top of page
40_ดอกเบี้ยออนไลน์-603-x-230.jpg
image.png

นิตยสารดอกเบี้ย ฉบับที่ 529 : 'วิทัย' ผู้นำการเงินที่เมืองไทยต้องการ Banker 4 สมัยซ้อน การันตีคุณภาพ


ree

เผยที่นี่ที่เดียว! หลายเรื่องที่คนไม่เคยรู้ หลัง ครม.ตัดสิน “วิทัย รัตนากร” รับเก้าอี้ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติคนใหม่ เหตุแสดงวิสัยทัศน์เฉียบคม มีเป้าดำเนินนโยบายการเงิน-นโยบายการคลังสอดคล้องกัน แบงก์ชาติเป็นอิสระแต่ต้องไม่โดดเดี่ยว ยันคุณสมบัติเพียบพร้อม เป็นคนไม่ฝักใฝ่การเมือง ผ่านร้อนผ่านหนาวกับหลายองค์กรจนสั่งสมประสบการณ์เป็นสุดยอดนักบริหาร ส่งผลให้ได้รับรางวัล Banker of the Year 4 ปีซ้อนจากสื่อค่ายดอกเบี้ย

        

ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2568 มีมติเห็นชอบตามที่ นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเสนอให้ นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน ซึ่งผ่านการคัดเลือกจากคณะกรรมการคัดเลือกผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้รับตำแหน่ง ผู้ว่าการ ธปท. ต่อจาก ดร.เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการ ธปท.คนปัจจุบัน ที่จะครบวาระในวันที่ 30 กันยายน 2568 โดยให้นายวิทัยเข้ารับตำแหน่งต่อทันทีตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป โดยจะมีการนำรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งอย่างเป็นทางการต่อไป

           

แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า การที่ นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯ และรมว.คลัง ตัดสินใจส่งรายชื่อ นายวิทัย รัตนากร ให้ ครม.พิจารณาเห็นชอบ จากที่มีผู้ผ่านการคัดเลือกจากคณะกรรมการคัดเลือกฯ 2 ราย คือ นายวิทัย รัตนากร และ ดร.รุ่ง โปษยานนท์ มัลลิกะมาส รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธปท. เนื่องจากนายวิทัยได้แสดงวิสัยทัศน์ที่เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน โดยมีแนวคิดพัฒนาและปรับปรุงแนวนโยบายการเงินของ ธปท.ที่มุ่งเน้นรักษาเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจเป็นหลัก มีการกำหนดเป้าหมายเงินเฟ้อ (Inflation Targeting) และใช้ดอกเบี้ยนโยบายเป็นเครื่องมือในการจัดการ ซึ่งที่ผ่านมาไม่สามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจไทยได้อย่างเป็นรูปธรรม และหากยังใช้นโยบายการเงินในลักษณะเดิมต่อไปอาจยิ่งส่งผลให้เศรษฐกิจตกต่ำลง จึงต้องมีการใช้วิธีการหรือเครื่องมืออื่นในการแก้ปัญหา

           

ขณะเดียวกันแนวนโยบายการกำกับสถาบันการเงินของ ธปท. ก็อาจดำเนินการได้ไม่สมบูรณ์ เนื่องจากในภาวะเศรษฐกิจเติบโตช้า ธนาคารพาณิชย์ภายใต้การกำกับของ ธปท. กลับมีกำไรเพิ่มสูงขึ้นเป็นจำนวนมากจนทำลายสถิติกำไรสูงสุด สวนทางภาวะเศรษฐกิจ และสวนทางกับการที่ภาคธุรกิจและประชาชนมีหนี้ท่วมจนเป็นปัญหาหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูงยากที่จะกระตุ้นการเติบโตของเศรษฐกิจ ทั้งยังมีแนวโน้มเป็นหนี้ผิดนัดชำระ และหนี้เสีย (NPLs) เพิ่มขึ้น ซึ่งนายวิทัยได้แสดงวิสัยทัศน์ที่จะเข้าไปแก้ปัญหาในส่วนนี้ด้วย

           

นอกจากนี้ จากที่หลายฝ่ายมองว่า ธปท.ต้องมีความเป็นอิสระจากภาคการเมือง เพื่อดำเนินนโยบายการเงินด้วยการมองถึงเสถียรภาพของเศรษฐกิจในระยะยาว แต่ที่ผ่านมา ธปท.ดำเนินนโยบายการเงินโดยลำพัง ด้วยการมองดูเพียงข้อมูลตัวเลข ซึ่งเป็นความอิสระที่อยู่บนหอคอยงาช้าง ไม่ได้มองเห็นสภาพความเป็นจริงของเศรษฐกิจ หรือความยากลำบากของประชาชนฐานราก โดย นายวิทัยแสดงวิสัยทัศน์ว่า ธปท.มีความเป็นอิสระได้แต่ต้องไม่โดดเดี่ยว การดำเนินนโยบายการเงินของ ธปท.ต้องรับฟังเสียงและร่วมงานกับทุกภาคส่วนเพื่อเป้าหมายการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะยาว ขณะที่ปัญหาเชิงโครงสร้างทางเศรษฐกิจของไทยไม่สามารถแก้ไขด้วยนโยบายการเงินเพียงด้านเดียว ต้องแก้ไขด้วยนโยบายการเงินและนโยบายการคลังที่สอดคล้องกัน

           

ด้านแหล่งข่าวจากกระทรวงการคลังอีกราย กล่าวว่า กระแสการโจมตีนายวิทัยก่อนการนำเสนอชื่อเข้าสู่การพิจารณาของ ครม. ล้วนเป็นเท็จทั้งสิ้น ตั้งแต่การกล่าวหาว่า นายวิทัยเป็นคนของ นายทักษิณ ชินวัตร ทำให้ได้รับการเสนอชื่อเป็นผู้ว่าการ ธปท. และมีกระทั่งลากไปอยู่ฝั่งตรงข้ามนายทักษิณว่าเป็นพวกต่อต้านกาสิโน การเป็นผู้บริหารธนาคารของรัฐที่สนองนโยบายของรัฐบาลเป็นหลัก เมื่อเข้าไปเป็นผู้ว่าการ ธปท.ก็อาจทำงานสนองนโยบายรัฐบาลเช่นเดิม หรือการกล่าวหาว่าเป็นฝั่งการเมืองที่จะเข้าไปล้วงลูกนำทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศออกมาทำให้เกิดความเสียหาย

           

ทั้งนี้ คนที่รู้จักตัวตนจริงๆ ของนายวิทัยจะทราบว่า นายวิทัยเป็นคนไม่ฝักใฝ่การเมือง โดยเมื่อครั้งเข้ารับการสรรหาเป็นผู้อำนวยการธนาคารออมสิน ฝั่งการเมืองอยู่ในสมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี โดยมี ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เป็นรองนายกฯ และหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ดร.อุตตม สาวนายน เป็น รมว.คลัง ฝั่งการเมืองในขณะนั้นมีตัวเลือกเป็นคนอื่นอยู่แล้วที่จะให้ได้รับตำแหน่งผู้อำนวยการธนาคารออมสิน หากแต่นายวิทัยกลับเป็นผู้ชนะการสรรหา เนื่องจากการนำเสนอวิสัยทัศน์ที่จะสร้างประโยชน์ต่อธนาคารออมสินได้อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งพิสูจน์ได้จากการเข้าไปบริหารธนาคารออมสิน 5 ปี เปลี่ยนแปลงออมสินเป็น “ธนาคารเพื่อสังคม” นำกำไรจากธุรกิจปกติมาช่วยเหลือประชาชนฐานรากให้สามารถเข้าถึงสินเชื่อนำไปประกอบอาชีพดำเนินชีวิตต่อได้ถึง 13 ล้านคน ขณะที่ธนาคารยังมีกำไรนำส่งเงินเข้ารัฐได้ถึง 96,000 ล้านบาท ติดอันดับ 1 ใน 3 ของรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่

           

นอกจากนี้ ได้รับการต่อวาระอีก 4 ปีก็เกิดขึ้นในสมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นช่วงเวลาก่อนที่จะมีการจัดตั้งรัฐบาลที่มี นายเศรษฐา ทวีสิน เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี นอกจากนี้ ในช่วงที่นายเศรษฐาเป็นนายกฯ และ รมว.คลัง ได้ให้ธนาคารออมสินช่วยดำเนินการโครงการ “ดิจิทัล วอลเล็ต” แจกเงินคนละ 1 หมื่นบาท โดยเฉพาะการวางระบบจ่ายเงินที่ต้องเป็นบล็อกเชน ซึ่งนายวิทัยก็ไม่ยอมรับทำให้ เพราะต้องใช้งบของธนาคารลงทุนเป็นจำนวนมาก และไม่รู้ว่าระบบจะถูกใช้ต่อไปอย่างยั่งยืนหรือไม่ จากที่ผ่านมาทั้งหมดจึงไม่มีทางเป็นไปได้ที่นายวิทัยจะเป็นคนทั้งฝั่งของฟากการเมืองเก่าอย่าง พล.อ.ประยุทธ์ หรือคนของ นายทักษิณ ชินวัตร

           

ส่วนเมื่อเข้าดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการธนาคารออมสินได้ระยะหนึ่ง นายวิทัยได้เคยเปิดเผยว่า ตำแหน่งผู้อำนวยการธนาคารออมสินมีอำนาจสูงมาก สามารถสร้างความเสียหายให้กับธนาคารได้ด้วยตัวผู้อำนวยการเพียงคนเดียว ทำให้ในอนาคตหากได้คนไม่ดีมาเป็นผู้อำนวยการธนาคาร อาจทำให้ออมสินเกิดความเสียหาย นายวิทัยจึงร่วมมือกับคณะกรรมการธนาคารแก้ไขกฎระเบียบเพื่อลดอำนาจผู้อำนวยการธนาคารออมสินลงให้อยู่ในระดับที่ไม่อาจสร้างความเสียหายให้กับธนาคาร ซึ่งการแก้ไขกฎระเบียบดังกล่าวเท่ากับลดอำนาจของตัวนายวิทัยเองด้วย จึงสะท้อนถึงจริยธรรม คุณธรรม ความซื่อสัตย์สุจริต และความไม่หลงในอำนาจของนายวิทัยได้เป็นอย่างดี

           

ขณะเดียวกันโครงการต่างๆ ที่ถูกคนภายนอกมองว่าเป็นการดำเนินการสนองนโยบายกระทรวงการคลังหรือรัฐบาล กลับล้วนเป็นโครงการที่นายวิทัยคิดค้นขึ้นเอง เนื่องจากนายวิทัยมีเป้าหมายการเป็น “ธนาคารเพื่อสังคม” ของนายวิทัยก็เพื่อช่วยเหลือผู้คนในระดับฐานรากอยู่แล้ว รวมทั้งสภาพเศรษฐกิจและสภาพการทำมาหาเลี้ยงชีพของคนไทยที่ลำบากมากขึ้น จึงคิดหาทางช่วยเหลือ หากแต่มาตรการและโครงการต่างๆ ต้องยกให้เป็นเครดิตของกระทรวงการคลังหรือรัฐบาล เนื่องจากต้องใช้งบประมาณเข้ามาอุดหนุน แต่แท้จริงเป็นการใช้กำไรของธนาคารออมสินเข้ามาดำเนินการโดยรัฐบาลไม่ได้ใส่เงินเข้าไปจริง เพราะหากไม่ใช้วิธีให้รัฐบาลเข้าอุดหนุนและธนาคารออมสินดำเนินการเองอาจผิดกฎหมาย รวมทั้งการคิดและออกมาตรการต่างๆ ของนายวิทัย ยังเป็นการสร้างเกราะป้องกันตัวเองไม่ให้รัฐบาลกล่าวหาว่าไม่มีผลงาน หาเรื่องโจมตี และหาทางปลดออก

           

ส่วนการกล่าวหาว่าเป็นพวกต่อต้านกาสิโน นายวิทัยไม่เคยแสดงความเห็นหรือมีท่าทีใดๆ ต่อเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย ตลอดจนการเข้าไปล้วงลูกเพื่อเอาทุนสำรองฯ ออกมาใช้ ยิ่งไม่มีทางเป็นไปได้ เนื่องจากนายวิทัยเป็นนักบัญชี นักการเงิน และนักบริหารมืออาชีพ สามารถใช้เครื่องมือที่ ธปท.มีอยู่ และความร่วมมือกับทุกภาคส่วนเพื่อจัดการกับปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ โดยไม่จำเป็นต้องไปแตะทุนสำรองฯ ที่มีความอ่อนไหวทางการเมือง

           

สำหรับประวัติ นายวิทัย รัตนากร ปัจจุบันอายุ 54 ปี มีเบ้าหลอมที่ดีทั้งทางด้านเศรษฐกิจและกฎหมาย จากการเป็นบุตรของ นางสิริลักษณ์ รัตนากร สุภาพสตรีคนแรกที่ได้เป็นกรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) และ นายโสภณ รัตนากร อดีตปลัดกระทรวงยุติธรรม และอดีตประธานศาลฎีกา โดยเป็นนามสกุล “รัตนากร” ที่ไม่ได้เกี่ยวดองเป็นญาติทางใดกับสกุล “รัตนากร” ที่เป็นอดีตนักการเมือง

           

นายวิทัยจบการศึกษาระดับปริญญาตรี คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก่อนข้ามไปจบปริญญาโทเศรษฐศาสตร์การเมือง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ปริญญาโทกฎหมายธุรกิจ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และปริญญาโทการเงิน Drexel University สหรัฐอเมริกา รวมแล้วจบปริญญาโทถึง 3 ใบ

           

ส่วนประวัติการทำงานที่สั่งสมให้นายวิทัยเป็นกลายนักบัญชี นักการเงิน และนักบริหารที่มีฝีมือโดดเด่นเป็นที่ต้องการของหลายๆ หน่วยงาน เริ่มต้นที่บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนนครหลวงไทย (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ภัทร) จากนั้นไปเป็นฝ่ายค้าเงิน (Treasury Department) ของธนาคารกรุงเทพ แล้วไปเป็นฝ่ายบริหารหนี้ของธนาคารเอเชีย ก่อนมาเป็นผู้อำนวยการอาวุโส ทำหน้าที่บริหารกองทุนอสังหาริมทรัพย์ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) อยู่ 3 ปี

           

ออกจาก กบข. นายวิทัยไปเป็น รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP) และถูกทาบทามให้เป็นประธานเจ้าหน้าที่สายการเงิน (CFO) บริษัท สายการบินนกแอร์ (NOK) ที่เข้าไปกอบกู้ “นกแอร์” จนมีกำไร และสามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยได้ในเวลาต่อมา

           

ต่อจากนั้น นายวิทัยเข้าสู่ตำแหน่งรองผู้อำนวยการธนาคารออมสิน กลุ่มลูกค้าธุรกิจและภาครัฐ ด้วยการชักชวนของ ดร.ชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อำนวยการธนาคารออมสินในขณะนั้น ซึ่ง ดร.ชาติชาย ทาบทามให้นายวิทัยเข้าไปช่วยปล่อยสินเชื่อเพื่อคนฐานราก โดยบอกเป้าหมายสินเชื่อเพียง 30,000 ล้านบาท ซึ่งนายวิทัยมองว่าเป็นยอดสินเชื่อไม่มากนัก สามารถทำได้ จึงตอบตกลงเข้าทำงาน หากแต่เมื่อนายวิทัยเข้าไปช่วยงานเป็นรองผู้อำนวยการออมสินแล้ว เป้าหมายสินเชื่อกลับพุ่งขึ้นไปถึง 100,000 ล้านบาท ซึ่งนายวิทัยเคยกล่าวว่า เหมือนโดนดร.ชาติชายหลอกให้เข้าไปช่วยทำงาน เหนื่อยอยู่เหมือนกัน แต่ก็สามารถทำได้ตามเป้าหมาย 100,000 ล้านบาท ขณะที่ต่อมาได้ขยับไปเป็น รองผู้อำนวยการธนาคารออมสิน กลุ่มลงทุนและบริหารการเงิน (Chief Financial Officer : CEO)

           

ในระหว่างเป็น CFO ของธนาคารออมสิน ถูกยืมตัวไปธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ไอแบงก์) ให้เข้าไปบริหารจนไอแบงก์ที่ขาดทุนกลับมามีกำไร และไม่ได้กลับไปธนาคารออมสิน เมื่อได้รับการคัดเลือกให้เป็นเลขาธิการคณะกรรมการ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) โดยได้กลับธนาคารออมสินด้วยการสมัครเข้ารับการคัดเลือกเป็นผู้อำนวยการธนาคารออมสิน ชนะการคัดเลือกและได้เป็นผู้อำนวยการธนาคารออมสินมาตั้งแต่ปี 2563 โดยบริหารธนาคารออมสินแตกต่างจากทุกยุคทุกสมัยที่ผ่านมา ด้วยบทบาทการเป็น “ธนาคารเพื่อสังคม” ที่ช่วยได้ทั้งภาคประชาชนและช่วยเป็นมือเป็นไม้ในการฟื้นฟูเศรษฐกิจให้กับทุกรัฐบาลที่ผ่านมาได้เป็นอย่างดี

           

ขณะที่ด้วยผลงานการบริหารธนาคารออมสินที่โดดเด่น ทำให้ นายวิทัย รัตนากร ได้รับรางวัลเกียรติยศ Banker of the Year หรือนักการธนาคารแห่งปี จาก “เครือดอกเบี้ย” ถึง 4 ปีติดต่อกัน (ปี 2564, 2565, 2566 และ 2567) เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงฝีมือและผลงานของบุคคลที่กำลังจะก้าวเข้ารับตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยคนใหม่ได้เป็นอย่างดี

 
 
 

Comments


bottom of page