กลุ่ม KTIS ผู้นำในอุตสาหกรรมน้ำตาลและอุตสาหกรรมต่อเนื่องครบวงจร แจงปัจจัยที่ทำให้ผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 3 ปี 2563 (เม.ย.-มิ.ย. 63) พลิกมีกำไรสุทธิ 654.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนถึง 706.8% เพราะการควบคุมต้นทุนค่าใช้จ่ายทุกด้าน ทั้งต้นทุนขาย บริหาร และต้นทุนทางการเงิน ชี้ทุกสายธุรกิจมีทิศทางที่ดีขึ้นหลังคลายล็อคดาวน์
นายณัฎฐปัญญ์ ศิริวิริยะกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือกลุ่ม KTIS ผู้นำในอุตสาหกรรมน้ำตาลและอุตสาหกรรมต่อเนื่องครบวงจร เปิดเผยว่า ผลกระทบจากการล็อคดาวน์เพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยเฉพาะในช่วงเดือนมีนาคม - พฤษภาคม 2563 นั้น ส่งผลต่อรายได้ของทุกสายธุรกิจของกลุ่มเคทิส แต่ด้วยการบริหารจัดการต้นทุนค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ จึงทำให้กลุ่มเคทิสสามารถทำกำไรสุทธิในรอบบัญชีไตรมาสที่ 3 ปี 2563 (เม.ย.-มิ.ย. 63) ได้ถึง 654.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 706.8% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีผลขาดทุนสุทธิ 107.9 ล้านบาท
“การล็อคดาวน์ทำให้เกิดการชะงักงันของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ส่งผลให้ราคาน้ำตาลทรายในตลาดโลกช่วงปลายเดือนเมษายน 2563 ลงไปต่ำกว่า 10 เซ็นต์ต่อปอนด์ ซึ่งกระทบต่อรายได้ของสายธุรกิจน้ำตาล นอกจากนั้น ในสายธุรกิจอื่น ทั้งธุรกิจเอทานอล เยื่อกระดาษชานอ้อย และการจำหน่ายไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าชีวมวล ก็มีรายได้ลดลงจากปริมาณการขายและราคาที่ลดลงด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่ฝ่ายบริหารของกลุ่มเคทิสได้ประเมินไว้อยู่แล้ว เราจึงให้ความสำคัญกับการควบคุมต้นทุนค่าใช้จ่ายต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด” นายณัฎฐปัญญ์กล่าว
ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่าต้นทุนขายและให้บริการในไตรมาสที่ 3 ปี 2563 ลดลงถึง 931.3 ล้านบาท เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน โดยลดจาก 3,144.8 ล้านบาท เหลือ 2,213.5 ล้านบาท นอกจากนั้น ในด้านของค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารก็ลดลงถึง 369.4 ล้านบาท หรือลดลง 44.9% จากงวดเดียวกันของปีก่อน โดยส่วนหนึ่งเป็นการลดลงตามปริมาณการขายที่ลดลง และอีกส่วนหนึ่งเกิดจากการวางแผนการใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ
รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่ม KTIS กล่าวถึงทิศทางธุรกิจช่วงที่เหลือของปี 2563 ว่า ราคาน้ำตาลทรายตลาดโลกในปัจจุบันได้เพิ่มสูงขึ้นจากจุดต่ำสุดของปีประมาณ 40% ซึ่งจะทำให้สายธุรกิจน้ำตาลมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้น ส่วนสายธุรกิจเอทานอล ก็กลับสู่ภาวะปกติแล้วในช่วงหลังคลายการล็อคดาวน์ จึงเชื่อว่าภาพรวมทั้งปี 2563 ธุรกิจของ KTIS ยังมีทิศทางที่ดี
“ถึงแม้ว่าผลผลิตอ้อยและน้ำตาลทรายของเราในปีนี้จะลดลงจากปีก่อนจากปัญหาภัยแล้ง แต่ด้วยความร่วมแรงร่วมใจของพนักงานทุกฝ่ายของกลุ่มเคทิส ทั้งฝ่ายไร่ ฝ่ายโรงงาน ฝ่ายสำนักงาน รวมถึงหน่วยงานบริหารจัดการต้นทุนค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่ทำงานอย่างเข้มแข็งและมีคุณภาพ ทำให้เราสามารถสร้างผลกำไรให้เกิดขึ้นได้ในไตรมาสที่ผ่านมา” นายณัฎฐปัญญ์กล่าวทิ้งท้าย
Comments