมกล้าพูดได้ว่าออมสินช่วยเหลือเศรษฐกิจในยุคของโควิดไว้มาก ไม่อย่างนั้นจะล่มสลายยิ่งกว่าปี 2540 หรือต้มยำกุ้งอีก ต้มยำกุ้งยังเป็นแค่ปัญหาของธุรกิจขนาดใหญ่ แต่โควิดนี้ทุกอุตสาหกรรมลงไปจนถึงรายย่อย ประชาชนทั่วไปกระทบหมด ไม่มีใครมีรายได้แล้วจะเอาเงินที่ไหนมาจ่ายแบงก์  แบงก์ออมสินเริ่มบอกเลยว่าเราให้ “หยุดพักชำระหนี้” โดยที่ไม่ต้องผ่อนชำระเลย 3 เดือน แล้วก็ขยายเป็น 6 เดือน เป็นปี เป็น 2 ปี 


แต่เชื่อไหมแบงก์ออมสินมีสินเชื่ออยู่ประมาณ 2 ล้านล้านบาท มีรายรับดอกเบี้ยรับประมาณปีละแสนกว่าล้านบาท ถ้าเราหยุดพักชำระหนี้ 3 เดือนเท่ากับเงินเราจะหายไป 3-4 หมื่นล้านบาท ช่วงนั้นผมได้คุยกับแบงก์ชาติว่าทำไมแบงก์พาณิชย์ไม่ทำตาม เพราะอะไรก็เพราะถ้าเขาให้ลูกหนี้หยุดชำระหนี้รายได้แบงก์จะหายไป ตอนนั้นแบงก์ชาติก็เข้าใจเป็นอย่างดี ก็ให้แบงก์ทุกแบงก์ช่วยหยุดพักชำระหนี้โดยให้รับรู้ดอกเบี้ยได้ ดังนั้นผลประกอบการของแบงก์ก็ไม่เสีย เขาก็กล้าช่วย ตอนนั้นทำให้ทุกแบงก์พักชำระหนี้ 1-2 ปี แล้วพอหลังจากนั้นหมดจากโควิดแล้วจะค่อยๆ Soft Landing ลงมา  คือใครไปไม่ไหวก็ต้องเจ๊งไป ก็ต้องเป็น NPL ไป บางคนไหวกลับมาเป็นภาวะปกติเขาก็กลับมาผ่อนแบบเดิม  เศรษฐกิจก็เดินมาจนถึงวันนี้ได้ 

วันนี้เราต้องเข้าใจว่าต้องผ่อนปรน ยืดหนี้ไป ไม่ได้มีใครเสีย แบงก์ก็ยังได้ดอกเบี้ยอยู่ ไม่ต้องไปหาลูกค้าใหม่ด้วย


นโยบายการเงิน-การคลัง

ต้องเดินควบคู่กัน


การจัดการเศรษฐกิจในวันนี้ไม่ได้ขึ้นกับกระทรวงการคลัง หรือแบงก์ชาติที่เดียว ผมคิดว่าต้องใช้ทั้งนโยบายการเงินและการคลังควบคู่กันไป วันนี้เราใช้การคลังจนเงินหนี้สาธารณะขึ้นไป 60-70% แล้ว ดังนั้น เราจะไปกู้มาเพิ่มมาลงทุนอีกไปไม่ได้แล้ว เราจึงจำเป็นจะต้องใช้นโยบายการเงิน  ซึ่งนโยบายการเงินก็ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้เงินอะไรมากมาย  แค่ทำอย่างไรให้คนที่มีสตางค์คือเอกชนหรือว่าประชาชนที่มีรายได้สูงเขาจับจ่ายจ่ายใช้สอย จริงๆ นโยบายของรัฐบาลบางทีคิดเล็กคิดน้อย อย่างเช่นแจกเงิน 10,000 บาท คนอย่างผมนี้ไม่ได้ทั้งๆ ที่ผมเสียภาษีให้รัฐปีหนึ่งประมาณ 3-5 ล้านบาท แต่ผมไม่ได้ 10,000 บาท สมมุติว่ารัฐให้ผม 10,000 บาทโดยมีเงื่อนไขบอกว่า ฉันจะเอาเงินใส่ให้เธอ 10,000 บาท แต่เธอจะต้องเอาเงินมาใส่ 90,000 บาทกลายเป็น 100,000 บาท ผมก็เอา 100,000 บาทนี้ไปใช้  รัฐช่วยแค่ 1 ล้านคนพอ แต่รัฐใส่แค่ 10,000 บาท ก็แค่ 10,000 ล้าน  แต่รัฐจะได้เงิน 100,000 ล้านเพราะ 1 ล้านคน เราใส่ไปเพิ่มเป็น 10,000 บาท เอกชนบุคคลธรรมดาที่มีสตางค์ใส่ไป 90,000 ก็ได้เป็น 100,000 บาท ล้านคนก็ได้ 100,000 ล้านบาทเอามาหมุนเวียนในระบบแล้ว อย่างนี้รัฐใช้เงินนิดเดียวแต่กระตุ้นได้ ต้องกระตุ้นกับคนที่มีสตางค์ให้จับจ่ายใช้สอยในประเทศ ทำให้เศรษฐกิจหมุนเวียน  อย่างโครงการ เที่ยวคนละครึ่ง ที่ออกมากระตุ้นการท่องเที่ยว ปรากฏว่าคนอยากไปเที่ยวแต่ไม่มีเงินไปเที่ยวแม้จะจ่ายค่าโรงแรมครึ่งเดียวเพราะยังต้องเก็บไว้ใช้จ่ายรายเดือนหรือค่าเทอมให้ลูก  ต้องกระตุ้นให้คนมีเงินมาจับจ่ายใช้สอย

 
 
 

Comments


bottom of page