Interview: คุณสุรพล โอภาสเสถียร
ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร)
ยุคโควิด-19 ระบาด ภาครัฐ-เจ้าหนี้ต้องร่วมมือร่วมใจ ช่วยลูกหนี้ ช่วยชาวบ้านอย่างสุดซอย เพื่อให้มีชีวิตรอดปลอดภัย ให้มีกินมีใช้ก่อน ส่วนเรื่องชำระหนี้ ต้องผ่อนผัน ชะลอหนี้ ลดหนี้ ลดดอก จนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น วิกฤตนี้ต้องอาศัยเรื่องของใจและเมตตาธรรมล้วนๆ พร้อมฝากถึงสหกรณ์ออมทรัพย์ให้ลดการหักเงินหน้าซองของสมาชิกที่กู้สหกรณ์ลง เพื่อช่วยเพิ่มเงินในซองของสมาชิกไปใช้จ่ายในช่วงวิกฤต แจง...พิษโควิด-19 จะกระทุ้งยอดการปรับโครงสร้างหนี้ทะลุหลักล้านล้านบาท โดยปัญหาใหญ่ของการปรับโครงสร้างหนี้คือดอกเบี้ยที่สูงโด่ง ทางแก้หนึ่งคือการลดดอกเบี้ยลงมาเพื่อบรรเทาภาระของลูกหนี้
ปีที่แล้วเศรษฐกิจไม่ค่อยดี ตั้งข้อสังเกตไว้แล้วว่าปีนี้น่าจะมีปัญหา จนมีโควิด-19 ผ่านมา 2 เดือน เริ่มเห็นชัดว่าน่าจะมีปัญหามากขึ้นใช่ไหม
ก่อนโควิด-19 ก็มีผลชัด คือเมื่อสิ้นปีที่แล้วเรามีลูกหนี้ทั้งหมด ทั้งกู้บ้าน บัตรรถ สินเชื่อบุคคล ที่เราเรียกว่าหนี้ครัวเรือนรวม 13 ล้านล้าน มีตัวเลขในเครดิตบูโรประมาณ 12 ล้านล้าน ครอบคลุม 28 ล้านคนที่เป็นลูกหนี้ สิ่งที่ตามมาคือ มกราคม-กุมภาพันธ์ สถานการณ์เริ่มแย่ลงในเชิงสุขภาพจากการแพร่ระบาด
ต้องย้อนกลับไปว่าเมื่อสิ้นปีที่แล้วมีการปรับโครงสร้างหนี้ไปแล้ว ถ้าเป็นนาย ก นาย ข ประมาณ 9 แสนล้าน แต่ถ้าเป็นนิติบุคคล บริษัท ประมาณ 4-5 แสนล้าน อันนี้ปรับไปแล้วรอบนึง แล้วพอเกิดเหตุการณ์ แบงก์ชาติมีการออกมาตรการว่าปี 2563-2564 ให้แบงก์เจ้าหนี้ช่วยปรับโครงสร้างหนี้ลูกหนี้อีก ตอนนั้นเราก็คุยกันว่าน่าจะมีการปรับโครงสร้างหนี้กันเยอะ พอสถานการณ์มาถึงขั้นปิดกิจการทางธุรกิจ คนที่พึ่งรายได้จากการทำงานก็ไม่มีรายได้แต่หนี้ยังมีอยู่ ภาระหนี้ก็มาเยือน ก็มีการออกมาตรการก๊อก 2 ที่เข้มข้นมากขึ้น ช่วยมากขึ้น บัตรเครดิตแต่เดิมใช้ 100 จ่ายขั้นต่ำ 10% ใช้ 10,000 ต้องจ่าย 1,000 ก็บอกว่าใช้ 100 จ่าย 5% ใน 2 ปีนี้ ผลทำให้เงินที่อยู่ในมือคนมีมากขึ้น นอกจากนั้นยังให้อีกว่าถ้าเป็นหนี้บัตรเครดิต จ่ายไม่ไหว ให้แปลงหนี้ คือโยกหนี้จากบัตรเครดิตจากยอด 10,000 บาท ยอด 100,000 บาท เปลี่ยนมาเป็นเงินกู้แล้วหารยาว 36-48 งวด เพื่อให้ดอกเบี้ยลดลง เพราะถ้าอยู่ที่บัตรเครดิตดอกเบี้ย 18 มันแพง เปลี่ยนเป็นเงินกู้ดอกจะถูกลง เพราะเรายังไม่ใช่หนี้เสีย ยังไม่ใช่ NPL พอหารยาวแล้วคนที่ถือบัตรเครดิตจะมีทางเลือกว่าจะผ่อนขั้นต่ำ 5% เลี้ยงงวดไปหรือจะเปลี่ยนเป็นเงินกู้แล้วผ่อนเป็นงวด ทางไหนไหวไปเส้นนั้น
พอบัตรเครดิตจบก็เป็นเช่าซื้อที่ผ่อนเป็นงวด สินเชื่อบุคคลผ่อนเป็นงวด แล้วพอออกมาตรการแรงมาอันนึง คือชะลอการจ่ายต้นและดอก 3 เดือน ภาษาชาวบ้านเรียกแขวนหนี้ คือต้นกับดอกแขวนไว้เลยยังไม่จ่าย 3 เดือนนี้ เมษายน-มิถุนายน เอา 3 เดือนนี้ไปต่อคิวข้างหลัง สมมุติเรามีผ่อนงวดที่ 20 เราก็เอาไปต่อเป็น 23 งวด ทีนี้ 3 งวดที่ไม่จ่ายต้องเข้าใจก่อนหนี้ไม่หายเพียงแต่ยกไปข้างหลัง เสียงเรียกร้องบอกไม่น่าจะไหว แขวนหนี้ก็จริงช่วยลดดอกได้ไหม เพราะไม่อย่างนั้นแขวนหนี้ต้นไม่ ลดดอกก็คิดต่อ แต่ไปคิดตอนปลายเท่านั้นเอง คนก็อยากให้ช่วยให้สุดได้ไหม หนี้อีกแบบสมมุติต้องผ่อนต้นและดอกเป็นค่างวด 10,000 เป็นเงินต้น 7,000 ดอก 3,000 จ่ายแต่ดอก ต้นไม่ต้อง แขวนต้นจ่ายดอกมันก็ดี แต่ก็มีเสียงเรียกร้องให้ลดดอกด้วย ถ้าไม่ลดดอก ต้นไม่ลด ดอกจะติดตัวตอนหลัง เพราะฉะนั้นมาตรการต่อไปของทางการ คือเขาจะลดค่าค้ำประกันเงินฝากให้ ค้ำประกันเงินฝากตอนนี้ 0.46% เขาจะลดลงมาครึ่งนึงเหลือ 0.23 ก็ช่วยลดดอกเบี้ยหน่อย แต่ชาวบ้านอยากให้ลดดอกเบี้ยลงไปอีกเรียกว่าสุดซอย ขยักขย่อนแบบนี้เหมือนช่วยไม่จริง แต่ฝั่งของคนปล่อยกู้เขาก็บอกว่าไม่ไหวเพราะฝั่งเงินฝากเขาก็ต้องจ่ายดอกเบี้ยเงินฝาก เพราะฉะนั้นเงินเข้ามาไม่มี แต่เขายังต้องจ่ายดอกเบี้ยเงินฝากอยู่ มันก็ยันกันตรงนี้ แต่ในที่สุดเชื่อว่าถ้าสถานการณ์มันสุกงอมหรือยังไปต่อได้อีกนิดนึงจะต้องออกมาตรการแรงๆอีก เหมือนฉีดยาแรงขึ้น เพราะเวลานี้ 1. ต้องเอาชีวิตให้รอด 2. ปากท้องต้องมีกินให้ได้ก่อน 3. จากนั้นการชำระหนี้ถึงค่อยเข้ามาคุยกัน
เพราะฉะนั้นเวลาคนที่เป็นลูกหนี้ถ้าเป็นลูกหนี้ที่ไม่เคยผิดนัดชำระมาอาจจะได้รับผลกระทบระดับนึง ถ้ามีเงินออมยังพอไหว แต่ถ้าไม่มีเงินออม รายได้เดือนชนเดือน อันนี้เหนื่อย ลูกหนี้กลุ่มที่ 2 อ่อนแอลงมาอีก คือลูกหนี้ที่มีการค้างชำระแล้ว แต่ยังค้างไม่ถึง 3 เดือน ดี 1 เดือนค้าง 1 เดือน ดี 1 เดือน ค้าง 2 เดือน กำลังเลี้ยงงวด ทีนี้มาตรการทั้งหลายไม่ว่าจะแขวนหนี้ ทางการออกหนังสือมาให้เครดิตบูโรว่าให้ส่งมาที่เครดิตบูโรให้เป็นปกติ มีข้อกฎหมายมีระเบียบรองรับมาแล้วว่าการแขวนหนี้ แขวนต้นจ่ายแต่ดอก หรือผ่อนจ่ายจาก 10% เหลือ 5% ถ้าใครทำได้ถือว่าปกติไม่ถือว่าเป็นการผิดนัด มีหนังสือมาถึงเครดิตบูโรชัดเจน เราก็จะเฝ้าดูข้อมูลเดือนเมษายน-มิถุนายนนี้ อย่าได้ส่งข้อมูลผิดมาเพราะจะเป็นบาปซ้ำเติมผู้คน
สิ่งนึงที่ผมคิดไว้คือเวลานี้เป็นสถานการณ์ผิดปกติ เราเห็นสิงคโปร์งัดเอาเงินก้นถังของประเทศเอามาใช้ จะไปคิดแบบเป็นเรื่องปกติประเภทบวกกันหารสองมันไม่จบ ใจผมรู้สึกว่าตอนนี้เอาหน้าตักมาวางว่าเท่าไหร่ สิ่งที่ผมคิดไว้ คือ ลดมาตรฐานบัญชีตัวนั้นได้ไหม IFRS 9 มาตรฐานบัญชีนี้ที่ออกมาเอาไว้ใช้สำหรับเวลาที่เศรษฐกิจมันร้อนแรง แล้วราคาสินค้า ราคาทรัพย์สินมันเกินไป ถามว่าเศรษฐกิจเราตอนนี้ฟุ้งเฟ้อขนาดนั้นไหม เพราะฉะนั้นมาตรฐานบัญชีที่ไม่รู้จักโรคระบาดจะเพลาๆ มันหน่อยได้ไหม ถ้าเรายึดมาตรฐานบัญชีให้ผ่อนลงมาหน่อยนึง จะมีความยืดหยุ่นของสถาบันการเงินมากขึ้น ไม่อย่างนั้นมันไปยาก เพราะอย่าลืมว่าเราแขวนหนี้ 3 เดือน แล้วเดือนที่ 4 ดูจากวันนี้มันจบง่ายไหม มันเป็นเรื่องโรคระบาด กินยาพาราไม่ได้ วัคซีนไม่มี ผมมองว่ามันต้องใจถึงใจงานนี้วัดใจเลย
ก๊อก 1-3 ยังไม่พอและยังเป็นแค่ชั่วคราว ออกเกณฑ์เลยว่าจะทำยังไง เรื่องมาตรฐานบัญชีก็มาเคลียร์ให้ชัดอะไรที่เข้มตัดออกก่อนได้ไหม
ยกตัวอย่างที่มีข่าวออกมาตั้งแต่เยอรมันสั่งซื้อของจากสหรัฐฯ แล้วบริษัทอเมริกาไปสั่งซื้อจีนที่เป็นผู้ผลิต เครื่องบินส่งของมาจอดพักที่เมืองไทย แล้วรัฐบาลอเมริกาใช้กฎหมายตัวเองบอกว่าของอเมริกาพวกนี้ต้องส่งอเมริกาก่อน ถามว่าอย่างนี้มาตรฐานอะไร เพราะฉะนั้นวันนี้เป็นเรื่องที่เราจะรักษาชีวิตคน ชีวิตทางการเงินของผู้คน วันนี้มันต้องเต็มร้อย ออกมาแบบจิ๊จ๊ะมันไม่ไหว มาตรการอาจจะต้องเข้มข้น แล้วต้องให้ลูกค้ามาถึงที่มาลงทะเบียน แล้วจะมาได้ไหม คือเวลานี้ยามสงครามจะให้ส่งหนังสือจากผอ.มาหาผู้จัดการแล้วส่งไปที่ผอ.มันไม่ไหว ผมอยากให้ตอนนี้กอง 1 กอง 2 เทหน้าตักลงมา ดูการแก้ไขปัญหาตลาดตราสารหนี้อันนี้เทหน้าตัก ว่ากันด้วยตัวเลข ถ้าคิดว่าคุณจะไถ่ถอน ฉันมีเงินให้ไถ่ถอนเท่านี้ เหมือนกันตอนนี้คนเป็นหนี้ คนที่เขาจ่ายหนี้ดีมาตลอดเขาไม่มีหรอกว่าเขาจะไม่จ่ายหนี้ เพราะมาตรการนี้มันชัดเจนแล้วว่าช่วยคนที่ไม่เป็น NPL เมื่อจะช่วยคนที่ไม่เป็น NPL ต้องช่วยให้สุดใจ สุดทาง สุดซอย สมมุติเรามีต้นทุนดอกเบี้ยเท่านี้แล้วเราบอกจะเอาส่วนต่างเท่านี้ แล้วเราจะเอาเท่านี้ได้ไหมเพราะดอกเบี้ยบัตรเครดิต 18 มันไม่ไหว ดอกเบี้ยสินเชื่อส่วนบุคคล 28 จำนำทะเบียน จำนำเล่ม 28% ไหวไหม พูดในฐานะผมมันเป็นอย่างนี้
อีกอันนึงที่ผมมองว่ายังไปไม่ถึงแล้วยังเรียกร้อง คือสหกรณ์ออมทรัพย์ ใครที่ยังมีเงินเดือนอยู่เขาหักหน้าซองได้ นายจ้างที่จ่ายเงินเดือนต้องหักหน้าซองส่งสหกรณ์ แล้วทำไมสหกรณ์ไม่ลด ลดหักหน้าซองลงมา เพราะถ้าคุณหักหน้าซอง เงินในซองจะเหลือน้อย แล้วเงินในซองต้องไปจ่ายบัตรเครดิต จ่ายนู่นจ่ายนี่มันไม่ไหว ผมอยากเห็นคือ สหกรณ์ออมทรัพย์ที่หักหน้าซองเขามาโดยตลอด คุณจะลดครึ่งนึงหรือเท่าไหร่ก็ต้องลดลงมา ถ้าดอกเบี้ยคุณถูกอยู่แล้วคุณหักหน้าซองลดลงมาครึ่งนึง สถาบันการเงินที่ปล่อยกู้คุณลดดอกเบี้ยลงมาเลย ประกาศเลยต้นทุนดอกเบี้ยคุณเท่านี้ คุณขอบวกเท่านี้ แล้วคุณบอกขอลดเท่านี้
คนที่เป็นหนี้ตอนนี้ ในภาวะแบบนี้ไม่จ่ายทั้งต้นและดอกได้ไหม ไม่ต้องรอคำสั่ง
คือตอนนี้อยู่ในสถานการณ์ที่ไม่จ่ายต้นและดอกอยู่แล้ว ต้องเข้าใจก่อนว่าคนบางกลุ่มที่เรากลัวคือพวกตีกิน พวกที่มีกำลังจ่ายแต่ใช้โอกาสไม่จ่าย แต่ขณะนี้อยากให้มองข้ามจุดนี้ไปนิดนึง เพราะคนที่เดือดร้อนมีจำนวนเยอะจริงๆ คนเคยมีรายได้แล้วรายได้มันช็อต หายไป ไม่ได้พูดหาเสียงนะ จำนวนที่ปรับโครงสร้างหนี้ไป 200,000 ล้านแล้วจนถึงวันที่ 27 มีนาคม และจะต้องไปอีก เราประเมินตัวเลขแล้วคิดว่ามันเป็นหลักล้านล้านแน่ไม่ใช่หลักแสนล้าน ถามว่าหนักที่สุดของพวกเขาคืออะไร คือดอกเบี้ย ให้ลดลงหน่อย หัวใจสำคัญที่อยากเรียกร้องคือลดดอกเบี้ย ปัญหาใหญ่คือพวกสถาบันการเงินเขาเป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ อยู่ดีๆหลวงไปสั่งเขาแบบนั้น ผู้ถือหุ้นฟ้องตาย มันทำไม่ได้ วันนี้เป็นเรื่องของใจกับใจ ช่วยกัน ไม่มีอะไรอย่างอื่นแล้วนอกจากเมตตาธรรม
วันนี้ถ้ามีการสั่งมาตรการอะไร ถือว่าลูกหนี้ไม่เสียเครดิตบูโรด้วย
ไม่ผิด ไม่ถือว่าเป็นการค้างชำระ ถือว่าเป็นเรื่องปกติ เราได้หนังสือจากทางการมายืนยันแล้ว เพราะฉะนั้นใครก็ตามถ้าลูกค้าเข้าโครงการแล้ว ส่งข้อมูลมา เราจะสั่งให้เขากลับไปแก้ แต่ยืนยันว่าเราเฝ้าดู ข้อมูลเข้ามาต้องถูกต้อง
ด้วยเสียงจากคนชื่อ สุรพล โอภาสเสถียร ขอร้องแล้วกัน
อยากให้สหกรณ์ออมทรัพย์ลดหักหน้าซอง ลดดอกเบี้ย ขอ 2 คำนี้
Comments